บทที่๑๖

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๑๖

ขณะที่ลิฟต์ตัวที่ปาณัทเดินเข้าไปปิด ลิฟต์ตัวที่อยู่ติดกันข้างๆ กันก็เปิดออก เป็นเอกเดินออกมาพร้อมกับเข็นรถเข็นผู้ป่วย โดยมีนางเพียรเป็นผู้นั่งบนรถเข็น วันนี้เธอไม่ค่อยสบาย บ่นว่าปวดท้อง ผู้เป็นลูกชายให้กินยาแล้วแต่ก็ไม่หายจึงพามาโรงพยาบาล ตอนแรกเธอไม่ยอมมาเพราะกลัวจะหมดเงินเยอะ แต่เป็นเอกพูดเกลี้ยกล่อมจึงยอมมา ชายหนุ่มเข็นผู้เป็นแม่ไปที่ห้องตรวจ โดยคุณหมอที่อยู่ในห้องฉุกเฉินชั้นล่างส่งต่อไปยังห้องอัลตราซาวด์ แล้วให้ขึ้นมาที่ห้องตรวจชั้นบน ก่อนจะถึงห้องตรวจต้องผ่านเคาน์เตอร์ เมื่อเหล่าพยาบาลเห็นเป็นเอกก็คิดว่าปาณัทจึงพากันพูด

“เอ๊ะ นั่นคุณปาณัทใช่ไหมเธอ”

“บ้าสิเธอ คุณปาณัทที่ไหนกันล่ะ...คุณปาณัทไม่ได้เสื้อผ้าแบบนี้” อีกคนว่า

“นั่นสิ ถ้าเป็นคุณปาณัทจริง แล้วคุณป้าที่นั่งอยู่บนรถเข็นเป็นใคร” คนที่สามก็สงสัย

ส่วนคนที่สี่ก็พูดว่า

“เขาอาจจะอาสาเข็นผู้ป่วยขึ้นมาที่ห้องตรวจชั้นบนก็ได้นะ”

“แต่เขากำลังบาดเจ็บอยู่นะเธอ”

“ถ้าไม่ใช่คุณปาณัทแล้วใครกัน”

“อาจเป็นคนหน้าเหมือน”

“เหมือนจนราวกับฝาแฝด”

“เธอก็พูดไป โลกนี้มีคนหน้าเหมือนกันราวกับฝาแฝดก็ออกจะเยอะแยะ”

“แต่นี่เหมือน...”

“ช่างเขาเถอะ เราแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองดีกว่า”

แล้วพยาบาลก็แยกย้ายกันไป ทิ้งความสนใจเรื่องของปาณัทกับเป็นเอกไป

 

ทางด้านเป็นเอกก็พาผู้เป็นแม่เข้ามาในห้องตรวจ โชคดีที่คุณหมอในห้องตรวจไม่ได้สนใจหน้าตาของเขาจึงไม่ได้ถาม ชายหนุ่มยื่นเอกสารของผู้ป่วย

“นี่ครับคุณหมอ เอกสารของแม่ผม”

คุณหมอรับมาแล้วยิ้ม

“ครับ”

แล้วอยู่ๆ เป็นเอกก็รู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำกะทันหัน

“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับคุณแม่ อยู่คุยกับคุณหมอไปก่อนนะครับ”

“จ้ะลูก” นางเพียรพยักหน้า

ชายหนุ่มรีบเดินออกไปทันที

แล้วคุณหมอก็เปิดดูในจอคอมพิวเตอร์ เป็นการแสดงผลอัลตราซาวด์ของผู้ป่วย เขามีสีหน้าเครียดนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปบอกกับผู้ป่วย

“ก่อนที่จะฟังผลตรวจ...หมออยากให้ผู้ป่วยทำใจก่อนนะครับ”

“ทำไมคะคุณหมอ บอกฉันมาตามตรงเถอะค่ะ ฉันรับได้” นางพูดราวกับจะรู้ว่าคุณหมอจะบอกอะไร

คุณหมอจึงตัดสินใจบอก

“คือ...จากผลตรวจพบว่าคุณเป็นมะเร็งตับระยะที่สองครับ ตอนนี้จึงทำได้เพียงรักษาตามอาการ”

