บทที่ 202: องค์รัชทายาทตื่นขึ้นมาแล้ว

-A A +A

บทที่ 202: องค์รัชทายาทตื่นขึ้นมาแล้ว

 “ท่านพี่รัชทายาท!” มู่ไป๋ไป่มองพี่ชายด้วยความประหลาดใจ “ท่านพี่รัชทายาท! ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?” 

 “ไป๋ไป่?” มู่จวินฝานขมวดคิ้วมุ่น “ที่นี่ที่ไหนกัน?” 

ความทรงจำของเขายังคงอยู่ในวันที่น้องสาวยืนกรานที่จะให้เสด็จอาเข้ามาตรวจชีพจรของเขา

 “ซี้ด… ข้าปวดหัวมากเลย” เด็กหนุ่มกำลังจะเอื้อมมือไปกุมศีรษะบริเวณที่ปวด แต่มือเล็ก ๆ ของมู่ไป๋ไป่ก็ห้ามเขาเอาไว้

 “ท่านพี่รัชทายาท ตอนนี้มีเข็มปักอยู่บนหัวของท่าน ท่านจะเอามันออกไม่ได้เด็ดขาด” เด็กหญิงเหลือบมองศีรษะของพี่ชายคนโตที่มีเข็มเงินเต็มไปหมด

 “เข็ม?” ในตอนนั้นเอง มู่จวินฝานก็สังเกตเห็นเจียงเหยาที่อยู่ด้านข้างน้องสาว “ท่านหมอเทวดาเจียง ท่านไม่ควรอยู่ที่เมืองชิงหยางหรอกหรือ เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่?” 

 “ถวายบังคมองค์รัชทายาท” หมอสาวทักทายคนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงอธิบายว่า “หม่อมฉันกลับจากเมืองชิงหยางเรียบร้อยแล้วเพคะ” 

 “เรื่องนี้ให้องค์หญิงหกเป็นคนอธิบายให้พระองค์ฟังเถิด” 

 “อย่างไรก็ตาม พระองค์อย่าเพิ่งแตะต้องเข็มบนศีรษะของพระองค์ อีก 2 เค่อหม่อมฉันจะมาเอาเข็มออกให้พระองค์เพคะ” 

 “หม่อมฉันขอตัวลา” 

หลังจากหญิงสาวกล่าวเช่นนั้น นางก็เดินออกจากกระโจมไป

มู่จวินฝานได้แต่ขมวดคิ้วพลางทำหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ “ไป๋ไป่ เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เราอยู่ในค่ายทหารแล้วหรือ?” 

 “สถานการณ์ในกองทัพเป็นอย่างไรบ้าง?” 

 “ท่านพี่รัชทายาท ข้าตอบคำถามท่านไม่ทันแล้ว” มู่ไป๋ไป่เข้าไปช่วยพยุงพี่ชายลุกขึ้นนั่งก่อนจะลอบถอนหายใจ “ท่านถูกพิษ” 

เด็กหนุ่มชะงักไปด้วยความมึนงง เขาต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่เขาจะเข้าใจสิ่งที่น้องสาวพูด “เป็นไปได้อย่างไร…” 

 “วันนั้น หลังจากที่เซียว— เสด็จอาเล็กตรวจชีพจรให้ท่าน เขาก็สันนิษฐานว่าท่านถูกพิษ และพิษนี้มักจะทำทุกอย่างตามเจ้าของร่าง” 

 “ในตอนนั้นเสด็จอาไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน แต่เสด็จอาได้มอบยานอนหลับให้ท่านกิน” 

มู่จวินฝานนึกถึงยาที่เซียวถังอี้มอบให้เขาในวันนั้น และมันเป็นความจริงที่เขารู้สึกง่วงนอนทันทีหลังจากที่ได้รับประทานยาเข้าไป แล้วเขาก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว

 “เสด็จอาบอกว่าท่านพี่รัชทายาทถูกพิษ แต่อาการยังไม่ร้ายแรง” 

 “ขอเพียงท่านหมดสติตลอดเวลา แมลงกู่ก็จะหลับใหลอยู่ในร่างกายของท่านและจะไม่สามารถควบคุมให้ท่านทำอะไรได้” 

จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ค่อย ๆ เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกองทัพหลังจากที่มู่จวินฝานหมดสติไป “เนื่องจากสถานการณ์ของท่าน พี่รองกับเสด็จอาได้ค้นพบทหารจำนวนมากที่ถูกพิษกระจัดกระจายอยู่ในกองทัพ…” 

 “อย่างนั้นหรือ…” เด็กหนุ่มได้ยินสิ่งที่น้องสาวเล่าแล้วก็ตกใจ “ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ข้าฟื้นขึ้นมาแล้วมันจะไม่เป็นอะไรหรือ? แล้วยังมีเข็มอยู่บนหัวข้าอีก” 

