STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 20 ปลาติดอวน

STARCIN อุบัติมหาสงครามสตาร์คิน

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 20 ปลาติดอวน

แม้จะตกดึกแต่ก็ยังคงมีแสงสว่างต้องยกความดีงามให้กับระบบไฟฟ้าและซึฮากิที่สร้างสิ่งเหล่านี้ จากเมืองที่ล่มสลายกลายเป็นเมืองที่ไม่มีวันหลับใหลไม่ว่าจะร้านอาหารหรือการทำงาน

“นายเป็นคนสร้างของพวกนี้เหรอ?”

“อืม ฉันเป็นคนเริ่มแต่ถ้าไม่มีคนงานที่มีฝีมือก็คงทำให้เป็นจริงได้ยาก เผ่าอมนุษย์หลาย ๆ เผ่ามีความสามารถที่สูงกว่ามนุษย์ธรรมดา ยิ่งถ้าเป็นงานด้านการประดิษฐ์ต้องมีพวกคนแคระมาช่วยด้วย”

ภายในห้องอันมืดมิดมีเพียงหนุ่มสาวสองคนที่นอนหันหลังให้กัน

“ที่ผ่านมานายคงลำบากมากสินะ...ทั้ง ๆ ที่สัญญาว่าจะคอยช่วยเหลือกันและกันแท้ ๆ แต่ฉันกลับ”

“ตอนนั้นเรายังเป็นแค่เด็กใหม่ไม่อาจต่อต้านพวกมันได้แต่ตอนนี้มันกลับกันแล้ว พวกเราสามารถอยู่ที่นี่ได้...บ้านที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุก ๆ คนอยู่กันได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาทำร้าย ไม่ต้องกังวลว่าจะอดอยากหรือไม่”

“แล้วทำไมน้ำเสียงถึงดูเศร้านักล่ะ” แม้ซึฮากิจะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่ฟรานกลับรู้สึกได้ถึงความกังวลภายในใจ

“ไม่มีความสุขที่ยั่งยืนเช่นเดียวกับความทุกข์ ตอนนี้เมืองเอลโฟเรียยังไม่มีศัตรูที่เป็นภัยนักแต่ถ้าเหล่าจอมมารเริ่มเคลื่อนไหวล่ะ? หรือจะเป็นอาณาจักรนอดที่กำลังเตรียมกองทัพเพื่อบุกล่าอาณานิคมก็ยุ่งยากไม่แพ้กัน”

“ให้ฉันช่วยไหม?”

ซึฮากิบิดตัวหันกลับมาอีกด้านจึงได้เห็นฟรานที่จ้องมองแผ่นหลังของเขามาตลอด แสงไฟจากด้านนอกส่องเข้ามาพอให้เห็นแววตาใสซื่อบริสุทธิ์

“ตอนนี้ยังพอควบคุมสถานการณ์ได้แต่ก็คาดเดาการกระทำของพวกนั้นไม่ได้เหมือนกัน” โดยเฉพาะเวทมนตร์ที่ทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว แสงสีขาวที่ปรากฏตอนนั้นเสมือนประตูเคลื่อนย้ายแต่ใครเป็นคนทำอย่างนั้นกันนะ

“เอาเถอะ ช่วงเวลาที่มีความสุขก็ต้องดื่มด่ำมันให้พอใจ” ฟรานค่อย ๆ เขยิบตัวเข้าใกล้เลื่อนสายตามองกันและกันด้วยความสงสัย

ซึฮากิเงียบไปครู่หนึ่งจนฟรานต้องพูดต่อ

“ฉันทำขนาดนี้แล้วนายยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ?”

ซึฮากิหันหน้าหนีไปอีกฝั่งจ้องมองกำแพงตรงหน้าพลางคิดในใจ เป็นใครก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ แต่มันก็

“อย่าหลบตาฉันสิ เมื่อก่อนเราก็นอนมองหน้ากันตลอดไม่ใช่เหรอ?”

“เมื่อก่อน? ตอนไหนทำไมฉันจำไม่ได้” ซึฮากิพยายามนึกจนปวดหัวแต่ก็นึกไม่ออก พวกเขาเคยรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหนแล้วมีความสัมพันธ์ต่อกันยังไง

“ให้ตายสิ” ฟรานถอนหายใจรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าเมื่อได้ยินคำตอบของซึฮากิ

“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่...ฟราน?”

