ตอนที่ 3 .. “ New Born ชีวิตใหม่ ”

พยัคฆ์ร้าย..สายลับ

-A A +A

ตอนที่ 3 .. “ New Born ชีวิตใหม่ ”

ฟังเพลงเพราะๆ ประกอบ นิยาย พยัคฆ์ร้าย..สายลับ

โชคดีที่พบเธอ - ฝน ธนสุนทร (เพลงประกอบ นิยาย พยัคฆ์ร้าย..สายลับ) พัชฌา

โชคดีที่พบเธอ - ฝน ธนสุนทร (เพลงประกอบ นิยาย พยัคฆ์ร้าย..สายลับ) พัชฌา

sds

นิยาย แนว อาชญากรรม และนักสืบ (Detective and Crime Novel) / สืบสวนสอบสวน (Suspense) / Action

ตอนที่ 3 .. “New Born ชีวิตใหม่”

sds

เนตรอัปสร หยิบโทรศัพท์ของตัวเอง แล้วโทรไปหา เผด็จทันที < เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่เผด็จ >

“รับสด ไม่รับเช็ค” เผด็จรับสายแบบรหัสลับเช่นเคย ขณะที่กำลังขับรถกลับเข้า กทม.

“เปิดกล่องนมแล้ว” เนตรใช้รหัสลับกลับไปเช่นเดิม

“ระวังบูด แช่เย็นซะ” สิ้นรหัสลับสุดท้าย เผด็จก็วางหู

ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ในรถ ก็ยังคงมึนตึบอยู่ดีว่า เผด็จพูดอะไรกะใคร แล้วพูดเรื่องเดียวกันไหมเนี่ย จะมีก็แต่ จ่าหมง เอามือเกาหัวตัวเอง หันไปมองจ่ามิ่ง ซึ่งแกล้งนั่งหลับซะงั้น ส่วนอัธวุฒิ ก็ทำท่าผิวปาก ไม่รู้ไม่ชี้เช่นกัน

***** ----- *****

“เอ้าน้องนี่รางวัล ฉันให้” เนตรส่งเงินให้ช่างอ้น 500 บาท

“ขอบใจครับพี่” ช่างอ้น รับเงินแล้วยกมือไหว้

“เราขอตัวไปก่อนนะแป๋ว ว่างๆ แล้วเราจะมาเที่ยวหาแล้วกัน บาย” เนตรรีบออกจากร้านทันที

แป๋ว ก็โบกมือรับ “บาย” พอเนตรเดินออกไปได้สักพัก แป๋ว ก็รีบลุกตามเนตรไป เพื่อต้องการจะรู้ให้ได้ว่าเนตรเป็นใคร จะไปที่ไหน หาใคร เพราะเธอสงสัยเรื่องรูปของ ฉัตรเทพและแทนไท แต่นึกขึ้นมาได้ว่า เบ็นซ์ฝากโทรศัพท์มาให้ซ่อม ก็เลยหยิบโทรศัพท์ส่งให้ช่างอ้น

“เอ้า นี่ของ เจ๊เบ็นซ์ ฝากดูด้วย มันมีปัญหา” หลังจากส่งเครื่องให้ช่าง แป๋วก็รีบวิ่งออกไปเลย

“วันนี้เจ๊ ไม่เข้าแล้วนะ ถ้าไม่มีอะไรก็เก็บร้านได้เลย” แป๋วตะโกนตามหลัง หลังจากวิ่งออกไป

แต่สายไปแล้ว เมื่อแป๋ววิ่งตามออกไป เธอมองหาเนตรไม่เห็นเสียแล้ว หันซ้ายหันขวา ก็ไม่มีวี่แววเลย เธอทำท่าเสียดายมาก แล้วเธอก็หยิบกุญแจรถ เปิดประตูรถ สตาร์ท แล้วขับออกไปเลย

***** ..... *****

sds

   ณ.สำนักงานนักสืบเอกชนแห่งหนึ่ง แถวชานเมืองบางบัวทอง ที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านมากเท่าใดนัก เงียบสงบ ภายนอกทำเป็นสถานออกกำลังกายเล็กๆ บังหน้า เพื่อที่จะทำงานลับๆ ได้อย่างสบายใจ โดยไม่มีใครสงสัย ซึ่งดูแลและบริหารงานโดย ปูน นักสืบสาว พราวเสน่ห์ ฉายา วิหคขาว ที่เข้าร่วมหุ้นกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ชื่อ พลอยใส เป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของปูน เป็นสาวงาม 100% ที่อ่อนหวานและเรียบร้อย ซึ่งผิดกะปูน ราวฟ้ากับดินที่กระโดกกระเดกยังกะผู้ชาย โดยมี ทับทิม เพื่อนรักของเธอ ฉายา พิราบเทา มาเป็นครูสอนเทควนโดให้

sds

   ทับทิม เดินเข้ามาในสำนักงาน ด้วยสภาพที่ผมเพ้ายุ่งเหยิง ถือของพะรุงพะรัง ปูนยิงคำถามแรกเมื่อเห็นหน้าเพื่อนสาว ทับทิมเอาของไปวางไว้ที่โต๊ะ แล้วเปิดตู้เย็นหาน้ำทาน “ร้อนๆ ไม่ไหวๆ ” แล้วก็หาที่นั่ง

“ไปฟัดกะใครมายะ คุณครู” ทับทิมดื่มน้ำอยู่ เลยรีบวางเพื่อที่จะตอบคำถามเพื่อน

“ก็ไอ้ขี้ยา 3 คน แถวตลาดหลังรถไฟสามเสนหนะซิ” ปูนรีบวิ่งมานั่งฟังใกล้ๆ

“เดินซื้อของอยู่ดีๆ ก็มีคนร้องเรียกให้ช่วยจับคนวิ่งราวกระเป๋า ไอ้เราเนาะ พอได้ยินเท่านั้นหละ มันจี๊ดขึ้นมาทันที ก็เลยไป ปะชะดะ กับมันทันที” พูดจบยกน้ำขึ้นดื่มน้ำต่อ แก้คอแห้ง แล้วก็เล่าต่อ

“ทีแรกเราก็นึกว่าต้องลุยเดี่ยวซะแล้ว พอดีมีสาวอีก 2 คนยืนจังก้าหันหลังชนกันอยู่แล้ว ฉันอยากสนุกก็เลยกระโดดขอเข้าไปแจมด้วยคน แล้วก็เปิดศึกปะทะกันมันส์ไปเลยคนละคู่ สุดท้ายก็ส่งมันเข้าไปนอนในตะรางได้สำเร็จ < เล่าเกินจริงมากเลยทับทิม > แล้วฉันก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกตั้ง 2 คนแหนะ ชื่อ แป๋ว กับ เนตรอัปสร

   ขณะที่ทับทิม กำลังเล่าเหตุการณ์แบบน้ำไหลไฟดับอยู่ พี่ชายสุดหล่อของเธอนาม แตงโม ก็เดินเข้ามา ฉายา เหยี่ยวราตรี แล้วก็เอามือยีหัวน้องสาวตัวเอง ทับทิมปัดออก แต่สายตากลับไปหยุดอยู่ที่ปูนตลอดเวลา ปูนสังเกตุเห็นก็เลยรีบทักแก้เขิน โดยไม่รู้ว่าพี่ชายเพื่อนแอบชอบตัวเองอยู่มาตั้งนานแล้ว แล้วก็วางถุงขนมลงที่เคาน์เตอร์

“หน้าปูนมีอะไรผิดปกติเหรอพี่โม” แล้วก็ลุกออกจากเก้าอี้ตัวนั้น เดินไปหาขนมกิน

“ป่าว ไม่มีอะไรผิดปกติ มีแต่ สวยและน่ารักขึ้น” < หยอดอีกแล้วพ่อหนุ่ม > ทับทิมมองหน้าพี่ชาย

“ฮั่นแน่ พี่โม” ทับทิม ชี้ไปที่แตงโม “จีบเห็นๆ ” ทับทิมฟันธง ปูนเลยรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“อื้อ ไม่ใช่ๆ ป่าวๆ แกมั่วแล้ว เล่นแรงนะเนี่ย ระวัง เดี๋ยวพี่โมจะโกรธเอานะ” แตงโมยืนอมยิ้ม