 “ว่าที่อาจารย์ของข้าบอกว่าเข็มเงินพวกนี้จะผนึกแมลงกู่เอาไว้ในเส้นลมปราณของท่าน” มู่ไป๋ไป่นึกถึงคำพูดของเจียงเหยาที่พูดกับเธอเมื่อกี้นี้ “เพียงเท่านี้ท่านพี่ก็สามารถตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และป้องกันไม่ให้แมลงกู่กระจายพิษไปทั่วร่างกายท่านอีกด้วย” 

 “เพียงแต่ในช่วงเวลานี้ท่านพี่จะไม่สามารถใช้วรยุทธได้” 

ผู้เป็นพี่ชายพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม เด็กหญิงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในขณะนั้นเซียวถังอี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับอวี้เซิ่ง

 “เสด็จอา” มู่จวินฝานเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาจึงพยายามลุกขึ้นยืน “จวินฝานสร้างปัญหาให้เสด็จอาแล้ว” 

เซียวถังอี้เดินเข้าไปนั่งลงที่ข้างเตียงแล้วอุ้มมู่ไป๋ไป่ออกมาวางที่ข้างกาย ก่อนจะพูดกับนางว่า “เจ้าไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน” 

 “ไม่เอา!” คนตัวเล็กปฏิเสธทันควัน ปัจจุบันพี่ใหญ่ตื่นขึ้นมาแล้ว อีกทั้งเจียงเหยาก็มาถึงที่นี่ด้วย ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจึงกล้าแข็งกร้าวกับเจ้าสัตว์ประหลาดขึ้นมา “ข้าอยากอยู่ที่นี่กับท่านพี่รัชทายาท!” 

เซียวถังอี้หรี่ตามองเจ้าตัวเล็ก “พูดอีกครั้งซิ?” 

ทุกวันนี้มู่ไป๋ไป่มักจะนิ่งเงียบฟังเขาสั่งสอน แต่ทันทีที่เขาหรี่ตาลง ดูเหมือนว่าร่างกายของเธอเตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนีไปได้ทุกเมื่อ

ตอนที่เด็กหญิงรู้ตัว เธอก็พบว่าหลัวเซียวเซียวกำลังพยายามดึงเธอกลับไปที่กระโจมเสียแล้ว ทว่าตัวเธอนั้นกลับไม่ยอมขยับ ท่าทางของเธอเลยดูน่าอับอายเล็กน้อย 

 “ไป๋ไป่ เจ้าไปอาบน้ำก่อนเถอะ” มู่จวินฝานพูดขึ้นช้า ๆ “ตอนนี้พี่ก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวเดียวไม่นานหรอก” 

มู่ไป๋ไป่คิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเธอก็ยอมเดินออกไปโดยไม่วายทิ้งท้ายทำหน้าทำตาล้อเลียนเจ้าสัตว์ประหลาด 

 “...” 

มู่จวินฝานมองดูอย่างขบขัน จากนั้นเขาก็หันไปขอโทษเซียวถังอี้ “เสด็จอา ไป๋ไป่อาจจะซนไปบ้าง เสด็จอาอย่าได้ถือสานางเลย” 

 “ข้าไม่ถือสาเด็กน้อยคนนั้นหรอก” เด็กหนุ่มแค่นเสียงในลำคอ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนที่อยู่ในจวนแม่ทัพจ้าว เจ้าพบเจอเรื่องผิดปกติอะไรบ้าง?” 

หลังจากที่มู่จวินฝานรู้ว่าตัวเองถูกพิษ เขาก็ได้คาดเดาเหมือนที่เซียวถังอี้คิดเอาไว้ว่าเขาถูกพิษตั้งแต่อยู่ในจวนแม่ทัพ

ตอนที่เขาได้ยินคำบอกเล่าของมู่ไป๋ไป่ เขาก็ได้คิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างระมัดระวัง

 “ตอนนั้นไม่มีจุดไหนที่แปลก…” องค์รัชทายาทเม้มปากแน่น ก่อนจะเปิดปากพูดว่า “มีแค่ตอนที่กระหม่อมกำลังจะเดินออกจากจวนแม่ทัพ จู่ ๆ กระหม่อมก็รู้สึกเจ็บเหมือนถูกแมลงกัด” 

เซียวถังอี้เลิกคิ้วและแอบจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ โดยที่เขาวางแผนว่าจะขอให้มู่จวินเซิ่งไปสอบถามทหารที่ถูกพิษในภายหลังว่าพวกเขารู้สึกแบบเดียวกันหรือไม่

ในอีกด้านหนึ่ง มู่ไป๋ไป่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบกลับไปยังกระโจมของมู่จวินฝาน ในระหว่างทางที่เดินไปเธอพบกับมู่จวินเซิ่งที่ได้รับข่าวเช่นกัน