“จำไม่ได้จริง ๆ สินะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำให้จำได้เอง” ฟรานเอื้อมแขนเข้ากอดซึฮากิจากด้านหลังเล่นเอาชายหนุ่มผู้เยือกเย็นสะดุ้งตกใจ

“ตอนที่ฉันยังเล็กในวันที่สดใสครอบครัวหนึ่งกำลังเดินทางไปเที่ยวงานประจำปี แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายเพราะรถบรรทุกหลับใน...พุ่งข้ามเกาะกลางมาชนรถของเรา ฉันเป็นคนเดียวที่รอดมาได้และโชคร้ายเพราะทั้งพ่อและแม่ตัดขาดกับญาติพี่น้องหมดแล้วก็เลยไม่มีใครอยากรับไปเลี้ยง”

“เสียใจด้วยนะ” ซึฮากิเลื่อนมือลงกุมมือของฟรานไว้พยายามให้ความอบอุ่นเพื่อเป็นการปลอบใจ

“อืม หลังจากที่ไม่มีใครมารับตัวก็เลยถูกส่งไปยังบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าก่อน ช่วงแรก ๆ ที่ไปอยู่ฉันเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ พวกเขาชอบเข้ามาแหย่ฉันเล่นทั้งผมทั้งใบหน้าบางวันก็เอาหมากฝรั่งใส่ผม...นายคิดว่ายังไงล่ะ?”

“พวกเด็กไร้มารยาทสมควรถูกสั่งสอน”

“ใช่ ๆ ตอนนั้นนายก็พูดแบบนั้นเลย ทุกครั้งที่ฉันโดนแกล้งนายก็มักจะพูดอะไรที่มันดูไม่สมกับเด็ก พอหลัง ๆ นายก็เลยให้ฉันนอนห้องเดียวกันเพื่อไม่ให้โดนแกล้ง” น้ำเสียงดี๊ด๊าดีใจที่ได้พูดเรื่องในอดีตแม้จะมีเรื่องแย่ ๆ แต่ก็มีความทรงจำดี ๆ อยู่ด้วย

ภาพในวัยเด็กค่อย ๆ รื้อฟื้นจากส่วนลึกของความทรงจำ ความรู้สึกหลาย ๆ อย่างที่พยายามปิดกั้นไว้เพื่อให้ดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นกำลังกลับมาอีกครั้ง

“พอจำได้ราง ๆ”

“เห็นไหมล่ะเดี๋ยวฉันจะทำให้จำได้เอง หันมาทางนี้สิ” เธอฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะที่ซึฮากิค่อย ๆ หันกลับมาจ้องตากัน

“ตอนที่ฉันร้องไห้เพราะคิดถึงครอบครัว นายก็จะให้ฉันนอนซุกอกจนกว่าจะหลับ” ฟรานเอาหัวซุกหน้าอกของซึฮากิเช่นกับซึฮากิที่ค่อย ๆ วางมือลงบนหัวราวกับพยายามโอบอุ้มความทุกข์นั้นไว้ด้วยสัญชาตญาณทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ

“แบบนั้นแหละ ความรู้สึกสบายใจที่บอกไม่ถูก...”

เสียงของหญิงสาวค่อย ๆ เงียบลงเหลือไว้เพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ไม่นานนักซึฮากิก็ผล็อยหลับจนถึงเช้า

22 มีนาคม พ.ศ.2576

“พี่กิ !” คิโนริเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียงจึงได้เห็นภาพอันอบอุ่นที่ฟรานและซึฮากินอนกอดกันกลมเหมือนเด็กตัวน้อย

“มีเรื่องอะไรเหรอ?” ซึฮากิรีบลุกออกจากเตียงทันทีสนใจเรื่องที่คิโนริรีบร้อนมาเรียกเสียมากกว่า

“มะไม่มีอะไร เชิญพี่กิพักผ่อนต่อเถอะค่ะ” คิโนริวิ่งหน้าตั้งหนีออกไปขณะที่ซึฮากิยังมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นแถมยังแขนชาเพราะนอนทับอีกต่างหาก

เสียงบิดขี้เกียจร้องลั่นของฟรานถ้าคนอื่นเห็นคงไม่เชื่อว่าเป็นกิริยาท่าทางของผู้กล้า “อรุณสวัสดิ์กิจัง”

“เธอนอนต่อก็ได้...” พูดไม่ทันขาดคำฟรานก็เดินนำหน้าซึฮากิออกไปเสียก่อน

เมื่อกี้เขาเห็นหน้าตอนเราพึ่งตื่นไหมเนี่ย ต้องรีบไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก่อน ฟรานวิ่งหน้าตั้งทิ้งซึฮากิยืนงงอยู่คนเดียวต่อไป

เมื่อเขาไปยังห้องอาหารจึงได้เห็นคูเปอร์และเพื่อน ๆ คิโนรินั่งคุยกันจริงจังจนหน้าเริ่มตึงเครียด

“มีเรื่องอะไรกัน?”

