ตอนที่ 16 พะโล้แห้งหญ้าหวาน

บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง

-A A +A

ตอนที่ 16 พะโล้แห้งหญ้าหวาน

เวลาแห่งความสุขในห้วงนิทรามักหมดไปอย่างรวดเร็ว สมาชิกครอบครัวจางตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตนอย่างขันแข็ง นางหูอุ่นซาลาเปาที่ซื้อมาเมื่อวานนี้ให้ทุกคนได้กินกันเป็นมื้อเช้า เรื่องการกินอาหารวันละ 3 มื้อเป็นเรื่องที่จางอี้หมิงเสนอขึ้นมา เพราะการกินครบสามมื้อจะถูกหลักโภชนาการมากกว่า ที่สำคัญคือเขาต้องการขุนร่างนี้ให้อ้วนขึ้นอีกนิด เด็กวัยกำลังโตไม่ควรอดอาหาร ไม่เช่นนั้นเมื่อไหร่จะโตเสียทีเล่า

อีกอย่างเขาเป็นคนไทย คนไทยกินข้าววันละสามมื้อ ของหวานของคาวไม่เคยขาด อยู่ดีๆให้มาอยู่แบบอด ๆ อยาก ๆ เขาเองก็ไม่ชิน

ในตอนแรกสมาชิกครอบครัวจางดูตกใจกับการทานอาหารมากมายขนาดนั้น แต่จางอี้หมิงบอกเพียงว่าเมืองสวรรค์ทำกันเช่นนี้ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่เลยจำต้องเห็นด้วยอย่างไม่อิดออด

เป็นความโชคดีที่หลี่อ้ายหายเป็นปกติ เหลือเพียงอาการอ่อนเพลียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางหูกับหลี่อ้ายจึงช่วยกันเย็บผ้าห่มและชุดใหม่สำหรับทุกคน ส่วนจางอี้เทาและบุตรชายขึ้นภูเขาเพื่อไปตัดหญ้าหวานมาทำน้ำตาลผักตามที่ได้รับใบสั่งซื้อมา

“หมิงเอ๋อร์ เมื่อวานเจ้าบอกว่าจะทำพะโล้วันนี้ เมืองสวรรค์ก็มีพะโล้เช่นกันหรือ” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายขณะช่วยกันล้างหญ้าหวานเพื่อนำไปตากแดด เขาล้างจนมั่นใจว่าสะอาดแล้วจึงวางพัก เตรียมไว้สำหรับในตอนบ่ายหลังจากหญ้าหวานแห้งแล้วพวกเขาจะได้ทำน้ำตาลผักกัน

“ใช่แล้วขอรับ ที่เมืองสวรรค์มีพะโล้เป็นอาหารเช่นที่นี่ แต่ข้าไม่รู้ว่าที่นี่เขาทำกันเช่นไร พอพวกเราตากหญ้าหวานเสร็จแล้ว ข้าจะสอนท่านย่าทำพะโล้ทันทีขอรับ ตอนเย็นพวกเราค่อยเอาพะโล้กับน้ำตาลปั้นไปให้พี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่ที่บ้านท่านลุงเย่กัน”

พวกเขาใช้เวลาล้างหญ้าหวานและนำไปตากแดดไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่รอให้หญ้าหวานแห้ง จางอี้หมิงจึงมีความคิดจะทำพะโล้แห้งหญ้าหวานเป็นการฉลองแทนเมื่อวาน เนื่องจากว่าไม่ได้ซื้อน้ำตาลมาไว้ใช้ พะโล้จึงต้องใช้ความหวานจากหญ้าหวานแทนน้ำตาล

“ท่านย่าขอรับ ข้าตากต้นหญ้าหวานเสร็จแล้ว” เด็กน้อยเดินเข้ามากอดแขนผู้เป็นย่าแล้วออดอ้อน“ท่านย่า พวกเราไปทำพะโล้กันเถอะขอรับ”

“ท่านแม่ ท่านไปทำพะโล้กับหมิงเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ ส่วนที่เหลือข้าจะทำเองเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายเอ่ยบอกแม่สามี นางกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ข้างๆ