“ฉันทำใจไว้แล้วค่ะคุณหมอ ว่าฉันจะต้องเป็นมะเร็ง ฉันปวดท้องหลายเดือน แต่ปวดๆ หายๆ ไม่ได้ปวดมาก ก็เลยแค่ซื้อยากินแล้วมันก็หาย ลูกชายฉันก็พยายามพาฉันมาโรงพยาบาลแต่ฉันไม่ยอมมาเพราะไม่อยากเสียเงิน แต่วันนี้ลูกชายฉันเกลี้ยกล่อมฉันมากๆ จนฉันทนไม่ไหวก็เลยมาค่ะ” นางเพียรพูดด้วยสีหน้าเศร้า แต่ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงอาการตกใจเมื่อคุณหมอบอกผลตรวจ เพราะนางทำใจไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่นางไม่อยากให้เป็นเอกรู้ “เอ้อ คุณหมอ อย่าบอกเรื่องนี้กับลูกชายฉันนะคะ ฉันไม่อยากให้เขาเสียใจ”

“แต่...”

“ถือซะว่าฉันขอนะคะ” นางบอกแกมบังคับ

อีกฝ่ายจึงพยักหน้าแบบไม่เต็มใจนัก เพราะไม่ค่อยเห็นด้วยกับนางเพียรเท่าไหร่

“ถ้าเป็นความต้องการของผู้ป่วย หมอจะไม่บอกก็ได้ครับ ความจริงหมอไม่อยากโกหกหรอกครับ เพราะว่ามันบาป แต่นี่เป็นความจำเป็นถึงยอมโกหก”

“ถึงยังไงฉันก็ขอบคุณมากนะคะ” นางประนมมือไหว้คุณหมอ

แล้วการสนทนาก็ต้องหยุดลงเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก เป็นเอกเดินเข้ามาและถามคุณหมอว่า

“สรุปแล้วแม่ของผมเป็นอะไรครับคุณหมอ”

“เอ้อ เป็นโรคกระเพาะน่ะครับ” เขาตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก

“อ้อครับ” เป็นเอกเชื่อตามที่หมอบอก ก่อนจะหันไปพูดกับผู้เป็นแม่ “เห็นไหมครับแม่ ผมบอกแม่แล้วว่าให้กินให้ตรงเวลา ดูสิ เป็นโรคกระเพาะเลย”

“จ้ะลูก ต่อไปแม่จะกินข้าวให้ตรงเวลานะ” นางเพียรแอบเศร้าที่ต้องโกหกลูกชาย แต่เพราะความจำเป็นถึงได้ทำเช่นนี้ ไม่อยากให้เป็นเอกรู้ความจริง เพราะถ้าเขารู้เขาอาจเสียใจ นางไม่อยากให้เขาเสียใจจึงตัดสินใจไม่บอก

แล้วชายหนุ่มก็หันไปถามคุณหมอ

“ผมกับแม่กลับบ้านได้แล้วใช่ไหมครับ”

“ครับ รับยาเสร็จก็กลับบ้านได้” คุณหมอบอก

สองคนแม่ลูกประนมมือไหว้

“ถ้างั้นผมกับแม่ขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

“กลับก่อนนะคะคุณหมอ สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ” คุณหมอรับไหว้

แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไปจากห้อง คุณหมอได้แต่มองตามหลัง เขารู้สึกสงสารทั้งสองคน แต่ก็ไม่พูดอะไร ก็ได้แต่สงสารเท่านั้น

 

รถตู้คันสีขาวเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์ของตระกูลบวรเทพ ความจริงออกจากโรงพยาบาลตั้งนานแล้ว แต่ที่ถึงบ้านช้าเพราะปาณัทบอกให้คนขับรถแวะที่บริษัท แม้ตัวเองเจ็บก็ยังเป็นห่วงบริษัท แวะได้ประมาณสามสิบนาทีก็กลับบ้าน