“พี่ชายของคูเปอร์กำลังแย่ครับ” เอเดินมาลากตัวซึฮากิเข้าไปด้วยความเป็นห่วง

“อาณาจักรนอดเกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ” ท่าทางร้อนรนของคูเปอร์ที่มือไม้สั่นจนเหงื่อออกไม่หยุดทำให้ซึฮากิเป็นกังวล

“เล่ามาด่วนเลย”

“ที่นั่นเกิดการจลาจลแล้วพี่คาร์เตอร์ก็เข้าร่วมกองทัพเพื่อปราบปราม...แต่ดันพลาดโดนเวทระเบิดทำแขนขาดเลยครับ”

“ใจเย็น ๆ ก่อนคูเปอร์” ต้องเข้าใจแหละถ้าเป็นเด็กตัวน้อยที่มีที่พึ่งเป็นพี่ชายเพียงคนเดียว ถ้าเขาคนนั้นเป็นอะไรไปสำหรับคูเปอร์ก็คงเศร้าเสียใจขนาดนี้ก็ไม่แปลก

“เมื่อกี้พี่คาร์เตอร์ส่งข้อความให้พี่กิครับ พี่เขาบอกว่าพักหลังมานี้มีการก่อจลาจลบ่อยขึ้นจนน่าแปลก”

อัตราการก่อจลาจลเพิ่มขึ้นจะมีสองเหตุผล หนึ่งก็คือถูกจัดฉากวางแผนไว้และสองคือผู้คนรวมตัวกันก่อจลาจลเองเพราะคุณภาพชีวิต เงินเดือน การทำงานหรือเรื่องอื่น ๆ

“มีข้อสันนิษฐานอะไรไหม?”

คาร์เตอร์กระตุกยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้นผ่านหูของคูเปอร์ เขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างพลางนึกถึงเหล่าทหารที่ความศรัทธาต่อตัวจักรพรรดินีค่อย ๆ ลดลง

“อาจจะเป็นทั้งสองอย่าง นี่เป็นข้อความที่พี่คาร์เตอร์บอก”

“ขอบใจมากคูเปอร์ แล้วอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง?”

เขามองเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันที่คอยอยู่เคียงข้างแม้จะไม่ได้สนิทสนมกันนัก แววอันใสซื่อช่างแตกต่างกับคูเปอร์ยิ่งนักราวกับเขาได้เผชิญโลกมามากกว่าแต่ก็ยังมีอารมณ์ท่าทางเหมือนเด็ก ๆ

“ถ้าพี่คาร์เตอร์ได้มาอยู่ด้วยก็คงดีนะครับ” รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของเด็กตัวน้อยที่ได้สัมผัสการนอนการกินอย่างมีความสุขจริง ๆ อาณาจักรนอดที่มีวัฒนธรรมยอมรับอมนุษย์เพศหญิงแต่เพศชายกลับเป็นแรงงานไม่ก็โดนขับไล่

“พี่จะหาทางพาเขามาให้ได้ วิธีการก็คงมีไม่มากอย่างการเจรจา ต่อต้าน ลักลอบแต่วิธีอื่นดูจะลำบากเกินไปเพราะฉะนั้นคงต้องใช้วิธีลักลอบแอบพาออกมา”

“มันจะอันตรายเกินไปหรือเปล่า?” ฟรานเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถามเมื่อได้เห็นได้ยินเรื่องทั้งหมด

“อันตรายแน่นอนแต่พวกเราก็เสี่ยงอันตรายมาตลอดอยู่แล้ว”

“ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้เลยนะ ปกตินายจะคิดคำนวณไว้อยู่แล้วมันอาจจะทำให้นายมั่นใจเกินไปจนเกิดเป็นความประมาทก็ได้”

“ก็เพราะคำนวณไว้หมดแล้วยังไงล่ะถึงมั่นใจ”

“เอาเถอะน่าลองคิดอะไรที่มันนอกกรอบสักอย่างก็ได้ อย่างเรื่องลับ ๆ ของศัตรูหรือสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้อาจจะเป็นแค่ด้านเดียวของคนคนหนึ่ง”

