ตอนที่ 933 ฐานกบฏ
ตอนที่ 933 ฐานกบฏ
“เซี่ยเฟย นายอยากได้อาวุธวิญญาณจริง ๆ ใช่ไหม?” ลินนิจถามหลังจากใช้เวลาคิดอยู่นานกว่า 10 นาที
“อะไรกันตอนนี้คุณเปลี่ยนใจแล้วงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม ฉันแค่รู้สึกว่าการสิงสถิตอยู่ในอาวุธก็ไม่ได้แย่มากนัก ถึงแม้นายจะอยู่กับฉันมาไม่นานแต่ฉันก็แอบสังเกตดูนายมาตั้งนานแล้ว”
“การพัฒนาของนายเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก และนายก็ไม่ค่อยที่จะทำตามกฎเหมือนกับคนอื่น ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่นายตั้งเป้าหมายของตัวเองเอาไว้แล้วนายก็จะไล่ตามเป้าหมายนั้นไปให้ได้ ไม่ว่ามันจะมีอุปสรรคขวากหนามมากเท่าไหร่ก็ตาม” ลินนิจกล่าว
“ช่วยไม่ได้นี่นา ชีวิตนี้ผมเกิดมาแค่ครั้งเดียวแล้วทำไมผมจะต้องไปเดินตามเส้นทางของคนอื่นด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“นายรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการเป็นอาวุธวิญญาณ” ลินนิจกล่าวขณะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของชายหนุ่ม
“อะไร?” เซี่ยเฟยถาม
“การเป็นอาวุธหมายความว่าฉันจะต้องตกไปอยู่ในมือของใครสักคน แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันได้ตกอยู่ในมือของเจ้านายที่ไม่คู่ควร มันก็หมายความว่าฉันจะต้องตกอยู่ในนรกไปตลอดชีวิต” ลินนิจกล่าว
“คุณก็เฝ้าดูผมมานาน คุณยังไม่มั่นใจในตัวผมอีกงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“สำหรับฉันการอยู่ในชิปหรือการอยู่ในอาวุธมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ยิ่งไปกว่านั้นทั่วทั้งจักรวาลนี้ฉันก็เป็นคนที่เชื่อในศักยภาพของนายมากว่าใคร”
“ฉันคอยเฝ้าดูนายมานานมาก ๆ แล้ว และฉันก็สามารถยืนยันได้เลยว่าทั่วทั้งจักรวาลนี้ไม่มีทางจะมีสัตว์ประหลาดเหมือนกับนายเป็นคนที่ 2 ถ้าหากว่าจะมีใครสักคนพิชิตจักรวาลนี้ได้ คนคนนั้นก็ต้องเป็นนายอย่างแน่นอน” ลินนิจกล่าว
“ในเมื่อคุณมั่นใจในตัวผมขนาดนั้น แล้วทำไมคุณถึงไม่ตอบตกลงมาเป็นอาวุธวิญญาณให้กับผมตั้งแต่แรกล่ะ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัยเมื่อได้รู้ว่าทำไมลินนิจถึงประเมินเขาเอาไว้สูงขนาดนี้
“ศักยภาพของนายเหนือเกินกว่าใครในจักรวาลนี้แน่นอน แต่นิสัยบ้า ๆ ของนายมันก็อาจจะทำให้วันหนึ่งนายได้กลายเป็นศัตรูของคนทั่วทั้งจักรวาล เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันตอบตกลงเป็นอาวุธวิญญาณให้กับนาย มันก็หมายความว่าฉันจะต้องเป็นศัตรูกับคนทั่วทั้งจักรวาลด้วย” ลินนิจกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“การตัดสินใจครั้งนี้มันก็เป็นเหมือนกับการเดิมพันสิ่งสำคัญในชีวิต ถ้าหากว่าฉันเดิมพันถูกฉันก็จะกลายเป็นอาวุธของนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล แต่ถ้าฉันเดิมพันผิดฉันก็อาจจะกลายเป็นศัตรูกับคนทั่วทั้งจักรวาลด้วยเหมือนกัน” ลินนิจกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นคุณอยากจะลองเดิมพันกับผมดูไหมล่ะ?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับเผยรอยยิ้มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์