“ได้ ที่เหลือฝากสะใภ้ด้วยนะ ไปหมิงเอ๋อร์ ไปทำพะโล้กัน ย่าก็อยากรู้นักว่าอาหารสวรรค์จะมีรสชาติเป็นเช่นไร จะเหมือนพะโล้ที่ย่าเคยกินหรือไม่” นางหูวางมือจากงานเย็บผ้า ลุกเดินไปตรงส่วนครัว จางอี้หมิงกระโดดลงจากแคร่ รีบเดินไว ๆ ส่ายก้นดุ๊กดิ๊กตามหูไป๋หงไปติด ๆ 

จางอี้เทากับหลี่อ้ายเห็นบุตรชายเดินตามท่านย่าเข้าไปในครัวแล้วก็ได้แต่หันหน้ามายิ้มให้กันอย่างมีความสุข นับเป็นโชคดีที่บุตรชายหายดีและกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะยังมีร่างกายที่ผอมแห้งอยู่มากก็ตาม แต่พวกเขาเชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าบุตรชายตัวน้อยของพวกเขาจะต้องอ้วนท้วน น่ารักน่าหยิกเสมือนอยู่ที่เมืองหลวงเป็นแน่

“ย่าต้องทำอันใดก่อนหลานรัก” 

“ท่านย่า ก่อไฟก่อนขอรับ หุงข้าวเตาหนึ่ง อีกเตาทำพะโล้ขอรับ หลังจากนั้นเอาเนื้อที่หมักไว้เมื่อวานไปล้างเกลือออกให้สะอาด แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เสียดายเมื่อวานข้าไม่ได้ซื้อเห็ดหอมมาด้วย แต่ไม่เป็นไรขอรับ อ้อ ท่านย่าเอาเนื้อแดงมาหนึ่งจิน สามชั้นเอาประมาณ 3 จินนะขอรับ เพราะเราต้องแบ่งให้บ้านซุนด้วย” 

“หมิงเอ๋อร์ พ่อจะก่อไฟให้เจ้าเอง ท่านย่าจะได้ไปล้างหมูดีหรือไม่” จางอี้เทาได้ยินเช่นนั้นจึงเสนอตัวช่วยบุตรชาย บทสนทนาของมารดากับลูกชายตัวน้อยลอยเข้าไปถึงหูเขาให้ได้ยินชัดเจน บ้านหลังนี้ถึงแม้ว่าจะใช้คำว่าบ้านแต่ความจริงมันก็คือห้องสี่เหลี่ยมที่มีฝาล้อมรอบเท่านั้น ไม่ได้มีห้องเป็นสัดส่วนเหมือนบ้านทั่วไปและแน่นอนว่าผนังก็ไม่ได้หนามากมาย

“ขอบคุณท่านพ่อมากขอรับ” 

จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดา จางอี้เทาได้ยินดังนั้นจึงลุกจากที่นั่ง เดินไปยังส่วนที่ใช้สำหรับทำอาหารก่อนลงมือก่อไฟช่วยมารดาทำอาหาร

“หมิงเอ๋อร์ ถ้าย่าเอาตามที่หลานบอก เนื้อที่ซื้อมาก็เหลือไม่เยอะเลยนะ ย่าละปวดใจที่เห็นมันลดลงไป อีกอย่างพะโล้ใช้แต่เนื้อแดงนะ ไม่มีใครใช้สามชั้นกัน มันเลี่ยนไม่อร่อย ถึงแม้จะมีเครื่องเทศดับกลิ่นคาวก็ตาม” 

นางหูเอ่ยบอกด้วยความเสียดาย หากเป็นเช่นวันเก่า นางไม่มีทางอิดออดที่จะทำอาหารจากเนื้อที่มี แต่ไม่ใช่ในวันนี้ที่มีทุกอย่างจำกัด นางเห็นแล้วปวดใจนัก

“ท่านย่าครั้งหน้าข้าจะซื้อเนื้อมาเยอะ ๆ เลยขอรับ ด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ท่านย่าบอกว่า มันมีราคาแพง เพราะที่ร้านอาหารเอาส่วนเนื้อแดงมาทำทั้งหมดใช่หรือไม่ขอรับ”