“อืม...เรื่องลับ ๆ ของอาณาจักรนอด อดีตเคยเป็นถึงจักรวรรดิอันน่าเกรงขามที่เป็นขั้วอำนาจกับอาณาจักรเซีย”

ระหว่างคิดไปเรื่อยคำพูดของฟรานมันก็ทำให้ซึฮากิปลดล็อกสมองที่พยายามอัดอั้นไว้ไม่ให้คิดมากเกินไป แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเป็นคนที่คิดรอบคอบแต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยสมองให้ไหลไปเกินควรแต่บัดนี้ความรู้สึกและการสั่งการค่อย ๆ ทำงานมากยิ่งขึ้นเหมือนได้กลับไปตอนเด็กอีกครั้ง

“แต่เดิมจักรพรรดินีเป็นแค่ทหารรับใช้ของจักรพรรดิองค์ก่อน ก่อนที่จักรพรรดิจะหายสาบสูญก็ได้แต่งตั้งแคทเทอรีนขึ้นเป็นจักรพรรดินี แม้จะมีคนเห็นชอบเพราะเคยเห็นความสามารถของเธอมาก่อนแต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ยอมรับจนเป็นข่าวลือไปทั่วว่าเธอเป็นคนบังคับและฆ่าจักรพรรดิด้วยตัวเอง”

ซึฮากิบ่นพึมพำกับตัวเองไม่หยุดจนคนอื่นต้องหาที่นั่งรอฟังซึฮากิสาธยายต่อไป

“ไม่เพียงแค่ประชาชนธรรมดาแต่ขุนนางหรือราชวงศ์ก็รู้สึกไม่ชอบใจเช่นกัน แทนที่คนสายเลือดเดียวกันจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแต่ตำแหน่งกลับไปตกอยู่ที่ทหารรับใช้ส่วนตัว”

“แสดงว่ามีความเป็นไปได้ที่การก่อจลาจลจะมีคนหนุนหลัง” ฟรานพูดต่อเมื่อซึฮากิหยุดเว้นช่องว่าง

“ใช่ ๆ ถ้าเราคิดในมุมที่มีคนหนุนหลังก็ต้องคิดหาคนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้วจะเป็นใครกันล่ะ?” เขาส่งสายตาให้กับทุก ๆ คนที่อยู่ตรงนั้นราวกับเป็นคำถามที่อยากให้ทุกคนออกความเห็น

“พวกเชื้อสายจักรพรรดิแน่ ๆ พวกเขาคงเจ็บใจน่าดูที่ไม่ได้ตำแหน่งนั้น” ฟรานตอบทันทีเหมือนคิดเอาไว้แล้ว

“นั่นแหละผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งแต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ขุนนาง กลุ่มจลาจล เหล่าอมนุษย์ที่ถูกกดขี่ ไม่ว่าจะอย่างไหนก็เป็นผู้ต้องสงสัยทั้งนั้นหรืออาจจะไม่มีคนหนุนหลังก็ได้”

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไง?”

“ไม่มีทางมั่นใจจนกว่าจะมีข้อมูลเพียงพอ”

ขณะเดียวกันที่คฤหาสน์ของจักรพรรดินีมีผู้ประท้วงหลายสิบคนเข้ามาเพื่อเรียกร้องให้ลดภาษีเสบียง

“ฉันต้องทำยังไงต่อ? ต้องลดไปถึงเท่าไรถึงจะเพียงพอต่อจำนวนทหารและเป็นที่พอใจของพวกเขา” สีหน้าของแคทเทอรีนไม่สู้ดีนักเพราะนี่ไม่ใช้การต่อสู้ที่คุ้นเคย ความสามารถในการบริหารหรือจัดการกับคนโดยไม่ใช้ความรุนแรงไม่ใช่ทางที่ถนัดโดยเฉพาะการรับมือกับแรงกดดันทางสังคม

“เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เอง เธอหยุดคิดเรื่องผู้คนและจัดการเรื่องของตัวเองต่อไป” ทีโอน่ายื่นโพยสำหรับกล่าวแถลงให้กับแคทเทอรีน

“เจ้านั่นเราก็ยังตามหาไม่เจอ แถมนักดมกลิ่นก็ทำงานไม่ได้เรื่องอีก”

“ไม่ต้องห่วงค่ะดูเหมือนกลุ่มนักฆ่าที่เราจ้างวานจะเดินทางมาถึงแล้ว”

พูดไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากทหารคุ้มกันนอกห้องไม่นานนักก็มีกลุ่มหนุ่มสาวเปิดประตูเสียงดัง

“ขอประทานอภัยที่ให้รอนานนะครับ...ท่านจักรพรรดินีทุ่งสีขาว” ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าทำความเคารพก่อนที่เพื่อน ๆ ของเขาจะทำตาม

“พวกนายมาจาก...”