เมื่อปาณัทลงจากรถผู้เป็นพ่อจะช่วยประคองเข้าไปข้างในบ้าน แต่เขาบอกว่า

“ไม่เป็นไรครับคุณพ่อ ผมเดินไหวครับ”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในบ้านด้วยท่าทีปกติ ปราภพกับพรรณนิภาเดินตามผู้เป็นลูกชายเข้าไป

ทั้งสามคนมานั่งในห้องโถง ปาณัทหันซ้ายแลขวา แล้วหันกลับมาถามผู้เป็นพ่อ

“อ้าว! คุณพ่อครับ แล้วคุณย่าไปไหนล่ะครับ”

“คุณย่าไปงานเลี้ยงที่สโมสรนักสังคมสงเคราะห์น่ะลูก” พรรณนิภาเป็นผู้ตอบแทน

“อ้อครับ” เขาพยักหน้ารับ

แล้วประภาก็เดินเข้ามาในห้องโถง ส่วนเขมนันท์กับภูริชไม่อยู่ ไปที่บริษัท

“อ้าว! ตาป้อง ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง” ประภาถามผู้เป็นหลานชาย

ปาณัทจึงตอบว่า

“ดีขึ้นแล้วครับ”

“ดีแล้วจ้ะ” พูดแบบไม่เต็มเสียงนัก

“แล้วนี่แกไม่ได้ออกไปไหนเหรอยายภา” ปราภพถามผู้เป็นน้องสาว

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“อ้อ ไม่ได้ไปค่ะ”

“ผมอยากขึ้นไปพักผ่อนบนห้องครับคุณพ่อคุณแม่ นอนที่โรงพยาบาลไม่ค่อยหลับเลย” เขาบอกกับพ่อและแม่

“ไปสิ เดี๋ยวพ่อพาขึ้นไป”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเดินขึ้นไปเองได้ครับ”

“ก็ตามใจ”

“ครับ คุณพ่อ” แล้วปาณัทก็ลุกขึ้นเดินออกไป

ประภานั่งลงบนโซฟาอีกตัว ก่อนจะถามผู้เป็นพี่ชายว่า

“เอ้อ พี่ปราภพคะ แล้วตำรวจว่ายังไงบ้างคะ”

“ตำรวจยังหาตัวคนร้ายไม่เจอ สืบหาตัวมันเจอยาก แต่ตำรวจบอกว่าจะหาตัวมันจนเจอ” ปราภพบอก

ผู้เป็นน้องสาวจึงคิดในใจ

‘แต่คงหาตัวยากหน่อยนะคะ เพราะคนที่ภาจ้างให้ไปฆ่าไอ้ป้องเขาเป็นมืออาชีพ เขาไม่ทิ้งหลักฐานไว้ให้ตามจับตัวเขาได้หรอกค่ะ ตามหาเป็นเดือนก็ไม่มีวันเจอ’ เธอหัวเราะดังก้องในใจ

แต่ปากก็พูดไปอีกแบบ

“ขอให้ตำรวจหาคนร้ายเจอเร็วๆ นะคะ จะได้รู้สักทีว่ามันเป็นใคร”

“วันนี้แกแปลกนะยายภา” เขามองผู้เป็นน้องสาวอย่างอดแปลกใจไม่ได้

อีกฝ่ายจึงแกล้งตีหน้าซื่อ

“ภาแปลกยังไงคะพี่ปราภพ”

“ก็ปกติแกไม่ค่อยสนใจเรื่องของตาป้อง แต่อยู่ๆ วันนี้แกกลับถามว่าตำรวจว่ายังไงบ้าง”

“ถึงยังไงตาป้องก็เป็นหลานของภานะคะ ภาก็อยากรู้บ้างสิคะ” เธอก็แถไปเรื่อย แต่ความจริงไม่ใช่อย่างที่พูดสักนิดเดียว

“ฉันก็ขอให้มันจริงอย่างที่แกพูดเถอะ” เขาอดแขวะผู้เป็นน้องสาวไม่ได้

ประภายังไม่อยากมีเรื่องกับพี่ชายจึงพูดตัดบท

“จริงแน่นอนค่ะ ถ้างั้นภาขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยิ้มให้พี่ชาย ก่อนจะเดินออกไป