“ไปเลยรีบกลับบ้านเลย จะไปไหนก็ไป วันนี้ไม่มีตารางสอน ไปไป” ปูนรีบไล่เพื่อน แล้วก็หันไปคว้ามือแตงโม มาใส่แขนทับทิม แล้วผลักทั้งสองคนออกจากที่นั่นทันที

“เออ ไปก็ได้” ทับทิมตะโกนบอก ก่อนออกจากสำนักงาน ก็ตะโกนแซวเพื่อนกลับ

“เฮ้ย เปลี่ยนใจจะมาเป็นพี่สะใภ้ ได้เลยนะเพื่อน อนุมัติ วู้” แล้วก็โบกมือบ๊ายบาย

   หลังจากไล่เพื่อนกลับได้สำเร็จ ปูนก็หันกลับเข้าสำนักงาน เหลือบไปเห็นขนมที่อยู่บนที่เคาน์เตอร์ เธอเข้าใจว่า แตงโมคงลืมเอาไว้ กะว่าจะหยิบแล้ววิ่งออกไปให้ เธอสังเกตุเห็นขนมกล่องหนึ่งมีโบว์ผูกติดอยู่ มีการ์ดเล็กๆ ใบหนึ่งเสียบติดอยู่ เธอก็เลยหยิบขึ้นมาอ่านดู เมื่อเธอเห็นข้อความ เธอก็นิ่งไปพักนึง

“สำหรับคนสำคัญที่สุดของพี่ ทานขนมกล่องนี้หมดแล้ว อย่าลืมคิดถึงคนให้บ้างนะ พักผ่อนเยอะๆ อย่านอนดึก เป็นห่วงเสมอนะ .. พี่โม” นี่คือข้อความในการ์ดเล็กๆ ใบนั้น ปูนวางการ์ดใบนั้นลง และเอามือแตะกล่องคุกกี้นั้น จ้องมองดูว่าจะทานหรือไม่ทานดี ปูน เริ่มสับสนว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเธอ

***** ----- *****

   ที่สตูดิโอแห่งหนึ่งในกทม. เวลาประมาณ 14.00 น. เบ็นซ์ กับบรรดานางแบบไฮโซ หลายต่อหลายคนกำลังซ้อมเดินแบบกันอยู่เพื่องานการกุศลคืนนี้ ซึ่งมี จีจี้ ลูกสาวของมาเฟียใหญ่ แทนไท รวมอยู่ด้วย คฑา ได้ถูกส่งมาให้เป็นบอดี้การ์ด และที่จะพลาดไม่ได้ก็คือ ขิง ลูกเลี้ยงของแทนไท ก็ได้ถูกส่งให้มาประกบ จีจี้ ภายในงานด้วย และคงจะพลาดไม่ได้เช่นกัน ก็คือ เพ็ญ ลูกสาวสุดรักและหวงแหนของ ผบ.ตร.

   เบ็นซ์ มองไปรอบๆ พบเจอแต่ลูกคนใหญ่คนโตทั้งนั้น ขิงกับเพ็ญ ไม่ค่อยถูกกันอยู่แล้ว เจอหน้ากันก็ได้แต่เดินหลีกกันไป ซ้อมกันไปซ้อมกันมา ก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้ กระทบนิดเดียว ยาวเลยทีนี้ เดือดร้อน Staff ต้องมาคอยแยกมวยคู่นี้ เบ็นซ์ ท่าทางจะหัวเสียเพราะ เรื่องไม่เป็นเรื่อง งานกุศลแท้ๆ จะมาแย่งซีนกันทำไม

“ทำไม มีปัญหาเหรอ” ขิงทะเลาะกับ เพ็ญ คฑา วิ่งเข้ามาดู

“มีอะไรรึป่าวครับคุณขิง” คฑา แทรกตัวเบียดผู้คนเข้าไป เพ็ญยืนจ้องหน้าขิง

sds

“เดินไม่เป็น แล้วจะมาทำไม จะทำให้งานเขาเสียซะมากกว่า” ขิง ตวาดใส่เพ็ญ

“ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่ รองเท้าส้นมันสูง ฉันไม่เคยใส่ มันก็เลยเดินไม่ถนัด มีล้มบ้าง” เพ็ญอธิบายให้ฟัง

“ก็สับที่กันซะซิ ก็เท่านั้น” จีจี้ ไกล่เกลี่ยให้ คฑา เป็นห่วงออกนอกหน้า จนทุกคนสังเกตุเห็น

sds

“ขิง ก็เหมือนกัน เล็กๆ น้อยๆ ทำเป็นอารมณ์เสียไปได้” จีจี้ รำคาญการวีนแตกของขิง

“นี่ ก็เหมือนกัน” หันไปว่า คฑา “ออกนอกหน้าไปรึป่าว กลัวเขาไม่รู้รึไงว่า เป็นไรกัน”

   ขิง ถึงกับหันไปมองหน้าจีจี้ “พูดไร จีจี้” ขิงเริ่มไม่พอใจ จีจี้ เมื่อพูดประโยคนี้ขึ้นมา ลืมเพ็ญไปเลย

“อย่าคิดว่าเป็นลูกสาวป๊า แล้วฉันจะไม่กล้านะ ถึงฉันจะเป็นแค่ลูกเลี้ยงฉันก็ทำ” เอาหละซิ ผิดคาด เหตุการณ์เปลี่ยนซะแล้ว “ก็เอาดิ ฉันก็มีมือเหมือนกันนะ” จีจี้ เงื้อมมือขวาขึ้นมา เมื่อเห็น ขิงชี้หน้าเธอ

“ไม่เอาน่า คุณจีจี้ พี่น้องกันแท้ๆ ” คฑา ห้าม

“มันเห็นฉันเป็นพี่ที่ไหนหละ คฑา อีจีจี้เนี่ย มันคิดว่าเป็นลูกแท้ๆ ของป๊า แล้วจะวิเศษวิโส ทำตัวเป็นนางฟ้า นางสวรรค์ เหยียบฉันได้นะเหรอ ไม่มีทางหรอก” ขิงระเบิดอารมณ์ออกมา ลืมเรื่องเพ็ญไปเลย

“ก็เอาดิ” จีจี้เตรียมกระโดดใส่ขิง คฑา ดึงเอาไว้เสียก่อนแล้วลากตัวออกไปเลย จีจี้ชี้หน้าขิงตลอดทาง

“ตกลงจะซ้อมกันไหมเนี่ย” เบ็นซ์ เดินท้าวสะเอวเข้ามา เพราะเบื่อมาก

“เวลาก็จะไม่มีแล้ว จะเอาไงก็เอาซะทีเถอะ คุณหนูทั้งหลาย” ทั้งหมดก็หันมามองหน้าเบ็นซ์คนเดียว

   เบ็นซ์ ทำตลกหน้าตาย แล้วเผ่นออกจากตรงนั้น..ระหว่างนั้น แป๋ว กับ โบว์ แวะมาหา เบ็นซ์พอดี เธอกำลังจ้ำอ้าวออกจากหน้าเวที วิ่งเหยาะๆ เกือบชนแป๋ว เพราะกลัวโดนสหบาทา จากหน้าเวที

“ไอ้เบ็นซ์ เดี๋ยวจะไปไหน” แป๋ว ดึงเพื่อนไว้ เบ็นซ์ เงยหน้ามองดู พอเห็นเป็นแป๋ว ก็เลยหยุดวิ่ง

“หนีมหกรรมบาทาจากตรงโน้น” แล้วเธอก็นั่งลงพักเหนื่อย

“แล้วนี่พวกแกมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ไม่มีงานมีการทำกันรึไง” เบ็นซ์ จิบน้ำไปพลาง ถามพลาง