“สำนักมนตร์ดำครับ พวกเราพร้อมทำงานทุกเมื่อยิ่งค่าตอบแทนสูงงานก็ยิ่งเสร็จไว”

แคทเทอรีนนั่งนึกคิดมองและวิเคราะห์กลุ่มคนเหล่านั้น สำนักมนตร์ดำเป็นศูนย์รวมนักฆ่าที่ไม่ขึ้นตรงต่อใครทั้งสิ้น

“พวกแกสามารถตามหาคนได้หรือไม่?”

“ถ้ามีข้อมูลมากพอเราก็ยิ่งตามหาได้เร็วครับ” ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มตอบได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีความหวั่นเกรงใด ๆ

“พวกฉันพอจะจำลักษณะของพวกมันได้บ้างน่าจะไม่มีปัญหา” หลังจากนั้นแคทเทอรีนและทีโอน่าก็ช่วยกันอธิบายลักษณะรูปร่างหน้าตาโดยมีหนึ่งในกลุ่มนักฆ่าเป็นคนวาดรูปเสมือนตามที่ได้ฟัง

“ใช่แบบนี้หรือเปล่าคะ?” หลังจากวาดครบก็ส่งให้กับแคทเทอรีนดู

“ใช่ ๆ แบบนี้เลย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ฉีกยิ้มแสยะออกมา

“ถ้าเป็นพวกนี้เรารู้จักดีเลยครับ”

ทั้งแคทเทอรีนและทีโอน่าต่างก็สงสัยในคำพูดกำกวมเหมือนจะเป็นศัตรูหรือมิตรก็ไม่อาจทราบได้

“แกเป็นอะไรกับพวกนั้น?”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ “คู่กรณี...ประมาณนั้นครับ”

“แล้วคิดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน?”

“ไม่เกินสองอาทิตย์แน่นอนครับ เพราะพวกเรามีสายอยู่ที่เดียวกับบ้านของเจ้าพวกนั้น” กลุ่มคนของสำนักมนตร์ดำแฝงตัวอยู่ทุกที่ทุกอาณาจักรทำให้มีการส่งต่อข้อมูลได้อย่างรวดเร็วนำไปซึ่งการทำงานที่มีอัตราความสำเร็จมากถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์

“จะเป็นอะไรไหมถ้าฉันจะจ้างเพิ่มอีกงาน เป็นงานตามจับเหมือนกันที่พึ่งเกิดเรื่องเมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วย”

“พวกเราทำตามค่าจ้าง ถ้าท่านจักรพรรดินียอมจ่ายเพิ่มเราก็ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ”

“ดี ! หลายวันก่อนมีคนบุกเข้ามาในเขตที่พักของทหารและยังระเบิดโรงอาหารอีกด้วย หลังจากเกิดระเบิดไม่นานเราก็พบหนึ่งในทหารยามหมดสติอยู่แถว ๆ ศูนย์กระจายข้อมูล ถึงแม้จะวางกำลังที่มีเวทมนตร์ตรวจจับไว้หลายคนแต่กลับพลาดท่าปล่อยให้หนูเข้ามาวิ่งเล่นได้”

“อืม...นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ลักลอบเข้าไปขโมยของโดยจะต้องใช้คนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าให้ดีก็ต้องทำคนเดียวเลย”

“หมายความว่ายังไง?”

ชายหนุ่มหัวเราะคิกคักชอบใจที่แคทเทอรีนสงสัยจนต้องถาม “สาเหตุที่ทหารยามตรวจจับไม่เจอก็เพราะเขาใช้การระเบิดเป็นตัวดึงความสนใจ ในวินาทีที่ทุกคนหันไปสนใจเขาก็จะจัดการทหารยามหนึ่งคนให้หมดสติพร้อมกับอำพรางทั้งภายนอกและออร่ามานา จากนั้นก็จะปลอมตัวเป็นทหารยามและเนียนไปกับทหารยามคนอื่นจนเวทตรวจจับไม่เจอคนแปลกหน้า”

“มันทำได้ด้วยเหรอวิธีแบบนั้น?”