ปราภพมองตามผู้เป็นน้องสาวไปด้วยความสงสัย และพึมพำกับตัวเอง

“วันนี้ยายภามันดูแปลกๆ ชักจะสงสัยซะแล้วสิ”

 

เช้าวันใหม่...บนโต๊ะอาหารของครอบครัวบวรเทพ ทุกคนนั่งรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วเมนูอาหารก็มีมากมาย แต่สำหรับปาณัท เขาทานได้เพียงอาหารอ่อนๆ อย่างข้าวต้มกุ้ง เพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาล

ทุกคนตั้งอกตั้งใจรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อคุณนภาลัยอิ่มก็วางช้อนลง ก่อนจะหันไปบอกปาณัท

“แกเพิ่งจะผ่าตัด เพราะฉะนั้นแกต้องทานข้าวต้มไปก่อนนะ เพราะแผลยังไม่หาย”

“ครับ คุณย่า” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ

“ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่าลูก” พรรณนิภาถามผู้เป็นลูกชาย

“ก็มีเจ็บอยู่บ้างครับคุณแม่ แต่ไม่มากเท่ากับวันที่เพิ่งผ่าตัดเสร็จวันแรก” ปาณัทตอบ สักพักก็หันไปถามผู้เป็นพ่อ “เอ้อ คุณพ่อครับ ที่บริษัทเป็นยังไงบ้างครับ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงที่บริษัทหรอกลูก ถ้าหายเมื่อไหร่ค่อยกลับไปทำงานก็ได้” ปราภพบอกลูกชาย

“แกไม่ต้องเป็นห่วงบริษัทหรอกนายป้อง บริษัทไม่หนีแกไปไหนหรอก” ภูริชพูดขึ้น

ปาณัทจึงบอกว่า

“ฉันไม่ได้กลัวบริษัทหนีไปไหนหรอก แต่กลัวเงินในบริษัทหายต่างหาก”

“แกหมายความว่ายังไง” เขาแอบไม่พอใจ

อีกฝ่ายโบกมือ

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็พูดไปเรื่อย แกอย่าไปใส่ใจเลย”

ภูริชจึงแอบคิดในใจ

‘หรือว่าไอ้ป้องมันจะรู้อะไรบางอย่างวะ คงไม่หรอกมั้ง ไอ้ป้องมันโง่จะตาย มันไม่รู้หรอก’

แล้วใบบัวก็เดินเข้ามาบอกว่า

“คุณท่านคะ มีคนมาหาค่ะ”

“ใครเหรอแม่ใบบัว” คุณนภาลัยถาม

“ครอบครัวของคุณชัชรินทร์ค่ะ” อีกฝ่ายตอบ

เมื่อได้ยินใบบัวบอกว่า ‘ครอบครัวของคุณชัชรินทร์’ ปาณัทก็มีท่าทีดีใจจนยิ้มกว้าง

“แล้วน้องรินมาด้วยไหมครับป้าบัว”

“มาด้วยค่ะ” เธอตอบ

“ทำไมต้องทำท่าดีใจขนาดนั้นด้วยล่ะตาป้อง” ปราภพอดที่จะถามลูกชายไม่ได้

“เอ้อ เปล่าครับคุณพ่อ” เป็นคำโกหก

พรรณนิภามองออกว่าลูกชายกำลังโกหก

“อย่าโกหกพ่อกับแม่นะจ๊ะ”

ปาณัทยิ้มเจื่อนๆ ที่ผู้เป็นแม่รู้ทัน แต่ยังไม่ทันพูดอะไร คุณนภาลัยก็หันไปบอกใบบัว

“ให้ครอบครัวของคุณชัชรินทร์ไปรอที่ห้องโถงนะ”

“ได้ค่ะ” ใบบัวรับคำเสร็จก็เดินออกไป

ขณะนี้ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างก็พากันทานข้าวจนอิ่มแล้ว ประมุขของบ้านจึงบอกกับทุกคนว่า

“เดี๋ยวพวกเราไปที่ห้องโถงกัน ครอบครัวของชัชรินทร์รออยู่ที่นั่น” แล้วหันไปบอกใบตองที่กำลังเดินเข้ามาพอดี “เก็บจานได้เลยนะใบตอง พวกฉันอิ่มแล้ว”