“ก็พี่แป๋ว ซิพี่เบ็นซ์ บอกมีเรื่องสำคัญจะมาบอก” โบว์ รีบบอกเลยก่อนที่จะไม่ได้บอก

“งั้นเราไปนั่งคุยกันทางโน้น ปลอดภัยดี” ว่าแล้วทั้ง 3 คนก็ย้ายไปคุยกันอีกมุมของสตูดิโอ

“เอ้าว่ามา มีไรแป๋ว” พอได้ที่ทั้งสามคนก็นั่งลง เบ็นซ์ ยิงคำถามทันที

“วันนี้มีคนเอาโทรศัพท์เก่าๆ เครื่องหนึ่ง สภาพยับเยินมากดูไม่ได้ ใช้งานไม่ได้เลยมาให้ฉันซ่อมที่ร้าน พอเปิดเครื่องได้ รู้ไหมว่าฉันเห็นอะไร” แป๋ว ทำตาโต เพราะเรื่องที่เล่าเนี่ย มันประหลาดใจเธอมาก

“ก็อะไรหละวะเพื่อน พูดยังกะฉันอยู่ในเหตุการณ์ด้วยยังงั้นแหละ เร็วเล่าต่อ” เบ็นซ์ต่อว่าเพื่อน

“ฉันเห็นรูป คุณฉัตรเทพ กับ คุณแทนไท เต็มไปหมด และรูปอื่นๆ อีกเพียบเลยแก” แป๋วทำเสียงสูง

“จริงดิ” เบ็นซ์ ถามแป๋วแบบจริงจัง

“แล้วพี่แป๋ว รู้ไหมคะว่า เจ้าของเครื่องที่เอามาให้ซ่อมหนะเป็นใคร” โบว์เริ่มสงสัย

“นี่แหละ ที่ยังคงเป็นปริศนาที่สำคัญของพี่เลยนะ เพราะพอพี่วิ่งตามออกไป เธอคนนั้น ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ เร็วมาก เหมือนกับมีวิชาอาคมเลย” พออธิบายเสร็จแป๋ว ก็หันหน้ามาหาโบว์และเบ็นซ์ พร้อมกับเอามืองอเข้าหาตัวไว้ที่อก แล้วทำมือชี้ไปข้างหน้า และกระโจนใส่ “วู้” สองสาวก็ส่งเสียงออกมาอย่างดัง “ว๊าย”

“เล่นอะไรไอ้แป๋ว ตกอกตกใจหมด” เบ็นซ์ ว่าแป๋ว แต่แป๋ว ก็ยังทำหน้าทะเล้น

“เอ..หรือว่า โทรศัพท์เครื่องนั้น เป็นสิ่งที่บอสเราตามหาอยู่” โบว์นึกขึ้นมาได้

“จริงดิ” เบ็นซ์ ดีดนิ้วเป๊าะ

“ฉันนึกออกแล้ว บอสเคยบอกกับพวกเราทุกคนไง ว่าให้ตามหาโทรศัพท์เครื่องหนึ่งให้ด้วย เพราะมันสำคัญมากกับบอส แต่..เอ!! แล้วโทรศัพท์เครื่องนั้นมันไปอยู่กับผู้หญ็งคนนั้นได้ยังไง” เบนซ์ เริ่มใช้ความคิด

“สงสัยท่าจะไม่ธรรมดาแล้วหละพี่เบ็นซ์ พี่แป๋ว” โบว์ เริ่มประเมินสถานการณ์แล้วว่า งานหินมาแล้ว

“ใช่ พี่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” แป๋ว ทำหน้าแบบไม่สบายใจ แล้วหันไปมองหน้า โบว์ กับ เบ็นซ์

“เอางี้ ฉันว่า เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เอาเรื่องคืนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ พร้อมกันรึยัง” เบ็นซ์ตัดบททันที

“พร้อม” ทั้ง โบว์และแป๋ว ทำนิ้ว Ok

“อย่าลืมนะแป๋ว เครื่องเพชร ราคาไม่น้อยเลยนะ อย่าให้พลาด” เบ็นซ์ย้ำเตือนเรื่องงาน

“ส่วนโบว์ เรื่องรถ เตรียมไว้พร้อมไหม เส้นทาง Clear เรียบร้อยนะ” เบ็นซ์ย้ำโบว์เช่นกัน

“งั้น พวกเราก็กลับไปเตรียมตัวตามแผนได้แล้ว ไปแยกย้าย” พอเบ็นซ์พูดจบ ก็แยกย้ายกันไปทันที

>>>>> ----- <<<<<

sds

   17.30 น. ที่เซฟเฮ้าส์ของเผด็จใน กทม. คร้าม คนดูแลเซฟเฮ้าส์ ออกมาเปิดประตู เพื่อให้รถเลี้ยวเข้าไปจอดข้างใน เทียนหอม แม่บ้านของเผด็จ เดินออกมาต้อนรับ รับเสื้อและกระเป๋าถือของเผด็จเข้าไปตามหน้าที่ ทั้งสามคน ลงจากรถแล้วก็รีบเดินตามเผด็จเข้าไปในบ้าน ระหว่างเดิน เผด็จก็ถามอะไรเทียนหอมสักอย่าง เทียนหอมส่ายหน้า แล้วก็แยกไปอีกทาง เผด็จเดินไปพับแขนเสื้อทั้งสองข้างไป โดยไม่ได้หันหน้าไปข้างหลังเลย

“เอ้านั่งและพักผ่อนกันตามสบายนะ ใครจะเอาอะไร ก็บอกเทียนหอมนะเธอเป็นแม่บ้านที่นี่ ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อน ใครจะอาบน้ำอาบท่าก็ เต็มที่เลย ตามสบาย” พูดจบก็เดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง

   อัธวุฒิ ได้แต่มองไปรอบๆ บ้านอย่างช้าๆ และก็ต้องหยุด เพราะไปสะดุดเข้ากับสายตาของแม่บ้านสาวสวยเข้า

“อุ้ย” อัธวุฒิตกใจ เมื่อเจอสายตาของเทียนหอมที่ดูนิ่งๆ จ้องมาที่เขา กับลักษณะการยืนตัวตรงมือกุมอยู่

“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” เทียนหอม กล่าวช้าๆ ชัดๆ

“อาบน้ำเชิญด้านโน้น” ชี้ไปทางห้องรับแขก “หาอะไรทานเชิญด้านนี้” ชี้ไปทางห้องนั่งเล่น

“แล้วคุณจ่าทั้งสองหละคะ ต้องการอะไรบ้างรึป่าวคะ” เธอหันไปถามจ่าทั้งสองคนเป็นมารยาท

“ตามสบายเลยครับคุณแม่บ้าน ผมขอพักผ่อนแถวๆ นี้หละก็แล้วกัน” จ่าหมงตอบเป็นพิธี

“ผมก็เหมือนกัน แต่ขอกาแฟสักถ้วยก็ดีครับ รบกวนด้วย” จ่ามิ่งสำทับต่อ

“ยินดีคะ รอสักครู่นะคะ” แล้วเทียนหอมก็หายไปจากตรงนั้น อัธวุฒิ เดินมาหาสองจ่า

“ไม่น่าเชื่อนะว่า บ้านเฮียแกจะใหญ่ กว้างขวางขนาดนี้ ผิดกะเรานะ ที่อยู่คอนโดเล็กๆ ”

“คนมีกะตังหนะผู้กำกับ เท่าที่ผมทราบ แม่ท่านรองฯ เป็นแม่นมเก่า ท่านผบ.ตร. อะไรทำนองนี้แหละ”

“อ้าวเหรอ” อัธวุฒิ เดินมาหาที่นั่งแถวๆ นั้น แล้วคุยกับจ่าหมงต่อ

“จ่านี่รู้เยอะนะ” อัธวุฒิ แซวจ่าหมง

“อ้าว แล้วผู้กำกับไม่รู้เหรอครับ เห็นสนิทกับท่านรองฯ” จ่ามิ่งถามแทรกขึ้นมา

“บางเรื่องผมก็ไม่รู้ ผมสนิทกับเฮียก็จริง แต่เรื่องส่วนตัวบางเรื่องไม่เคยรู้ เราสนิทกันตอนเรียน เพราะเฮียแกเป็นรุ่นพี่สถาบันเดียวกัน เคยทำงานด้วยกันอยู่หลายครั้งหลายหน แกเป็นคนดี จริงจัง และรับผิดชอบต่อหน้าที่ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ การพนันไม่เอา ยิ่งเรื่องสินบนใต้โต๊ะเนี่ย ไม่เอาเลย มือแกสะอาดมาก ก็เลยนับถือเพราะมาแนวเดียวกันกะเรา อีกอย่างมาสนิทกันเรื่องงานด้วย ขนาดเฮียแกแต่งงานมีครอบครัว ผมก็ยังไม่รู้เลย”