“แน่นอนว่าพูดในทางทฤษฎีมันอาจจะทำได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงมันเป็นอะไรที่เสี่ยงและพลาดบ่อยมากโดยเฉพาะตอนปลอมตัว”

“ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าเจ้านั่นใช้วิธีอื่นไม่ก็ต้องเป็นพวกระดับมืออาชีพสินะที่ทำได้ หรือจะเป็นคนของสำนักมนตร์ดำเหมือนกัน” แววตาอันคมเข้มจ้องเขม็งจนหลาย ๆ คนตัวสั่น

“พวกเราจะไม่ก้าวก่ายงานของคนอื่นแต่ถ้าเป็นคนของสำนักมนตร์ดำจริง ๆ เราก็จะลากคอมาให้เอง”

“ได้ยินเช่นนั้นก็ดี เรื่องเงินทางเราได้เตรียมไว้แล้วเชิญตามเธอคนนี้ไปได้เลย”

หลังจากเจรจาเสร็จสรรพกลุ่มนักฆ่าก็สลายตัวไปราวกับเงาที่โดนแสงบดบัง

“มั่นใจแน่นะว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ” เสียงถอนหายใจดังแสดงความเหนื่อยใจออกมาเต็มที่

“พวกเขามีชื่อเสียงค่อนข้างมากเพราะมีอยู่ทุกอาณาจักรและยังเป็นสำนักนักฆ่าที่ใหญ่ที่สุด ก่อนหน้านี้ก็มีสำนักนักฆ่าอีกหลายแห่งแต่ก็โดนสำนักมนตร์ดำกลืนกินไปหมดแล้ว”

“รู้ดีไปหมดเลยนะทีโอน่า”

“ปกติพวกขุนนางหรือคนที่มียศสูง ๆ ก็จะรู้อยู่แล้วนะคะ มีแค่ท่านนั่นแหละที่ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้” รอยยิ้มเยาะเย้ยหลอกด่าแคทเทอรีนอ้อม ๆ

“อืม...ก็จริง แต่ช่างเถอะในเมื่อจ้างไปแล้วก็คงได้แต่รอเท่านั้น” ว่าแต่ทำไมเมื่อกี้มันฟังดูแปลก ๆ

“ได้เวลาแถลงแล้วนะคะ”

การจัดงานแถลงเรื่องภาษีและแผนการดำเนินงานในอนาคตดำเนินไปได้ด้วยดี อาจจะเพราะความเกรงกลัวของผู้คนที่พอได้เห็นใบหน้าอันตึงเครียดของจักรพรรดินีทำให้ไม่กล้าเหิมเกริมมากนัก

“มาแล้วสินะ” หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มนักฆ่าก็พากันไปหาหนึ่งในขุนนางยศใหญ่ของอาณาจักรนอด

“กล่าวทักทายคุณอาเธอร์ พวกเรามาจากสำนักมนตร์ดำเพื่อทำงานตามที่จ้างวาน”

“ก่อนอื่นพวกนายโดนจักรพรรดินีจ้างวานหรือไม่?”

“พวกเราไม่เปิดเผยการจ้างวานของคนอื่นอยู่แล้ว”

“แสดงว่าใช่สินะ แล้วเธอจ้างพวกนายทำอะไร?”

อาเธอร์กระตุกยิ้มเหมือนรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว แววตาของความมั่นใจจ้องมองชายหนุ่มผู้เป็นผู้นำกลุ่มนักฆ่าอย่างไม่ลดละ

“แหม ๆ ท่านดยุคล่ะก็ พวกเราต้องทำตามกฎของสำนัก…”

พูดไม่ทันขาดคำอาเธอร์ก็วางเงินจำนวนมากให้ได้เห็น

“แต่ถ้าค่าจ้างมากพอก็สามารถซื้อข้อมูลได้สินะ”

“เอ่อ ของถูกของท่าน...ดยุคอาเธอร์ พวกเรามาเพื่อหาเงินไม่จำเป็นต้องมีสัจจะหรือคุณธรรมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบบอกมาได้แล้วว่าเธอคนนั้นจ้างพวกนายทำอะไร”

“ครับ ๆ ท่านจักรพรรดินีจ้างให้พวกเราตามหาคนซึ่งอาจจะเป็นโจรหรืออาชญากรก็ได้เพราะเธอก็ไม่ได้บอกเหมือนกันว่าตามหาไปทำไม”

แค่นั้นเองเหรอเปลืองเงินจริง ๆ

“ช่างมันแล้วกันเรามาคุยเรื่องงานที่ฉันจะให้ทำดีกว่า”

ท่าทางนอบน้อมก้มโค้งเพื่อรับคำสั่งของเหล่านักฆ่า “หาจุดอ่อนของจักรพรรดินีให้ได้ ไม่ว่าจะด้านการต่อสู้ จิตใจหรือคนรอบตัว”