“ค่ะ คุณท่าน” ใบตองพยักหน้ารับคำ

“ภามีธุระต้องไปทำค่ะคุณแม่ คงไม่ได้อยู่คุยกับพี่ชัช” ประภาบอก

“ส่วนผมกับคุณพ่อจะรีบไปทำงานครับ” ภูริชว่า

“ก็ตามใจพวกแก” คุณนภาลัยพูดอย่างไม่แยแส ก่อนจะหันไปบอกปราภพ พรรณนิภา และปาณัท “พวกเรารีบไปที่ห้องโถงกันเถอะ ชัชรินทร์รออยู่” แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินออกไปก่อน

ปราภพ พรรณนิภา และปาณัทรีบลุกเดินตามไป

บนโต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงเขมนันท์ ประภา และภูริช ส่วนใบตองก็รีบเก็บจานที่อยู่บนโต๊ะไปจนหมดแล้ว ประภามองตามหลังครอบครัวพี่ชายแล้วเบะปาก

“ฉันหมั่นไส้จริงๆ”

“ผมก็หมั่นไส้เหมือนกันครับคุณแม่” ภูริชบอก

แล้วเขมนันท์ก็พูดว่า

“พวกเรารีบไปที่บริษัทกันดีกว่าตาภู เดี๋ยวจะตกงาน”

“ตกงานผมไม่กลัวครับคุณพ่อ เพราะตอนนี้ผมกำลังเตรียมยักยอกเงินในบริษัท” ภูริชยิ้มอย่างมีแผน

“จริงเหรอลูกแม่” เธอมีสีหน้าตื่นเต้นมาก “ถ้าลูกยักยอก ลูกก็เอาให้เยอะๆ เลยนะ แม่ขอสนับสนุนลูก”

“เป็นความคิดที่ดีมากเลยลูกพ่อ” ผู้เป็นพ่อยิ้มพอใจกับสิ่งที่ลูกชายคิดจะทำ

ชายหนุ่มประนมมือไหว้พ่อกับแม่

“ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากเลยครับ”

“ไม่เป็นไรจ้ะลูก” ประภาบอก

ทั้งเขมนันท์และประภาต่างก็สนับสนุนผู้เป็นลูกชายในทางที่ผิด แต่ก็อย่างว่าละ เมื่อตัวเองทำผิดก็อยากจะให้ลูกทำผิดตาม ทั้งสามคนจึงกลายเป็นครอบครัวคนชั่วไปโดยปริยาย เพราะนิสัยเหมือนกันทั้งพ่อแม่ และลูก เข้ากันได้ดีทีเดียว

 

 

ในห้องโถง...เมื่อคุณนภาลัยเดินเข้ามาก็พบว่าชัชรินทร์กับภรรยา และลูกสาวนั่งรออยู่แล้ว วันนี้คุณหมอรินรดาเปลี่ยนจากชุดกาวน์สีขาวสะอาดมาเป็นชุดสวยหวานแทน เพราะเธอขอลาครึ่งวันเพื่อมาเยี่ยมปาณัทที่บ้าน โดยบอกพยาบาลไว้ว่าถ้ามีเคสผ่าตัดด่วนก็ให้โทรตามทันที

แล้วทั้งสามคนก็ประนมมือไหว้ผู้เป็นประมุขของบ้านหลังนี้

“สวัสดีครับคุณป้านภา”

“สวัสดีค่ะคุณป้านภา”

“สวัสดีค่ะคุณย่านภา”

คุณนภาลัยรับไหว้ยิ้มๆ ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาใหญ่ที่ท่านนั่งประจำ ส่วนปราภพ พรรณนิภา และปาณัทก็เดินเข้ามา ทั้งสามคนประนมมือไหว้แขกผู้มาเยือน จากนั้นก็พากันนั่งลงบนโซฟาอีกตัว

แล้วประมุขของบ้านก็เริ่มถามแขกผู้มาเยือน

“มาเยี่ยมตาป้องกันเหรอจ๊ะ”