“ที่ผมรู้ก็เพราะ ผมทำงานกับท่าน ผบ.ตร. มานาน ถึงช่วงหลังผมจะย้ายไปอยู่กองปราบ ข่าวคราวก็หลุดเข้าหูผมตลอดเป็นครั้งคราว” จ่าหมงสาธยายให้ฟัง

“ยังงั้นเชียว” อัธวุฒิแซว จ่าหมง .. สักพัก ก็มีเสียงปีบแตรรถเป็นสัญญาน ประตูเปิดออกแล้วก็มีรถเก๋งคันงามคันหนึ่งวิ่งเข้ามา จอดสนิท ประตูรถเปิดออก สาวงามนางหนึ่งเดินลงมา อัธวุฒิและสองจ่ามองดูจากสวนข้างบ้าน เทียนหอมเดินเข้ามาหา คุยกันอยู่สักพัก แล้วก็เดินหายเข้าไปในบ้านทั้งสองคน

“ใครครับหนะ” จ่ามิ่ง สงสัย เลยถามอัธวุฒิ

“ผมจะรู้ไหมจ่า ก็มาด้วยกัน” อัธวุฒิตอบสวนกลับ ทำเอาจ่ามิ่ง หงายเงิบเลย

“เอ้า ผมก็นึกว่า ผู้กำกับจะรู้จักบ้าง” จ่ามิ่งสวนกลับเช่นกัน

   ทั้งสามคน ก็คงต้องนั่งคิดเป็นปริศนาอีกต่อไปเช่นเดิม สักพัก เทียนหอมก็เดินออกมาเชิญคนทั้งสามเข้าไปด้านใน ทั้งสามคนก็รีบลุกตามไป เพื่อจะได้หายข้องใจ อยากรู้อะไรก็ต้อง ตามไปดู

   ทั้งสามคน เดินตามเทียนหอมไปติดๆ ไปถึงห้องห้องหนึ่ง แล้วเดินเข้าไป มองไปรอบๆ มีโต๊ะยาวตั้งอยู่กลางห้อง มีเก้าอี้หลายสิบตัวเรียงเป็นแถว และหนึ่งในเก้าอี้ตัวนั้น เขาก็เห็นผู้หญิงลึกลับคนนั้นนั่งอยู่ ทั้งสามคนก็หาที่นั่งเพื่อรอเผด็จ ตามที่เทียนหอมบอก

   ระหว่างที่ด้านในกำลังสับสนอยู่ ด้านนอกก็เริ่มมีรถหลายคันทยอยเข้ามาจอดภายในเซฟเฮ้าส์ของเผด็จ ทุกคนเหมือนจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือห้องประชุมห้องนั้น ทุกคนแต่งกายสบายๆ ไม่มีพิธีรีตรองอะไร

   ไม่นานนัก ไฟในห้องที่สว่างอยู่ก็ดับลง มีโปรเจ็คเตอร์เลื่อนลงมาจากด้านบน แล้วก็มีภาพของจันทร์ครี่งเสี้ยวปรากฏขึ้น พร้อมกับเสียงของเผด็จ ที่ดังมาจากหลังห้อง และจากลำโพงที่ติดอยู่รอบๆ ห้อง

“ขณะนี้เวลาประมาณ 18.00 น. ผมขอต้อนรับสู่ภารกิจลับระดับชาติครับ ทุกท่าน” เผด็จกล่าวเปิดงาน

“ทุกคนคงจะจำภาพนี้ได้ มันเป็นสัญลักษณ์ รูปจันทร์ครี่งเสี้ยว ที่เราได้เห็นมาแล้วที่เกาะ”

   ไม่นานนัก คร้าม เทียนหอม พู่กัน กันตภณ เนเน่ จ่าหมู จ่าสน หมวดขิง หมวดเบียร์ หมวดเพ็ญ เดินตามกันมาและเข้ามายืนเรียงกันตามลำดับที่ข้างผนังในห้อง ทั้งหมดยืนตรงแล้วซ้ายหัน ทำความเคารพ ผู้การเผด็จ ด้วยการโค้งคำนับอย่างช้าๆ 1 ครั้ง แล้วก็แยกย้ายกันไปหาที่นั่ง

   อัธวุฒิ จ่าหมง และจ่าสน ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตะลึงตกใจมาก ว่าทำไมคนเยอะแยะเหล่านี้เป็นใคร และมาทำอะไร ทำไมมันถึงได้อลังการงานสร้างขนาดนี้

“ให้ทุกคนมองไปที่โปรเจ็คเตอร์นะครับ จะได้หายสงสัยกัน” เผด็จกล่าวขึ้น แล้วภาพเดิมก็หายไป

“ขอแนะนำให้รู้จักกับคนแรก” รูปคร้ามปรากฏขึ้นมา

sds

“คร้าม เป็นคนดูแลเซฟเฮ้าส์ของผม มีหน้าที่ตามข่าวและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของสายสืบทุกคน”

   แล้วรูปต่อไปคือ เทียนหอม “เทียนหอม เป็นแม่บ้านของผม มีหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดลับๆ ให้กับสายสืบทุกคน และอำนวยความสะดวกเรื่องอาวุธ ยุทธโธปกรณ์ทั้งหลาย ใครอยากเบิกอะไร ก็บอกเทียนหอมได้ จะจัดให้”

sds

“ต่อไป พู่กัน..พู่กัน เป็นสายสืบที่แฝงตัวอยู่กับร้านสะดวกซื้อ 7-11 เพื่อหาข่าวจากคนทั่วไปรอบนอก”

sds

“กันตภณ เป็นมือดีเก่าของผม ทำงานรู้ใจกันมาก เลยดึงมาช่วยงานด้วย เชี่ยวชาญทางเรื่องเทคนิคพิเศษ ที่ผมรอดตายจากเกาะมาได้ ก็เพราะชายหนุ่มผู้นี้ นี่แหละ”

< ทุกคนปรบมือให้ กันตภณลุกขึ้นโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วก็นั่งลง > ภาพก็เลื่อนไปอีกตามลำดับ

sds

“เนเน่..เนเน่ ก็ทำงานเป็นสายสืบอยู่ที่เดียวกันกับพู่กัน บางครั้งการเป็นผู้หญิง ก็ทำงานได้ง่ายกว่าผู้ชาย จริงไหมครับทุกคน” เผด็จหันไปแซวพวกผู้ชาย “จริงครับท่านรองฯ” จ่าหมง ตะโกนตอบมาแทนพวกผู้ชาย

sds

“ต่อไป..จ่าหมู ตำรวจลับ ที่แฝงตัวเป็น นักเลงหัวไม้ ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพื่อว่าต้องการข่าววงในจากพวกนักเลงทั่วไป พวกนี้มันมีคนคุ้มกะลาหัวอยู่ ถ้าเราไม่ล้วงลึก ไม่งั้นเราจะไม่รู้อะไรเลย เขาเรียกว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เรื่องแบบนี้ต้องจ่าหมู เท่านั้น ..ไหวไหม จ่าหมู” ท่านรองฯ ชมต่อหน้าเลย จ่าหมูยิ้มหน้าแดง

“ไหวครับ ท่านรองฯ” จ่าหมู ยืนขึ้นตอบอย่างเสียงดังฟังชัด เพ็ญ แอบนั่งยิ้มปลื้มอยู่ฝั่งตรงข้าม

sds

“คนถัดไป จ่าสน คนนี้สำคัญมาก เพราะเป็นตำรวจลับที่แฝงตัวอยู่ ในบ้านของแทนไท”