“ใช่แล้ว เนื้อแดงมีราคาแพงมาก ถ้าไม่มีเงินมากจริง ๆ ไม่มีใครทำพะโล้กินในครอบครัวหรอกนะ มันได้ปริมาณน้อย ถ้าเราเอาเนื้อมาทำน้ำแกง พวกเราจะมีน้ำแกงเนื้อกินเป็นเดือนเลยนะหมิงเอ๋อร์”

จางอี้หมิงได้ฟังแล้วก็พอเข้าใจ เขายกยิ้ม ผู้คนโลกนี้ช่างไม่รู้จักของดีเสียแล้ว

“ท่านย่า พวกเขาไม่รู้น่ะสิขอรับ ว่าส่วนสามชั้นคือส่วนที่อร่อยที่สุด อร่อยกว่าเนื้อแดงอีกนะขอรับ เพราะว่ามันมีความชุ่มชื้น เนื้อไม่ยุ่ย เวลาเคี้ยวแล้วหนุบหนับ นิ่มอร่อยมากเลยขอรับ อีกอย่างราคาถูกกว่าเนื้อแดงมาก ท่านย่าไม่ต้องเป็นกังวล ชาวสวรรค์ต่างก็กินกันแบบนี้ขอรับ” 

“ได้ ย่าจะทำตามที่หมิงเอ๋อร์บอกทุกอย่าง รอย่าสักครู่นะ ย่าขอเอาเนื้อออกมาตามที่หลานบอกก่อน” 

นางหูทำตามอย่างดีทุกขั้นตอน เพราะอาหารสวรรค์พวกนั้นนางทำไม่เป็น อีกอย่างแม้แต่พะโล้เองนางก็ทำไม่เป็นเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเคยได้กินมาก่อน แต่วิธีทำนั้นนางก็สุดจะรู้เพราะเมื่อก่อนมีบ่าวทำให้ทุกอย่าง

หลังจากย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง สะใภ้บ้านซุนสอนแค่อาหารง่าย ๆ พวกโจ๊กธัญพืช ไหนเลยจะทำอาหารจานเนื้อเช่นพะโล้เป็น

จางอี้หมิงมองดูภาพรวม เขาเห็นบิดาก่อไฟเรียบร้อย นางหูเองล้างเกลือออกจากเนื้อรวมทั้งหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำแล้ว เด็กน้อยจึงบอกขั้นตอนการทำพะโลแห้งสูตรของตนเองต่อไป

“ท่านย่าโขลกกระเทียมกับพริกไทย ที่เมืองสวรรค์จะมีรากผักชีสดด้วยแต่ที่นี่ไม่มี ไม่เป็นไรขอรับ เราใช้เม็ดผักชีแห้งแทนได้ขอรับ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเอากระเทียมที่โขลกใส่ลงไปที่เนื้อหมู ตามด้วยเกลือ น้ำตาลผัก ซีอิ้ว คนให้เนื้อหมูเข้าเนื้อกับเครื่องหมัก ท่านย่าหมักไว้สักสองเค่อ 

เมื่อครบเวลาตั้งกระทะ ให้ท่านย่าใส่น้ำมันหมูลงไปเล็กน้อย เจียวกระเทียมที่แบ่งไว้อีกส่วน ผัดให้หอม ท่านย่าไม่ต้องรอให้กระเทียมสุก ใส่โป้ยกั๊ก 5 ดอก กระวาน 6 ลูก อบเชย 2 แท่ง ลงไปผัดพร้อมกันเลยนะขอรับ จนเครื่องเทศส่งกลิ่นหอม เอาเนื้อที่หมักลงไปผัดให้สุก เติมน้ำเปล่าลงไปให้ท่วมเนื้อหมู คนเป็นครั้งคราวให้เนื้อหมูสุกทั่วถึง ใส่เกลือ น้ำตาลผัก ชีอิ้ว อีกครั้ง เคี่ยวเนื้อหมูไปจนน้ำแห้ง ลองชิมรสชาติดูขอรับ ขาดรสไหนก็ปรุงเพิ่ม 