แม้ว่าเขากับมู่จวินฝานจะแยกกันมานานหลายปี แต่พวกเขาก็มีอายุห่างกันเพียงปีเดียวเท่านั้น ในช่วงวัยเด็กทั้ง 2 จึงสนิทกันมาก

พอเขาได้เห็นพี่ชายคนโตตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

ไม่นานหลังจากที่ทุกคนอยู่ในกระโจมของมู่จวินฝาน พวกเขาก็ถูกเจียงเหยาที่จะกลับมาดึงเข็มที่ฝังเอาไว้บนศีรษะขององค์รัชทายาทขอให้ออกไปก่อน

ยามนี้มู่ไป๋ไป่รู้สึกมีความสุขกว่าปกติ เธอจึงตัดสินใจลงมือทำอาหารอร่อย ๆ ให้กับพี่ชายคนโต

 “ไป๋ไป่ทำอาหารเป็นด้วยหรือ?” มู่จวินเซิ่งรู้สึกประหลาดใจมากที่ได้ยินว่าน้องสาวมาขอยืมห้องครัวในค่ายทหาร “พี่ใหญ่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเอง เจ้าอย่าทำให้เขาต้องอาการทรุดลงเลย” 

 “ไม่มีทางหรอก!” นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าเกี่ยวกับฝีมือการทำอาหารของเธอ นั่นทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ แดงขึ้นเพราะความโกรธ “พี่รอง ท่านยังไม่เคยชิมฝีมือการทำอาหารของข้าเลย ขอบอกเลยนะว่ามันอร่อยมาก!” 

 “จริงหรือ?” เด็กหนุ่มยังคงมีข้อกังขา แต่พอเห็นว่าเด็กคนนี้แสดงท่าทางมั่นใจ เขาก็นิ่งคิดอยู่สักพักหนึ่งจนในที่สุดเขาก็ยอมประนีประนอม “ข้าอนุญาตให้เจ้ายืมใช้ห้องครัวได้ แต่ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าลงมือเอง จะต้องมีใครสักคนคอยช่วยเจ้า” 

 “ทำไมล่ะ?!” มู่ไป๋ไป่ขึ้นเสียงด้วยความโกรธ “ท่านยังกังขาในฝีมือการทำอาหารของข้าอยู่หรือ?” 

มู่จวินเซิ่งรู้สึกขบขันกับท่าทางของน้องสาว เขาจึงหันไปสั่งให้ทหารมุ่งหน้าไปที่ห้องครัวเพื่อหาพ่อครัวมาเฝ้าเด็กน้อยเอาไว้ ประการแรกก็เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารที่นางปรุงนั้นสามารถกินได้ ประการที่ 2 ก็เพื่อไม่ให้ห้องครัวถูกทำลาย

ห้องครัวในค่ายทหารไม่ได้สะดวกสบายเท่ากับห้องครัวในวังหลวงหรือในร้านอาหาร แม้แต่มีดก็มีแต่อันที่หนักมาก

 “องค์หญิง ให้หม่อมฉันทำเถิดเพคะ” หลัวเซียวเซียวรู้สึกเป็นกังวลเมื่อเห็นอีกฝ่ายถือมีดเซไปเซมา

 “ช่างเถอะ ๆ” มู่ไป๋ไป่วางมีดลง “ถึงอย่างไรมีดเล่มนี้ก็คงหนักพอ ๆ กับตัวเรา 2 คน” 

 “ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้าก็ใช้มันไม่ได้เหมือนกัน” 

หลัวเซียวเซียวไม่เชื่อที่องค์หญิงพูดจึงพยายามยกมีดขึ้นมา แต่มีดเล่มนั้นกลับไม่ขยับเลย

 “...” 

 “กระหม่อมไม่ทราบว่าองค์หญิงหกต้องการจะทำอะไร เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ให้กระหม่อมทำแทนพระองค์เองดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” คนที่เป็นเหมือนหัวหน้าพ่อครัวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก “พระองค์สั่งกระหม่อมมาได้เต็มที่ กระหม่อมจะทำตามที่พระองค์สั่งพ่ะย่ะค่ะ” 

มู่ไป๋ไป่นิ่งคิดไปสักพักแล้วรู้สึกว่าความคิดนี้ดีทีเดียว อีกทั้งเธอก็เคยทำแบบนี้กับหลัวเซียวเซียวตอนที่เธออยู่ในวังหลวง “ถ้าเช่นนั้นท่านก็สับเนื้อให้ละเอียด ข้าจะต้มโจ๊ก” 

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ในที่สุดพี่ใหญ่ก็ตื่นแล้ว! ถ้าพี่รองได้รู้ว่าหมูทอดราดน้ำแกงเปรี้ยวหวานคือสูตรอาหารของน้องสาว พี่รองจะไม่พูดอย่างนี้ 5555

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.