   ขิง ตกใจ แต่ต้องเก็บอาการ เพราะพึ่งรู้วันนี้เองว่า มีสายตำรวจอยู่ใกล้ตัวเองตั้งนานโดยไม่ระแคะระคายเลย เธอแอบชมจ่าสนอยู่ในใจว่า เยี่ยมจริงๆ ต่อไปนี้จะทำอะไร เธอต้องระวังตัวอย่างมาก จะพูดอะไรทำอะไร แบบเมื่อก่อน คงไม่ได้อีกแล้ว เพราะจ่าสนคนนี้ ท่าทางจะไม่ธรรมดา ไม่งั้นคงจะไม่เก็บความลับได้เก่งขนาดนี้

“เสี่ยงมาก ผมต้องขอยอมรับและนับถือในน้ำใจของจ่าสน ด้วยความจริงใจ ที่ยอมเสี่ยงในการรับงานนี้ ถ้ามีใครล่วงรู้ หรือระแคะระคาย รับรองจ่าสน ไม่รอดแน่” แล้วเผด็จ ก็หันไปมอง ขิง..ขิง ไม่กล้าสบตาเผด็จ

sds

“หมวดขิง” พอถึงคิวของขิง เผด็จแกล้งพูดส่งเสียงดังกว่าคนอื่น ขิงตกใจ เลยอุทานอกมา

“ขา ไม่มีอะไร ทุกอย่างปกติดี” ทุกคน หันไปดูขิงเป็นสายตาเดียวกัน เผด็จก็เลยถามด้วยเสียงปกติ

“อะไรปกติครับหมวดขิง” ขิงหน้าแดง เพราะตกใจที่กำลังคิดอะไรเพลินไปหน่อย

“ไม่มีคะไม่มี ปกติ คะปกติ ปกติ หนูคิดอะไรเพลินไปหน่อย พอดีเป็นภารกิจแรกที่หนูได้รับมอบหมาย ก็เลยกล้าๆ กลัวๆ คิดอะไรเพลินไปหน่อย ก็เท่านั้นเองค่ะ ท่านรองฯ” หลายคนแอบหัวเราะในใจ ขิงเหลือบไปเห็นสายตาของเพ็ญที่เหมือนจะเยาะเย้ยเธอ ขิงจึง ทำปากยี้ส่งให้ไป เพ็ญก็สะบัดหน้ากลับไปและแอบยิ้มเช่นเดิม

“หมวดขิง จะทำงานง่ายๆ คือเป็นคนกลาง รับ/ส่งข่าวสารจากสายภายนอกให้ผมรู้ เช่นจาก พู่กัน เนเน่ จ่าสน จ่าหมู นี่แหละและเป็นคนทำเอกสารแจกจ่ายให้กับทุกคนได้ทราบข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ จากที่สายข่าวของเราทุกคน ได้เสี่ยงชีวิตไปหามา รวมถึงการนัดหมายพวกเราทุกคนในคราวต่อๆ ไป โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” เผด็จเว้นช่วงแป๊บนึง “มีใครไม่เข้าใจอะไรตรงไหน และจะมีข้อสงสัยจะถามไหมครับ”

“ไม่มีนะ” หันไปดู เงียบสนิท “เครครับต่อเลยนะ ภาพต่อไป มา”

sds

“หมวดเบียร์ สายสืบแสนสวยของเรา นานๆ กรมตำรวจของเราจะอนุเคราะห์ ส่งของสวยๆ งามๆ มาให้สักคน เบียร์เป็นสายสืบนอกเครื่องแบบคล้ายๆ กับ จ่าหมูนั่นแหละ เธออาศัยอยู่ในสลัมมาตั้งแต่เกิด ก็เลยสามารถปะปนอยู่กับคนทั่วไปเช่นเดิม แหล่งที่ยานรกพวกนี้สามารถมีโอกาสแพร่กระจายได้มากกว่าที่อื่น แบบกลมกลืนและเนียนที่สุด พ่อแม่เธอ เสียชีวิตด้วยยาเสพติด เธอก็เลยตัดสินใจอยากจะกำจัดพวกนี้ให้หมดไปจากโลกนี้”

sds

“คนต่อไป หมวดเพ็ญ บางคนอาจจะรู้จักแล้ว เธอเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน สุดสวาทขาดใจ ของ ท่านผบ.ตร. ของเรา นี่เอง ท่านพลตำรวจเอก เชี่ยว ชาญยุทธ ที่ผมกล่าวมานี้ไม่ได้บอกว่า หมวดเพ็ญจะมีอภิสิทธิ์ มากไปกว่าคนอื่นเลย ทุกคนมีหน้าที่ตามขอบเขตที่ผมเห็นสมควร” แล้วเผด็จ ก็หันไปสบตากับเพ็ญ

“เนื่องจาก งานนี้เป็นงานค่อนข้างใหญ่ ผมมาคิดดูแล้วอย่างดีว่า หมวดขิง คนเดียวคงจะทำหน้าที่นี้ไม่ไหว ผมก็เลย ทำเรื่องขอยืมตัว เลขาหน้าห้องท่าน ผบ.ตร. มาช่วยงานนี้โดยเฉพาะอีกคนเพื่อช่วยกัน โอเคไหมครับ มีใครไม่เข้าใจตรงไหนบ้างหรือจะถามอะไร ก่อนที่จะพักกันสักครู่” อัธวุฒิ ยกมือและชี้ไปทาง เนตรอัปสร

“แล้วสาวสวย ที่นั่งตรงหัวโต๊ะอีกท่านนั่นหละครับ เฮีย จะไม่แนะนำให้พวกเรารู้จัก สักหน่อยเหรอ”

   เผด็จ ยิ้มและหันมาตอบอัธวุฒิ “ไม่ลืม แต่ยังไม่ถึงเวลา” แล้วก็เอื้อมมือปิดโปรเจ็คเตอร์ เปิดไฟใหญ่

“เอาไว้หลังพัก ทานอะไรก่อน กลับเข้ามาใหม่ รับรองแกได้รู้จักแน่ ไอ้ป๋อง ไป”

   แล้วทุกคนก็เดินออกจากห้องนั้นไปพักผ่อนตามอัธยาศัย เผด็จเดินออกไปโทรศัพท์ เหมือนสั่งงานใครสักคน ขิงกับเพ็ญ ออกมาเจอหน้ากันจังๆ มองหน้ากันอยู่นาน สักพัก เพ็ญก็เดินหลบออกไปก่อน และมีเสียงตามหลัง

“ที่แท้ก็เด็กเส้นนี่หว่า” เพ็ญ หันมาตามเสียง รู้ว่าเป็นขิง พวกที่อยู่แถวนั้น ก็หันมาพร้อมกัน

“เธอว่าไงนะ ขิง” เพ็ญเดินกลับไปหาขิง แล้วจ้องหน้า

“เธอไม่ชอบขี้หน้าฉัน ฉันรู้ แต่นี่มันงาน ฉันไม่เคยใช้เส้น ทั้งๆ ที่ฉันก็สามารถใช้มันได้ แต่ฉันไม่ทำ เพราะนั่นมันหมายถึง เกียรติ์และความสามารถของฉัน” เสียงดังไปถึงด้านนอก เผด็จ หันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“อาเผด็จ ทำเรื่องไปขอฉันจากพ่อ ให้มาช่วยงาน ฉันก็พึ่งรู้ตอนที่มาถึงนี่พร้อมกับเธอนี่แหละ เพราะอาเผด็จเห็นว่า ฉันมีความสามารถที่จะช่วยเหลือราชการนี้ได้ ฉันก็เลยต้องมาตามคำสั่งของพ่อ ไม่ใช่คำสั่งของอา”

เพ็ญโมโหมาก ระเบิดอารมณ์ใส่หน้าขิงเต็มๆ จ่าหมู วิ่งมากอดเพ็ญและดึงออกมาจากตรงนั้น

“เธอไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันแบบนี้ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้ ถอน ฉันบอกให้ถอน ถอน” เพ็ญชี้หน้าขิงขณะที่จ่าหมูอุ้มเธอออกไป เผด็จ เดินเข้ามา “มีไรกัน” เบียร์ รีบบอกท่านรองฯ ก่อนที่อะไรมันจะบานปลายไปกว่านี้

“ไม่มีอะไรหรอกคะ ท่านรองฯ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย” แล้วก็วิ่งไปดูเพื่อน

----- ****** -----

“งานเลี้ยงคืนนี้ ยกเลิกกะทันหันนะ ทางโมเดลลิ่ง แจ้งมาว่า ขอเลื่อนออกไปอีก 3 วัน” เบ็นซ์บอกแป๋วและโบว์ หลังจากวางหูโทรศัพท์ แล้วแป๋วก็เดินไปจับชุดตัวเอง มองแล้วก็เก็บใส่ตู้

“สงสัยมันต้องมีอะไรสักอย่างแล้วหละพี่เบ็นซ์ หนูว่าอยู่ดีๆ จะมาขอเลื่อนกะทันหันแบบนี้ อย่าลืมนะ อุตส่าห์เตรียมงานมาตั้งนาน” โบว์ มานอนหนุนตักพี่สาว แล้วก็ทานส้มไปด้วย

“นั่นนะซิเบ็นซ์ งานของห้องเสื้อนี้ไม่เคยเลื่อนสักครั้งเลยนะ ครั้งนี้คงต้อง มีเรื่องที่ต้องให้พวกเราสืบอีกแล้วหละ” แป๋ว ทำท่าสงสัย โบว์ หันไปมอง แล้วก็เอาส้มป้อนเข้าไปที่ปาก แล้วแป๋วก็กระโจนไปหาโบว์

>>>>> ***** <<<<<

“ว่าไงเรา ขิง มีอะไรก็ปรับความเข้าใจกันซะ ทำงานด้วยกัน ถ้าไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เวลาทำงานมันจะลำบากนะ” เผด็จ เรียกทั้ง 2 คนมายืนต่อหน้าเพื่อนๆ ทุกคน..ขิง ยังคงก้มหน้า ไม่พูดอะไร

“เอ้า แล้วเราหละเพ็ญ” เผด็จหันไปถามเพ็ญ ฝั่งนี้ก็ยืนกอดอกนิ่ง กำลังโมโห เอามือขวาสยายผมแก้เบื่อ

“หมดกัน ไม่มีใครยอมกันเลย” เผด็จทำท่าเซ็ง จ่าหมู เข้าไปกระซิบที่หูแฟนสาว

“นะนะเพ็ญ เพื่องาน ยอมๆ เค้า ไปก่อน เพื่องาน ท่องไว้ เพื่องาน” เพ็ญ ยังคงหน้างอ

“ก็ได้” สักพักเพ็ญก็ยื่นมือขวาออกไปทั้งที่ยืนหันหลังให้กับขิง..ขิงเห็นสปิริตของเพ็ญ กลัวเสียหน้าก็ยื่นขวาไปจับไปจับเช่นกัน แล้วก็ยิ้มให้กัน และก็โผเข้ากอดกัน “ฉันขอโทษนะเพ็ญ ที่ว่าเธอแบบนั้น”

“ไม่เป็นขิง ฉันไม่โกรธเธอแล้วหละ ฉันให้อภัย” เพ็ญพูดทั้งๆ ที่ยังกอดกันอยู่

“ดีมาก ในเมื่อดีกันแล้ว ถ้างั้นก็..กลับเข้าที่ประชุมกัน เพราะเรายังมีเรื่องอีกมากมายรออยู่ เราใช้เวลากับเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้วเนาะ” ว่าแล้วก็ย้ายขบวนเข้าไปที่ห้องประชุมทันที เผด็จดึงตัวหลานสาวเข้าหาตัว

“ไงเรา นี่ขนาดต่อหน้าอานะ ยังออกฤทธิ์ออกเดชได้ขนาดนี้ แล้วนี่ถ้าลับหลังจะขนาดไหนเนี่ย” เผด็จ เดินกอดหลานสาวแล้วบีบจมูกเพ็ญ เข้าไปในห้องประชุม หมวดขิงและอัธวุฒิ แอบสังเกตุอยู่ตลอดเวลา

“เอาหละครับทุกคน เรื่องสุดท้ายในค่ำคืนนี้” เผด็จ นำภาพของ เนตรอัปสร ขึ้นโปรเจ็คเตอร์

sds

“สาวงามผู้นี้ชื่อ เนตรอัปสร พูดง่ายๆ เธอเป็นมือขวาของผม งานสำคัญทุกเรื่องที่ผมรู้เธอจะรู้หมด เธอจบวิชาการป้องกันตัวมาจากอเมริกา รางวัลแม่นปืนเหรียญทอง 2 ปีซ้อน และที่สำคัญ เธอโสด” แหมทิ้งท้ายซะ

“รูปที่พวกท่านเห็นดังต่อไปนี้ ผมพึ่งให้เนตรอัปสร ไปทำการกู้คืนมาได้สำเร็จเมื่อบ่ายวันนี้เอง จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ผมได้สันนิษฐานไว้ค่อนข้างจะมั่นใจและฟันธงลงไปได้ 100 % เลยว่า นายฉัตรเทพ ผู้นี้ ที่อยู่ในคราบ นักธุรกิจใจบุญ อาจจะมีความเกี่ยวพันหรือเกี่ยวข้อง และมีความสัมพันธ์กับ สามสาวที่อยู่ภายใต้หน้ากากนี้”

   เผด็จ นำภาพแรก ขึ้นมา “ฉายาของเธอ นางแมวป่า” แล้วก็ ส่งไม้ต่อให้กับเนตรอัปสร

sds

“เท่าที่รู้เธออายุประมาณ 25ปี ต้นกำเนิดที่แท้จริงไม่รู้ที่มาที่ไป รู้แค่ว่า พ่อแม่เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตั้งแต่เธออายุได้ 5 ขวบ เธอมีพี่สาวท้องเดียวกัน 1 คน” แล้วภาพต่อไปก็ปรากฏขึ้น

sds

“คนนี้ ฉายา นางเสือดาว เป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับนางแมวป่า อายุประมาณ 30 ปี จากนั้นประวัติของเธอทั้งสองคนนี้ก็หายวับไปกับตา เหมือนกับว่า ไม่มีตัวตน มันแปลกไหมหละ”

sds

“และคนสุดท้าย ฉายา นางสิงห์ดำ รู้แค่ว่าเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ ถูกเก็บมาเลี้ยงโดย นักฆ่านิรนามคนหนึ่ง ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่จากการรับจ้างฆ่าอย่างลับๆ ”

“และเราก็สันนิษฐานอีกว่า นักฆ่านิรนามคนนั้นก็คือ” เผด็จกล่าวจบ ก็นำเอารูปฉัตรเทพขึ้นมาแทน

sds

“เอาหละครับ ทุกคนก็ได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นของคนเหล่านี้เกือบทั้งหมดแล้ว” เผด็จ ก็เปิดไฟสว่าง

“ยังไม่หมดนะครับภารกิจของเรา พรุ่งนี้ 12 สิงหา วันแม่แห่งชาติ จดหมายขู่วางระเบิดขององค์กรอุบาทแห่งนี้ ได้ขู่เอาไว้ว่า ถ้าไม่นำเงินสด 20 ล้านบาทมาให้ มันจะระเบิดเมืองทิ้ง และสถานที่ที่เป็นเป้าหมายของมันในครั้งนี้ ก็คือ มหาลัยมหิดล ศาลายา เวลา 12.00 น. ผมอยากให้พวกเราช่วยหาข่าวเพิ่มด้วย จากทุกแหล่งที่เรามีอยู่ไม่ว่าจะสลัม ขี้ยา หรือแม้กระทั่งพวกนักเลงหัวไม้ทั้งหลายว่า มันจะวางตรงไหน ตึกอะไร เท่านั้น เรามีเวลาไม่ถึง 20 ชั่วโมงแล้ว ทำได้ไหมครับ” เผด็จใช้น้ำเสียงที่หนักแน่น พูดทิ้งท้าย