ที่เมืองสวรรค์กินพะโล้กับน้ำจิ้มขอรับ แต่เสียดายที่นี่ไม่มีวัตถุดิบในการทำ แต่ข้าเชื่อว่ากินเปล่า ๆ ก็น่าจะอร่อยแล้วขอรับ”

“พะโล้ที่เมืองสวรรค์มีน้ำจิ้มหรือหมิงเอ๋อร์ ที่นี่ไม่มีน้ำจิ้มนะ” จางอี้เทาเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย อาหารสวรรค์นี่มีการทำที่ยุ่งยากจริง ๆ 

“ใช่ขอรับ น้ำจิ้มจะทำให้อาหารอร่อยขึ้น ถ้าข้าหาวัตถุดิบได้ข้าจะสอนท่านย่าทำนะขอรับ เราทำเป็นพะโล้แห้ง น้ำซอสนี่ก็ใช้แทนน้ำจิ้มได้ขอรับ”

“น้ำสอ สอด อันใดนะ หมิงเอ๋อร์” นางหูขมวดคิ้ว พยายามออกเสียงคำว่าซอสให้เหมือนกับที่หลานชายพูดแต่ดูแล้วลิ้นจะพันกันเสียให้ได้

"ท่านย่า ไม่ใช่สอดขอรับ ซอสขอรับ น้ำซอสก็คือน้ำที่มันขลุกขลิกเหลือนิดหน่อยในหมูพะโล้เช่นไรเล่าขอรับ ถ้าทำเสร็จแล้วข้าจะชี้ให้ท่านย่าดูขอรับ”

“เช่นนั้นย่าต้องหมักเนื้อหมูก่อนเป็นอันดับแรกใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วขอรับ” 

ตลอดการทำอาหารหลังจากนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ นางหูและจางอี้เทาตั้งใจฟังพ่อครัวตัวน้อยกำกับการทำอาหารอย่างสนุกสนาน หลี่อ้ายที่นั่งเย็บผ้าอยู่เหลือบตามองเป็นระยะและยิ้มออกมาอย่างมีความสุขที่เห็นครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง

“ท่านย่า รีบใส่เครื่องเทศได้แล้วขอรับ ก่อนกระเทียมจะไหม้”

“หมิงเอ๋อร์ ต้องใส่อย่างละเท่าไหร่นะ”

“ท่านแม่ โป้ยกั๊ก 5 ดอก กระวาน 6 ลูก อบเชย 2 แท่ง”

“อาเทา เจ้าช่างความจำเยี่ยมสมแล้วที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ”

“ท่านย่า อย่าใส่เกลือเยอะขอรับ พอน้ำแห้งมันจะเค็มกว่านี้”

“ท่านย่า คนและกลับเนื้อหมูหน่อยขอรับ หมูจะไหม้แล้ว”

“ท่านย่า ใส่น้ำเปล่าได้แล้วขอรับ”

พ่อครัวตัวน้อยของบ้านจางกลายเป็นผู้กำกับการทำอาหารให้ท่านย่าของตนเองทำตามได้อย่างไหลลื่น บอกตรงนั้นนิด บอกตรงนี้หน่อย หลังจากที่เคี่ยวหมูพะโล้จนน้ำงวดแห้งดีแล้ว กลิ่นหอมของเครื่องเทศลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วบ้าน แม้หลี่อ้ายที่นั่งอยู่ไกลที่สุดของส่วนครัวยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมนั่นได้เป็นอย่างดี

“ท่านย่า ลองชิมดูสิขอรับ อย่าลืมเอาชิ้นหมูไปจิ้มซอสก่อนชิมนะขอรับ ตรงนี้เรียกว่าน้ำซอสขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยบอกย่าตนเองหลังจากที่บิดายกหม้อพะโล้ลงมาพักไว้แล้ว พร้อมกับชี้บอกว่าส่วนไหนคือน้ำซอสที่เคยพูดกัน

“อ๋อ อันนี้หรือน้ำสอดที่หมิงเอ๋อร์ว่า แต่ว่าจะดีหรือหมิงเอ๋อร์ ย่าเกรงว่า.....”