“เอ้อ ใช่ครับคุณป้า” ชัชรินทร์พยักหน้ารับ

“แล้ววันนี้หนูรินไม่มีเคสผ่าตัดเหรอจ๊ะ” พรรณนิภาถามยิ้มๆ

รินรดาจึงตอบว่า

“วันนี้หนูขอลาครึ่งวันค่ะ แต่บอกพยาบาลไว้ว่าถ้ามีเคสผ่าตัดด่วนให้โทรตามทันที”

“คุณลุงชัชครับ คุณป้าวันครับ ผมขออนุญาตพาน้องรินไปนั่งเล่นที่ศาลาหลังบ้านนะครับ” ปาณัทรีบหันไปขออนุญาตชัชรินทร์กับรวัลยา

แล้วชัชรินทร์ก็ถามว่า

“หายเจ็บแผลแล้วเหรอตาป้อง”

“ยังเจ็บอยู่นิดหน่อยครับคุณลุงชัช” เขาตอบ

“ทำไมต้องไปคุยกันสองคน มีความลับอะไรหรือเปล่าฮึ!” ปราภพรู้สึกสงสัย

ปาณัทจึงโบกไม้โบกมือพัลวัน

“เปล่าครับคุณพ่อ”

“ไปเถอะจ้ะ ป้าอนุญาต” รวัลยาบอกยิ้มๆ

ชายหนุ่มรีบประนมมือไหว้ แต่แอบเก็บอาการดีใจไว้

“ขอบคุณครับคุณป้าวัน” ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหารินรดาและบอกกับเธอว่า “น้องรินครับ ไปนั่งที่ศาลาหลังบ้านกับพี่หน่อย พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”

“เอ้อ...ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ายิ้มๆ จากนั้นก็ลุกเดินตามปาณัทไป

ทุกคนมองตามสองหนุ่มสาวไปอย่างสงสัย เพราะดูท่าทีทั้งสองคนเหมือนมีลับลมคมใน ชัชรินทร์จึงพูดขึ้นก่อน

“ผมว่าสองคนนี้ดูแปลกๆ นะครับ”

“แปลกยังไงคะคุณ” รวัลยาถามอย่างไม่เข้าใจ

ผู้เป็นสามีจึงตอบว่า

“ก็เหมือนมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะตาป้องน่ะ ทำท่าทางแปลกๆ”

“หรือว่าพวกเขากำลังคบกันอยู่ครับพี่ชัช แต่ไม่อยากบอกให้พวกเรารู้” ปราภพเกิดความสงสัย

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ดีสิ เพราะในอนาคตไม่แน่เราอาจได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน” เขายิ้ม

แล้วคุณนภาลัยก็พูดขึ้นว่า

“ป้าก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นนะตาชัช สองตระกูลจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันสักที”

“ถ้าเป็นอย่างที่ทุกคนคิดมันก็เป็นข่าวดีสำหรับพวกเราสองตระกูลมากเลยนะคะ เพราะตระกูลของพวกเราสนิทกันมากค่ะ” พรรณนิภาพูดยิ้มๆ

ส่วนรวัลยาก็บอกว่า

“ดิฉันอยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”

ทั้งสี่คนต่างก็คาดหวังที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกัน ระหว่างสองตระกูล ถ้าปาณัทกับรินรดาคบกันจริงๆ คงจะเป็นข่าวดีมากๆ เลยทีเดียว

 

 

ที่ศาลาตรงสวนหย่อมหลังบ้าน ปาณัทกับรินรดากำลังนั่งพูดคุยกัน โดยฝ่ายชายเป็นคนพูดก่อน

“ที่น้องรินเขียนข้อความลงบนกระดาษแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล น้องรินพูดจริงใช่ไหมครับ”

“หรือพี่ป้องอยากให้รินพูดเล่นล่ะคะ” รินรดาแกล้งทำหน้างอนๆ

อีกฝ่ายจึงพูดว่า

“พี่อยากให้น้องรินพูดจริงๆ สิจ๊ะ น้องรินรู้ไหมว่าพอพี่รู้คำตอบที่น้องรินเขียนลงบนกระดาษให้พี่อ่าน พี่ดีใจมากเลยนะ ไม่คิดว่าน้องรินจะให้คำตอบพี่เร็วขนาดนี้ และที่สำคัญ พี่อยากจะขอบคุณน้องรินมากที่น้องรินยอมมาคบกับพี่”