“ได้ครับ / ได้ค่ะ” ทุกคนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมกัน

“เพราะถ้าเราพลาด นั่นหมายถึงชีวิตของผู้คนนับร้อย ที่จะต้องจบชีวิตไปเพราะความบ้าของคนๆ เดียว ดังนั้น ผมขอให้ทุกคน ทำงานนี้ให้เต็มที่ เท่าที่จะทำได้ ผมขอฝากเท่านี้หละครับ”

“ขอบคุณทุกคนมากครับ แยกย้ายกันได้เลยครับ ตั้งแต่นี้ไป แล้วพรุ่งนี้พวกเราไปพบกันที่จุดนัดพบ”

   หลังสิ้นเสียงเผด็จ ทุกคนทำความเคารพโดยก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วก็แยกย้ายกันออกไปทำงานทันที โดยไม่มีใครได้พักแม้แต่สักคนเดียว ตามหน้าที่ แล้วเผด็จ ก็หันไปมองหน้าของ ฉัตรเทพ และ สามสาวนักฆ่า

***** ----- *****

   เช้า 7.00 น. ของวันที่ 12 สิงหาคม ที่ มหาลัยมหิดล ศาลายา จุดรวมพลเพื่อบัญชาการของเผด็จ คือ สระว่ายน้ำ และวันนี้ก็เป็นวันสำคัญ มีการเสด็จของคนในพระราชสำนักด้วย ตำรวจเต็มไปหมด มีการขอความช่วยเหลือจากสันติบาลและหน่วยพิเศษอีกต่างหาก ทุกคนมารวมกันครบ แต่ก็ยังไม่มีข่าวที่แน่ชัดว่า จุดไหนแน่ 1 ชั่วโมงผ่านไป 8.00 น. ทุกคนก็หาข่าวกันจนถึงที่สุด สักครู่ ตำรวจหนุ่ม ร้อยตำรวจเอก อัธวิทย์ ปัญจโชติ ก็ได้ปรากฏกายขึ้น พร้อมนำกำลังหน่วยพิเศษมารายงานตัวกับ เผด็จ

sds

“กระผม ร้อยตำรวจเอก อัธวิทย์ ปัญจโชติ หัวหน้าหน่วยพิเศษ นำกำลังพล จำนวน 10 นาย มารายงานตัว เพื่อช่วยภารกิจในวันนี้ ครับ” หลังจากรายงานตัวเสร็จ ก็เหลือบไปเห็นพ่อตัวเองที่ยืนอยู่ข้างๆ เผด็จ

“ตามสบาย พ่อหนุ่ม ไม่ต้องเป็นทางการมาก งานนี้ขอสบายๆ ” เผด็จ บอก วิทย์ด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย

“ขอบคุณครับท่าน” แล้วก็บอกให้ลูกน้องแยกไปพักผ่อน “แล้วตกลงรู้รึยังครับว่าจุดไหน”

“ยังเลยพ่อหนุ่ม ฉันก็รอข่าวจากสายทุกทางของฉันอยู่” เผด็จ ยืนพูดไปพร้อมๆ กับจิบกาแฟ

   วิทย์ โค้งขอตัวแล้วเดินไปหาพ่อตัวเอง “พ่อ” วิทย์เรียกพ่อเบาๆ แล้วก็เดินไปกอดพ่อตัวเอง เผด็จ หันไปดู เห็นสองคนกอดกันกลมเลย แล้วก็หันกลับไปทางเดิม

“ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลยนะพ่อหลายวันเนี่ย ถ้าไม่มีคำสั่งพิเศษให้มาช่วยงานในวันนี้ รับรองผมไม่ได้เจอพ่อแหงเลย ใจดำชะมัด เงียบหายไปไม่ติดต่อบอกกล่าวกันเลยนะ” ลูกชายต่อว่าผู้เป็นพ่อ

“เอ้ยโทษทีวะไอ้ลูกชาย งานยุ่งมากๆ ไป มาทางนี้กะพ่อ” อัธวุฒิ ลากลูกชายตัวเองไปทางเผด็จ

“ไปไหนพ่อ” วิทย์ถาม “เถอะน่า ไม่พาแกไปฆ่าแกงที่ไหนหรอก ไอ้ลูกเวร” อัธวุฒิพูดลอยๆ

“เฮีย” อัธวุฒิ เรียกเผด็จ เขาหันมา “นี่ลูกชายผมเอง อัธวิทย์” อัธวุฒิ แนะนำลูกชาย

“เอ้า สวัสดี คุณลุงซะซิ มือแข็งไปได้” วิทย์พนมมือไหว้ เผด็จ เผด็จรับไหว้

“อ้าวเหรอ มิน่า เห็นครั้งแรก ดูคุ้นๆ ” เผด็จ พูดไม่ทันขาดคำ เนตรอัปสร ก็วิ่งตาตั้งแหวกคนแถวนั้น พร้อมกับถือโทรศัพท์มาให้เผด็จ ด้วยน้ำเสียงแบบเหนื่อยๆ “บอสคะบอส เกศินี โทรมาบอกว่า อีกคนฟื้นแล้ว”

   เผด็จ รีบคว้าโทรศัพท์มาคุยสาย “ว่าไงเกศ” หลังจากที่ได้คุยกับเกศ ไม่นาน พอวางสาย

“ทุกคน เคลื่อนพล เรารู้แล้วว่าระเบิดอยู่ไหน” เผด็จ เตรียมลุย อัธวุฒิถาม เพราะอยากรู้

“ชั้น 4 ตึก โรงแรมนานาชาติ” พอทุกคนได้ยินตำแหน่งที่เผด็จ บอก ก็รีบเคลื่อนพลไปที่นั่นทันที

----- ***** -----

   กำลังพลเกือบร้อย มารวมกันอยู่ที่ตึกนี้ ผู้คนแถวนั้นแตกตื่นตกใจ เพราะไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่นี่ สักพักก็มีโทรศัพท์ลึกลับโทรเข้ามาหาเผด็จ “เก่งนี่ผู้การ ที่หาระเบิดเจอ มาพบกันหน่อยซิ ฉันรออยู่บนดาดฟ้า”

   พอวางสาย เผด็จ ก็รีบวิ่งเข้าลิฟท์เพื่อขึ้นไปดาดฟ้า ก่อนไปตะโกนสั่งงานอัธวิทย์

“ไปกู้ระเบิดที่ชั้น 4 ที่เหลือตามผมมา” ทุกคนหาลิฟท์ขึ้นตามเผด็จไป ส่วนด้านนอกตึก พวกตำรวจก็พยายามกันคนออกให้ห่างบริเวณนั้นให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้เข้าใกล้บริเวณจุดเกิดเหตุ

   เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ทุกคนก็ก้าวออกมาจากลิฟท์ช้าๆ และชักปืนขึ้นมาระแวดระวัง เดินขึ้นบันได เพื่อไปที่ดาดฟ้า เผด็จเดินนำหน้า เขาค่อยๆ เปิดประตูดาดฟ้าออกไป มือซ้ายก็กำปืนประคองเดินย่องไปช้าๆ สายตาก็มองหาคนที่นัดว่าอยู่ตรงไหน ไม่นานเขาก็เจอ ภาพที่ปรากฏก็คือเห็น แม่นั่งอยู่บนรถเข็น ลูกชาย / ลูกสาว นั่งอยู่กับพื้นข้างๆ คุณย่า ทุกคนถูกมัดปากมัดมือมัดเท้า และทุกคนที่ตามเผด็จมาก็เห็นเหมือนกัน เป็นภาพที่สลดใจมาก

   สัตยา ยืนอยู่ข้างๆ กับชายสวมหน้ากากสีดำที่หน้าผากมีสัญลักษณ์ จันทร์ครึ่งเสี้ยว แล้วมันก็เอาปืนจ่อไปที่หัวแม่ของเผด็จ..เผด็จ ชูกุญแจขึ้นทันที “เอาซิ ฉันรู้นะว่าแกต้องการอะไร” สัตยา กระซิบบอกเจ้านาย