“น้ำซอสขอรับ และก็ดีที่สุดขอรับ เพราะท่านย่าเคยกินพะโล้ของที่นี่แล้ว ท่านย่าย่อมรู้รสชาติได้เป็นอย่างดี ท่านย่าย่อมเปรียบเทียบรสชาติได้ดีที่สุดขอรับ”

“ท่านแม่ เชื่อใจหมิงเอ๋อร์เถอะขอรับ ข้าว่ากลิ่นยังหอมขนาดนี้ รสชาติคงดีไม่น้อย” จางอี้เทาเอ่ยสมทบความคิดบุตรชาย ที่ผ่านมาเด็กน้อยก็แสดงให้เห็นหลายครั้งแล้วว่าอาหารที่ดูไม่น่าจะกินได้ เมื่อนำมาทำดีๆ มันกลับกลายเป็นอาหารชั้นเลิศได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

“ได้” นางหูใช้ตะเกียบหยิบหมูมาชิ้นหนึ่งพร้อมกับนำไปคลุกเคล้าน้ำซอสตามที่หลานชายบอก สายตาเฉี่ยวมองพินิจชิ้นหมูคำโตก่อนจะนำเข้าปากเคี้ยวช้า ๆ 

“.............”

“ท่านย่า เป็นเช่นใดบ้างขอรับ” จางอี้หมิงรีบถาม “อย่านิ่งแบบนี้สิขอรับ ตกลงมันอร่อยไหมขอรับ” 

เมื่อผู้เป็นย่านั่งนิ่งเงียบ เด็กน้อยก็เขย่าแขนเรียกนางหูไปสองสามที 

“หะ...ห๊ะ หมิงเอ๋อร์ เจ้าว่าอันใดนะ” นางหูสะดุ้ง เอ่ยตะกุกตะกักตอบหลานชาย

“ข้าถามว่ามันเป็นยังไงบ้าง อร่อยหรือไม่ขอรับ”

“ข้าว่า เจ้าลองชิมเอาเองเถอะ อาเทาด้วย ลองชิมดู” 

“ท่านย่า มันไม่อร่อยเช่นนั้นหรือขอรับ ข้าก็ทำตามสูตรทุกอย่างแล้วนะขอรับ ทำไมถึงไม่อร่อยเล่า” จางอี้หมิงพูดเบา ๆ กับตนเองด้วยความสงสัย เขาทำสูตรนี้มาหลายปี มั่นใจนักหนาว่าไม่พลาดแน่นอน หรือว่าสูตรมันผิดพลาดจากเครื่องปรุงและวัตถุดิบที่แตกต่างกันบางชนิด

แต่คิดไปก็คงไม่ได้คำตอบ ลองกินดูให้มันรู้ไปเลยดีกว่า

จางอี้หมิงหยิบตะเกียบคีบหมูพะโล้ที่ฉ่ำไปด้วยซอสหญ้าหวานขึ้นมาชิม เขาละเมียดละไมลิ้มรส มันหวานกลมกล่อม ไม่มีอะไรผิดพลาดจากที่คาด

“เอ๊ะ มันก็อร่อยนี่หน่า แล้วเหตุใดทุกคนถึงไม่ตอบข้าล่ะขอรับ” จางอี้หมิงเงยใบหน้าน้อย ๆ เอ่ยถามบิดากับท่านย่าด้วยความงุนงง

“เพราะพะโล้แห้งที่หมิงเอ๋อร์ทำในตอนนี้ มันอร่อยมากต่างหากเล่า อีกอย่างรสชาติของพะโล้ที่พ่อเคยกินมันไม่ได้มีรสชาติแบบนี้ ไม่ได้มีกลิ่นหอม มันแข็ง ๆ แห้ง ๆ เนื้อหมูไม่ได้นุ่มและฉ่ำซอสเช่นนี้” จางอี้เทาอธิบาย เขาหลุดจากภวังค์ความคิด

นี่หรืออาหารที่ท่านเทพประทานมา สมกับเป็นอาหารสวรรค์ บัณฑิตหนุ่มมั่นใจเหลือเกินว่าแม้แต่อาหารในวังก็ยังไม่อาจเทียบ