—
แม้ว่าลินนิจจะพูดเรื่องต่าง ๆ อย่างมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจรวมตัวกับฮอร์ครักซ์เพื่อกลายมาเป็นอาวุธวิญญาณของเซี่ยเฟย
ไม่ว่ายังไงตอนนี้เขาก็จำเป็นจะต้องพึ่งพาเซี่ยเฟยเพื่ออยู่รอด และเขาก็ไม่รู้ว่ามันจำเป็นจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าที่เขาจะสามารถฟื้นฟูแกนพลังของตัวเองขึ้นมาได้
ก่อนที่เซี่ยเฟยจะได้ใช้ฮอร์ครักซ์เพื่อสร้างอาวุธวิญญาณ เจมี่นี่ก็เดินทางไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่เขาได้ตั้งเอาไว้เสียก่อน
จากคำสั่งของบรรพบุรุษเขาต้องนำเจมินี่เก็บเข้าไปภายในแหวนมิติหลังจากเดินทางมาจนถึงเป้าหมาย โดยยานลำนี้เป็นเพียงยานลำเล็ก ๆ ที่สามารถรองรับคนได้เพียงแค่ 6 คน เขาจึงสามารถเก็บยานเข้าสู่แหวนมิติได้อย่างง่ายดาย
สถานที่นัดพบคือต้นไม้โบราณที่มีความสูงมากกว่า 3 กิโลเมตร แต่เซี่ยเฟยก็ไม่ได้ตรงไปยังสถานที่นัดพบโดยตรง แต่เขาทำการสำรวจพื้นที่บริเวณโดยรอบเสียก่อน เมื่อยืนยันได้ว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติเขาจึงมุ่งหน้าตรงไปยังโคนต้นไม้
“บรรพบุรุษของนายให้นายมาที่นี่เพื่อเจอกับใครกันแน่? ดูยังไงที่นี่มันก็เหมือนจะไม่มีใครอยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอยู่ห่างจากดินแดนกฎมาก คนที่นายจะต้องพบอาจจะไม่ใช่คนธรรมดา” ลินนิจกล่าวอย่างกังวล
เมื่อลินนิจตัดสินใจจะกลายเป็นอาวุธวิญญาณให้กับเซี่ยเฟย เขาจึงมีความคิดที่เป็นห่วงชายหนุ่มคนนี้มากยิ่งขึ้น
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่บรรพบุรุษให้ผมไปที่ดวงตาจักรวาลเขาก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเอาไว้เลย เหมือนเขาขอให้ผมไปดูดวงตาจักรวาลเท่านั้นไม่ได้มีภารกิจอะไรที่ต้องไปจัดการเป็นพิเศษ”
“รายละเอียดที่บอกให้ผมมาที่นี่ก็มีแค่การบอกให้ผมมาเจอเพื่อนเก่าของเขา และถ้าหากว่าผมมีคำถามอะไรก็ให้ผมถามคำถามจากเพื่อนของเขาได้เลย” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
“ฉันเคยได้ยินมานานแล้วว่าเซี่ยกู่เฉิงเป็นคนแปลก ๆ แต่ฉันเพิ่งจะยืนยันได้ก็ตอนนี้เนี่ยแหละว่าเขาเป็นคนที่แปลกประหลาดมากจริง ๆ” ลินนิจกล่าว
แต่ในระหว่างที่เขาพูดจบอยู่นั่นเองร่าง 2 ร่างก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเซี่ยเฟย
“ทำไมเป็นนาย!?”
“ทำไมเป็นพวกคุณ!?”
เซี่ยเฟยและเทพขาวกับเทพเจ้าดำอุทานขึ้นมาเกือบจะพร้อม ๆ กัน เมื่อพวกเขาได้พบว่าคนที่ตัวเองต้องมาเจอคือคนที่พวกเขารู้จักอยู่ก่อนแล้ว
“อะไรกันนี่นายเพิ่งจะเข้าสกายวิงได้ไม่นาน แต่บรรพบุรุษถึงกับไว้วางใจให้นายมาเป็นตัวแทนเจรจาของตระกูลแล้วงั้นเหรอ?” เทพดำก้าวเท้ามาด้านหน้าพร้อมกับตบไหล่เซี่ยเฟยเบา ๆ
ทันทีที่เทพดำกล่าวจบเซี่ยเฟยก็สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เพราะการที่บรรพบุรุษให้เขามาเป็นตัวแทนเจรจากับเทพขาวเทพดำ มันก็หมายความว่าเขากลายเป็นเป็นตัวแทนของสกายวิงที่จะต้องมาเจรจาเงื่อนไขกับกลุ่มกบฏ
เป็นไปได้ไหมที่บรรพบุรุษกำลังจะนำสกายวิงออกมาจากดินแดนกฎจริง ๆ เหมือนกับที่เซี่ยเค่อกับเซี่ยเหลียนหนิงได้บอกกับเขาไว้!