“กุญแจ นาย” ชายสวมหน้ากาก จ้องไปที่กุญแจ..คนที่มากับเผด็จ ทุกคน ชูปืนเล็งไปที่พวกของสัตยา

“เอาซิ ถ้าแกทำอะไรแม่ฉัน รับรองเลยว่าแกจะไม่มีโอกาสที่จะได้ของที่แกต้องการคืน”

“แล้วแกจะเอายังไง ผู้การ” ชายสวมหน้ากากสีดำ ถามด้วยเสียงที่เหมือนได้เปรียบ

“กุญแจ 1 ดอก กับ 3 ชีวิต เราแลกกัน ฉันรู้นะ มันคุ้มกับสิ่งที่มันอยู่ในตู้นั้น ว่าไง” เผด็จต่อรอง

“มันไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยเหรอ ผู้การ 1 ต่อ 3” ชายสวมหน้ากากสีดำ ต่อรอง

“ได้ ถ้าแกคิดว่า ไอ้ยาบ้า ล้านกว่าเม็ด ไอ้เฮโรอินอีกเกือบพันโล และไอ้ทองคำอีกเกือบ ร้อยๆ หีบ มันไม่สำคัญ ฉันจะได้ทำลายกุญแจดอกนี้ซะ แล้วพวกแกก็จะไม่สามารถเปิดตู้คอนเทนเนอร์นรกนั้นได้อีกต่อไป”

“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าของข้างในยังอยู่ครบ แกไม่ได้เคลื่อนย้ายออกไปไหน” ชายสวมหน้ากากสีดำแครงใจ ไม่อยากเชื่อเผด็จ เพราะรู้ว่าเผด็จนั้นเจ้าเล่ห์

“ว่าไง อย่าคิดนาน” เผด็จ เหมือนได้เปรียบ สักครู่ อัธวุฒิเข้ามากระซิบที่หนูว่า ลูกชายกู้ระเบิดได้แล้ว

“ได้ ฉันยอมแลก ถ้าแกไม่เล่นสกปรก” ชายสวมหน้ากากสีดำ เริ่มจะเสียเปรียบ

“งั้น เรามาแลกกัน” เผด็จ เดินมาอยู่ตรงหน้า ชายสวมหน้ากากสีดำ พร้อมชูกุญแจไว้ตลอดเวลา และก็ส่งสัญญานให้ ขิง เบียร์ และเพ็ญ เข้ามานำ แม่และลูกเขาออกไปจากตรงนั้น พอเห็นว่าปลอดภัย ก็ยื่นกุญแจดอกนั้นให้กับชายสวมหน้ากากสีดำ อัธวิทย์และพวกขึ้นมาทันเวลาพอดี

“หยุดนะนี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เราได้ล้อมบริเวณนี้ไว้หมดแล้ว มอบตัวซะ อย่าได้ต่อสู้ พวกแกหนีไม่รอดหรอก” สัตยา ไม่ฟังเสียง ยิงต่อสู้ทันที พอเสียงปืนดังขึ้น ความชุลมุนก็เกิดทันที ชายสวมหน้ากากสีดำ รีบเก็บกุญแจ แล้วก็รีบหาทางหลบหนี พร้อมทั้งโยนระเบิดควันเพื่อเปิดทางหนีออกไป และตะโกนเสียงดังลั่น

“จะรออะไรอีก ทำไมไม่ออกมาสักที จะรอให้ฉันตายซะก่อนรึไง ไอ้พวกโง่”

   สิ้นเสียงของชายสวมหน้ากากสีดำ หลังจากควันระเบิดจางหายไป สามสาวนักฆ่า ก็ปรากฏตัวขึ้นมาทันที เดินออกมาจากกลุ่มควันช้าๆ อย่างสง่าผ่าเผย กับผ้าคลุมที่สวยงาม

“นางแมวป่า นางเสือดาว นางสิงห์ดำ” เผด็จ รึงพึงอยู่ในใจ

“ได้เจอกันจริงๆ ซึ่งๆ หน้าซะทีนะ สาวน้อย” เผด็จ ตะโกนออกไป

“พูดมาก เสียเวลา ลุย” นางแมวป่า เปิดฉากลุยคนแรก เธอสะบัดอาวุธประจำตัวเธอออกมาแล้วก็วิ่งตรงไปยังเผด็จ นางเสือดาว วิ่งตรงไปยัง อัธวุฒิ ส่วน นางสิงห์ดำ ก็จับคู่สู้ได้กับ จ่าสน..ขิง เบียร์ และเพ็ญ ก็พาแม่และลูกๆ ของเผด็จหลบออกไปหลังจากที่ได้แก้มัดหมดแล้ว อัธวิทย์ ไล่จับชายสวมหน้ากากสีดำ สัตยา ยิงคุ้มกันไว้ “หนีไปก่อนนาย” สัตยา ยิงเปิดทางให้ แล้วชายสวมหน้ากากสีดำ ก็วิ่งหนีไปอีกทางหนึ่ง

“จะไปไหน บอกว่าอย่าหนี” < เปรี้ยง > สัตยา ยิงสวนเข้าไป อัธวิทย์และทีม หาที่หลบคนละมุม

   เผด็จต่อสู้กับนางแมวป่า แบบออมมือ เพราะยังไม่อยากทำอะไรลงไปมาก อยากรู้ว่าหน้าแท้ๆ ของเธอภายใต้หน้ากากนี้คือใคร นางแมวป่า ประมาทเผด็จ ก็เลยหลงกล โดนเผด็จจับล็อคไว้จนได้ นางแมวป่าอยู่ในอ้อมแขนของเผด็จแบบดิ้นไม่หลุด หลังของเธอชนกับแผ่นอกของเผด็จเต็มๆ ถึงแม้จะมีผ้าคลุมกั้นอยู่ก็ตาม แต่ใจเธอทำไมเต้นเร็วและแรงอย่างนั้น เธอคิดในใจ “นี่เราเป็นอะไรไป” แขนซ้ายของเธอถูกเผด็จจับดันไว้ที่อกของเธอ ส่วนแขนขวาก็ถูกล็อค แล้วบิดมาไว้ข้างหลัง ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด และขาก็โดน เผด็จหนีบเอาไว้

“หอมมาก กลิ่นของนางแมวป่า ได้ดมใกล้ๆ แบบนี้ ได้อารมณ์ดี แบบนี้พี่ชอบ” เผด็จแหย่นางแมวป่า

“อย่านะ จะทำอะไร อย่าให้ฉันหลุดไปได้ ฉันขอสาบานว่า จะฆ่าแกเป็นคนแรก” นางแมวป่า โกรธ

   เผด็จ ค่อยๆ เลื่อนจมูกตัวเอง อ้อมผ่านใบหูขวาของเธอ นางแมวป่า กลัวแบบสุดชีวิต เหลือกตามองเผด็จตลอดเวลา แล้วก็เลื่อนจมูกมาถึงเนินแก้มใสๆ ของเธอ นางแมวป่า หลับตาปี๊ ไม่รู้ว่าเผด็จจะทำอะไร เหงื่อก็ไหลออกมาไม่หยุด เผด็จบรรจงจูบลงไปที่แก้มขวาของเธออย่างเบาๆ และกดอยู่ค่อนข้างนาน นางแมวป่า ลืมตาโพงขึ้นมาทันที อ้าปากค้าง ไม่คิดว่า เผด็จจะกล้าทำแบบนี้กับเธอได้ “ไอ้บ้า” เธอตะโกนออกมาสุดเสียง

>>>>>>>>>> ********** <<<<<<<<<<

โปรดติดตามตอนต่อไปใน ตอนที่ 4 .. “มิตร หรือ ศัตรู”

sds

ตอนที่ 3 .. “New Born ชีวิตใหม่”

นิยาย แนว อาชญากรรม และนักสืบ (Detective and Crime Novel) / สืบสวนสอบสวน (Suspense) / Action

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.