“ใช่แล้วหมิงเอ๋อร์ ย่ายังไม่เคยได้กินหมูพะโล้ที่นุ่มและฉ่ำซอสเช่นนี้มาก่อน” นางหูเอ่ยอีกเสียง ในที่สุดนางก็ออกเสียงคำว่าซอสถูกเสียที

“เพราะร้านอาหารเอาส่วนเนื้อแดง เนื้อล้วน ๆ มาทำอาหารขอรับ ท่านย่า ท่านพ่อ ลองชิมส่วนที่เป็นเนื้อแดงสิขอรับ มันจะแห้ง ๆ เหมือนกับที่ร้านอาหาร แต่ถ้าเลือกชิมส่วนที่เป็นสามชั้นจะนุ่มลิ้นและฉ่ำซอสขอรับ ความลับมันอยู่ที่ตรงนี้แหละขอรับ”

เด็กชายบอกเสียงใส นางหูและจางอี้เทาจึงใช้ตะเกียบหยิบส่วนที่เป็นเนื้อแดงล้วนมาชิม รสชาติของมันเป็นดั่งที่จางอี้หมิงอธิบายมา แข็งและแห้งมากกว่า

“หมิงเอ๋อร์ รสสัมผัสต่างกันจริง ๆ ด้วย”

“อืม” จางอี้เทาพยักหน้ารับกับคำพูดมารดา

แค่เปลี่ยนส่วน รสชาติและรสสัมผัสก็แตกต่างแม้จะถูกปรุงจากหม้อเดียวกัน

“ท่านย่า ท่านพ่อ ร้านอาหารจะสนใจสูตรหมูพะโล้แห้งของบ้านเราไหมขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามขึ้น ในใจก็ลุ้นไปด้วย ถึงแม้ว่าจะมั่นใจกับคำตอบที่ควรได้รับมากก็ตาม

“หลานของย่าเก่งเช่นนี้ อีกอย่างอาหารสวรรค์ ไม่มีใครปฏิเสธแน่ ย่าว่ามันต้องขายได้”

“พ่อเห็นด้วย”

“ถ้าเช่นนั้นในวันที่รถม้าเถ้าแก่หวังมารับน้ำตาลผัก พวกเราขอติดรถม้าเข้าไปในเมืองดีหรือไม่ท่านพ่อ” จางอี้หมิงยิ้มร่า รีบหันไปถามความเห็นบิดาทันที

“ได้สิ พ่อจะไปด้วย”

“ท่านย่าตอนนี้เวลาเท่าใดแล้วขอรับ”

“ย่าว่าน่าจะยามเว่ย (13.00 – 14.59) นะหมิงเอ๋อร์ มีอันใดหรือเปล่า”

“พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะขอรับ เสร็จแล้วข้ากับท่านพ่อจะไปหาท่านลุงเย่ จะเอาพะโล้แห้งกับน้ำตาลปั้นไปให้บ้านซุนลองชิมดูและจะคืนเงิน 10 อีแปะที่ท่านลุงเย่ให้มาเมื่อวานด้วยขอรับ” จางอี้หมิงจำได้ว่าท่านพ่อของเขาบอกแบบนั้น

“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกินข้าวกันเถอะ” นางหูเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดูท่าว่าอาหารมื้อนี้คงจะเลิศรสที่สุด ต้องขอบคุณท่านเทพที่ประทานหนทางให้ตระกูลจางสายรองอย่างพวกเขาอีกครั้ง

หลี่อ้ายที่ได้ยินเช่นนั้นจึงวางมือจากการเย็บผ้าและเข้ามาช่วยกันยกข้าวกับหมูพะโล้แห้งไปนั่งกินกันพร้อมหน้าด้วยความเอร็ดอร่อย พวกเขาพูดคุย แบ่งปันอาหารและเล่าเรื่องราวกันอย่างมีความสุข นี่เป็นอีกมื้ออาหารที่ครอบครัวบ้านจางกินกันอิ่มแปล้

และได้แต่หวังว่าต่อไปนี้จะไม่มีอุปสวรรคใดมาขัดขวางอีกแล้ว

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.