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบรรพบุรุษถึงให้เขาเดินทางมาที่นี่อย่างเป็นความลับ และมันก็หมายความว่าการเจรจาในครั้งนี้มันไม่ใช่การตัดสินใจที่จะทำได้ง่าย ๆ
คำถามก็คือทำไมบรรพบุรุษถึงส่งตัวเขามาเป็นตัวแทนของการเจรจา เพราะในตระกูลมีคนอีกหลาย ๆ คนที่มีคุณสมบัติดีกว่าเขา คำถามเหล่านี้จึงวนอยู่ในหัวของชายหนุ่มซ้ำ ๆ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าบรรพบุรุษกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
แม้ว่าภายในใจจะว้าวุ่นแต่สีหน้าของชายหนุ่มก็ยังคงนิ่งเฉยเป็นปกติ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาแสดงอารมณ์ออกมาทางใบหน้า มันก็จะเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนให้กับฝ่ายตรงข้าม
“ในสกายวิงนอกเหนือจากผู้อาวุโสแล้วก็มีเพียงแค่เซี่ยเฟยที่มีศักยภาพพัฒนากลายเป็นอีวิลวิงในอนาคต บางทีผู้อาวุโสเซี่ยอาจจะต้องการฝึกฝนให้เซี่ยเฟยมีประสบการณ์เอาไว้ในอนาคต เขาจะได้ไว้วางใจมอบตระกูลเอาไว้ให้เซี่ยเฟยดูแล” เทพขาวกล่าวขึ้นมาอย่างสงบ
“นั่นสินะ ไม่ว่ายังไงสกายวิงก็ต้องมีอีวิลวิงคอยค้ำจุนอยู่ตลอด และทั่วทั้งตระกูลในตอนนี้ก็มีอีวิลวิงอยู่เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น ในเมื่อผู้อาวุโสมอบความไว้วางใจให้กับนายแล้วนายก็อย่าทำให้เขาผิดหวังล่ะ” เทพดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกคุณ 2 คนเก่งจัดมากเลยนะที่เดินทางมาที่นี่ได้ด้วยตัวเอง ว่าแต่พวกคุณรู้จักกับบรรพบุรุษได้ยังไงงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยเคยเห็นความสามารถของเทพขาวเทพดำมาก่อน และถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ใช่จอมเทพระดับสูงสุด แต่ระดับพลังของพวกเขาย่อมไม่ต่ำกว่าจอมเทพอย่างแน่นอน
“บรรพบุรุษของนายเคยช่วยชีวิตพ่อของพวกเราเอาไว้ ดังนั้นพวกเราย่อมไม่ได้คิดร้ายต่อสกายวิงของนายแน่นอน ดังนั้นนายไม่จำเป็นจะต้องกังวลอะไรไปหรอก” เทพดำกล่าว
ระหว่างนี้เซี่ยเฟยก็กำลังรู้สึกหดหู่ใจมากเมื่อเขาต้องมารับมือกับสถานการณ์สำคัญอย่างกะทันหันแบบนี้ ถึงแม้บรรพบุรุษอยากจะมอบบททดสอบอะไรให้กับเขา แต่บททดสอบนั้นมันก็ไม่ควรจะมาอย่างกะทันหันในรูปแบบนี้เลย
“ขอขอบคุณพวกคุณทั้งคู่แทนบรรพบุรุษของเราด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเคร่งขรึมแต่ภายในใจเขากำลังรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย เพราะเขายังไม่เคยได้พบกับบรรพบุรุษของตระกูลด้วยซ้ำ แต่เขาต้องมาเป็นตัวแทนการเจรจาในฐานะของบรรพบุรุษแล้ว
“นายอย่าพูดแบบนั้นเลย ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่าตอนนี้ในราชวังราชันย์เทพมีเพียงบรรพบุรุษของนายเท่านั้นที่ยังคงพยายามพูดคุยด้วยเหตุผล ถ้าไม่มีบรรพบุรุษของนายสักคนสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ก็คงจะเริ่มต้นไปตั้งนานแล้ว” เทพดำกล่าว
ท่าทางของเทพขาวเทพดำทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะทั้งคู่ดูจะจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรพบุรุษของเขาราวกับว่าบุคคลทั้งสามน่าจะรู้จักกันมาเป็นเวลานาน
“เอาล่ะตอนนี้มันก็เย็นมากแล้ว พวกเราเริ่มออกเดินทางกันเถอะ” เทพขาวกล่าวขณะมองดูท้องฟ้า
หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินตามเส้นทางไปยังฐานของกบฏ ซึ่งเซี่ยเฟยก็ตัดสินใจเดินตามหลังทั้งคู่ไปอย่างเงียบ ๆ
“เลิกคิดถึงความสัมพันธ์ในอดีตของพวกเราได้แล้ว วันนี้นายมาในนามของสกายวิง ดังนั้นพวกเราสองพี่น้องย่อมไม่มีสิทธิ์จะเดินนำหน้านาย” เทพขาวกล่าวอย่างจริงจัง
‘มาในนามของสกายวิง! บรรพบุรุษคุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?’ เซี่ยเฟยแอบบ่นอยู่ภายในใจ
‘เอาล่ะในนามของสกายวิงไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นกบฏหรือผู้พิทักษ์ วันนี้ฉันก็จะไม่ทำให้ตระกูลเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ!’
เมื่อคิดตัดสินใจได้แล้วเซี่ยเฟยก็ยืดหน้าอกอย่างเด็ดเดี่ยวพร้อมกับเดินเคียงข้างเทพทั้งสองเข้าไปภายในฐานของกบฏ
***************
จู่ ๆ ก็ได้เป็นตัวแทนของตระกูลในการตัดสินอนาคตตระกูล แม่เจ้า!


แสดงความคิดเห็น