“มีเพียงเท่านั้นสินะครับ”

“แค่นี้แหละ พวกนายไปได้แล้ว” เมื่อกล่าวจบกลุ่มนักฆ่าก็สลายตัวไปทันที

ตอนนี้เราทำได้แค่กดดันด้วยพลังผู้คน การจะเอาชนะผู้มีเลเวลเก้าในเรื่องพละกำลังมันเป็นไปไม่ได้แต่ถ้าเป็นด้านจิตวิทยาหรือจุดอ่อนอื่น ๆ ก็อาจจะได้ผล

เขาหยิบเอกสารที่บันทึกแผนการยึดตำแหน่งจักรพรรดิค่อย ๆ เรียงลำดับและคิดหาวิธีต่อไปเรื่อย ๆ

หลายวันก่อนช่วงที่มีเหตุระเบิดในเขตคฤหาสน์ตอนนั้นจักรพรรดินีไม่อยู่ เธอออกเดินทางไปเมืองใกล้ ๆ แล้วก็รีบกลับมาโดยที่ไม่มีคนติดตามเลยสักคน

แววตาสงสัยขมวดคิ้วเขียนบันทึกต่อไป

ช่วงตอนที่มางานประชุมเธอก็ดูสีหน้าไม่ค่อยดีนักเหมือนคนป่วย สักพักก็กลับมาปกติแต่บางวันก็เป็นเช่นนั้นอีก การจดบันทึกหยุดลงเหมือนนึกอะไรได้

หรือมันจะเกี่ยวกับที่เธอจ้างตามหาคน

บรรยากาศภายในอาณาจักรนอดค่อย ๆ เปลี่ยนไปราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ค่อย ๆ ละลายและในสุดท้ายก็จะล่มสลายหายไป

“เธอทำได้ดีแล้ว หลังจากนี้ก็กลับไปพักผ่อนให้สบายใจก่อนค่อยมาทำงานต่อ” ทีโอน่าส่งยิ้มอ่อนให้กำลังใจแคทเทอรีนที่กำลังทำหน้าเครียด

“ทีโอน่า...เขารอเราอยู่ที่ห้องแล้ว” ท่าทางหวั่นเกรงตัวสั่นเล็กน้อยของแคทเทอรีนทำเอาทีโอน่าประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง

“เข้าใจแล้ว ฉันจะรออยู่ข้างนอกเหมือนเดิม”

“ไม่เป็นไรเธอเข้ามาด้วยก็ได้” แม้ทีโอน่าจะเกร็ง ๆ ไม่กล้าเดินต่อแต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของแคทเทอรีนมันเหมือนกับคำชวนอันแสนหอมหวานยากที่จะปฏิเสธ

ภายในห้องทำงานของแคทเทอรีนมีชายหนุ่มผมสีบลอนด์ทองนั่งเก้าอี้ประจำของแคทเทอรีนด้วยท่าทางสบายใจจนนึกว่าอยู่บ้านตัวเอง

“อืม ! กลิ่นชาหอมดีนี่” มืออันเรียบเนียนจับแก้วชาขึ้นดมกลิ่นหอมก่อนจะกระดกดื่ม

“ยินดีต้อนรับค่ะ...ท่านยอซ”

“ฉันเห็นนะว่าเธอไปจ้างพวกสำนักมนตร์ดำ”

“ค่ะ”

ยอซเดินเข้าหาแคทเทอรีนวางมือลงบนไหล่เบา ๆ

“จ้างพวกนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ เธอเองก็น่าจะจำเจ้าพวกนั้นได้นี่ทำไมถึงไม่ไปหาเองเลยล่ะ?”

“หมายความว่ายังไงคะ?”

“ตายแล้ว ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกชื่อของคนที่กุมอำนาจอาณาจักรอาฟไว้แล้ว...ได้เจอกันทั้งทีแต่กลับจำไม่ได้”

ทั้งทีโอน่าและแคทเทอรีนนั่งนึกคิดจนแทบบ้า ทีโอน่าที่ไม่ได้รับรู้ชื่อที่ยอซบอกและแคทเทอรีนที่ไม่ค่อยสนใจคนอื่นนักจึงไม่ชอบใช้เวทตรวจสอบ

“ถ้าไม่รู้ฉันจะบอกให้ กลุ่มคนที่เธอกำลังตามหาก็คือซึฮากิและพรรคพวกของเขา ถ้าอยากเจอก็แค่ไปหาที่อาณาจักรอาฟก็จบเรื่องแล้ว”

แคทเทอรีนหายใจถี่ ๆ วิตกกังวลที่ตนเองทำเรื่องแค่นี้พลาดกลัวว่าจะโดนยอซลงโทษหรือเปล่า

“แคทเทอรีนใจเย็น ๆ ก่อน...” ทีโอน่าพูดไม่ทันขาดคำเธอก็โดนยอซผลักออกไป

“อย่าเข้ามา !” แคทเทอรีนเอาตัวขวางทางทีโอน่าไว้และเพื่อไม่ให้เธอเห็นใบหน้าสั่นกลัวด้วย

“แหม ๆ รักลูกน้องจริง ๆ หรือจะเป็นมากกว่านั้นกันนะ? แต่ก็เอาเถอะคราวนี้ลงโทษนิดหน่อยก็พอ”

ยอซยื่นฝ่ามือมาตรงหน้าแคทเทอรีนจากนั้นเขาก็เปิดประตูมิติที่อีกฟากเป็นภูเขาไฟที่กำลังเดือดใกล้ปะทุส่งคลื่นความร้อนปะทะกับหน้าของเธอ

“นั่นมันอะไร?” ทีโอน่าที่นั่งคุกเข่าอยู่ห่าง ๆ ยังสัมผัสได้ถึงไอความร้อน

“แค่นี้ก็แล้วกัน” ไม่เกินสิบวินาทียอซก็ปิดประตูมิติเผยให้เห็นใบหน้าสีแดงเพราะโดนไอร้อนพร้อมกับเสียงหายใจหอบเหมือนจะตาย

“ขะขอบคุณที่เมตตาค่ะ” ภาพลักษณ์ของจักรพรรดินีหายไปจนหมดเมื่ออยู่ต่อหน้ายอซ เสียงสั่น ๆ กล่าวขอบคุณด้วยความอ่อนน้อมไม่นานทีโอน่าก็เข้ามาพยุงตัวแคทเทอรีน

“ท่านทำอะไรแคทเทอรีนคะ !”

“ฉันก็แค่ลงโทษโดยการให้เธอผิงไฟสักหน่อย ถึงมันจะทรมานมากสำหรับเธอแต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรนี่”

ขณะที่ทีโอน่าแยกเขี้ยวโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแคทเทอรีนก็พูดแทรกเสียก่อน “ไม่เป็นไรน่า นี่ถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการลงโทษก่อนหน้านี้”

“อืม ๆ จุดประสงค์ที่มาหาตอนแรกก็คือชาร์ลอทกำลังกลับอาณาจักรอาฟแล้ว การบุกคงต้องเลื่อนไปก่อนโดยไม่มีกำหนด”

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ...ท่านยอซ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเหมือนกำลังสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม

“อยากถามอะไรอีกไหมเดี๋ยวฉันจะไปแล้ว” 

“คือว่า...พวกท่าน หมายถึงเหล่าอดีตผู้กล้าต้องการทำอะไรกันแน่คะ?”

ยอซหัวเราะหยอกล้อ “ตกใจเหมือนกันนะที่ถามแบบนั้น ถ้าจะให้ตอบก็คงเป็น...เพื่อความสงบสุขเท่าที่จะเป็นไปได้ของดาวดวงนี้”

พูดจบเขาก็กระโดดออกจากหน้าต่างไปทั้งอย่างนั้นส่งยิ้มโบกมือลาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดียวกับแคทเทอรีนที่กลับไปพักผ่อนกับทีโอน่า

“เหมือนจะเล็ดลอดไปได้นะเนี่ย” ยอซยืนอยู่บนหลังคาคฤหาสน์หลังโตโดยที่ถือหัวของกลุ่มนักฆ่าไว้มากถึงสามหัว

เสียงหัวเราะในลำคอสะใจที่ได้ออกแรงเล่น ๆ

“ฝีมือเราตกไปนิดหน่อยสินะ” เมื่อไม่เห็นใครอีกเขาก็เปิดประตูมิติที่อีกฟากเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีกลุ่มจอมมารหรืออดีตผู้กล้ารายล้อมพร้อมประชุม ชื่อของจอมมารทั้งหกคนที่มีเนเน่จอมมารแห่งเสียง ยอซจอมมารแห่งการเดินทาง จอมมารแห่งดาบ จอมมารแห่งความว่างเปล่า จอมมารแห่งการพันธนาการและจอมมารแห่งปัญญา

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.