“อันที่จริง รินเองก็รู้สึกดีกับพี่ป้องมากเช่นกันค่ะ เพราะตั้งแต่เรารู้จักกันรินก็รู้สึกว่าชีวิตของรินสดใสขึ้นมากเลยค่ะ พี่ป้องเป็นพี่ชายที่แสนดีของริน แต่บัดนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ความรู้สึกของรินมันบอกว่าพี่ป้องคือคนที่พิเศษสำหรับริน รินมาคิดๆ ดูแล้วเวลาไม่มีผลต่อความรู้สึกของคนเรา ถ้าคนเราจะคบกันเวลามันก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ” หญิงสาวพูดไปยิ้มไป

ปาณัทจับมือศัลยแพทย์สาวขึ้นมาและบอกว่า

“พี่ก็รู้สึกพิเศษกับน้องรินเช่นกันครับ น้องรินเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี ใครได้คบกับน้องรินก็ถือว่าเป็นผู้โชคดี ยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งซะอีก แล้วในที่สุดพี่ก็เป็นผู้โชคดี”

“ขอบคุณพี่ป้องที่ให้รินเป็นคนสำคัญในชีวิต รินสัญญาว่าจะไม่ทำให้พี่ป้องต้องเสียใจและผิดหวังค่ะ” เธอพูดยิ้มๆ

“ระดับศัลยแพทย์หัวใจซะอย่าง จะทำให้คนอื่นเสียใจและผิดหวังได้ยังไง จริงไหมครับ”

“ค่ะ” รินรดาพยักหน้า “แต่ตอนนี้เราแค่คบหาดูใจกันไปก่อน ส่วนอนาคตค่อยว่ากันอีกทีค่ะ”

“จะอนาคตหรือปัจจุบันพี่ก็จะสัญญาว่าพี่ไม่เปลี่ยนใจไปจากน้องรินเด็ดขาด”

“พี่ป้องพูดหลอกรินหรือเปล่าคะ”

“พี่พูดจริงๆ นะครับ และพี่ก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้ พี่รักใครรักจริง พี่ไม่ทำให้ใครเสียใจและผิดหวัง”

“ค่ะ” ศัลยแพทย์สาวยิ้มกว้าง

แล้วก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น

“นึกไว้แล้วเชียวว่ามันต้องเป็นแบบนี้”

ทั้งสองคนหันขวับไปมองที่ต้นเสียง ก็เห็นว่าคนที่พูดเป็นชัชรินทร์ เขาเดินมากับรวัลยา คุณนภาลัย ปราภพ และพรรณนิภา

“อ้าว! คุณพ่อเองเหรอคะ” รินรดาทำหน้าตกใจ แต่สักพักรีบลุกขึ้นเดินไปหาพ่อกับแม่ ส่วนปาณัทก็เดินตามไป

“หนูต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ” หญิงสาวประนมมือไหว้ทุกคน

ชัชรินทร์จึงถามอย่างงงๆ

“ขอโทษทำไมกันล่ะลูก”

“นั่นน่ะสิจ๊ะ หนูรินจะขอโทษพวกเราทำไมกัน” คุณนภาลัยก็ถามเช่นกัน

แล้วรินรดาก็ตอบว่า

“ก็ขอโทษที่หนูกับพี่ป้องคบกันโดยไม่ได้บอกทุกคนน่ะค่ะ”

“โธ่! นึกว่าเรื่องอะไร” ปราภพยิ้ม “ถ้าเป็นเรื่องนั้นหนูรินไม่ต้องขอโทษขอโพยพวกเราหรอก เพราะหนูรินกับตาป้องก็โตๆ กันแล้ว ถ้าจะคบกันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถึงจะแอบคบกันแบบไม่บอกผู้ใหญ่มันก็ไม่ใช่เรื่องผิด ขอแค่ไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทางก็พอ”

“ขอบคุณคุณพ่อนะครับที่เข้าใจผมกับน้องริน” ปาณัทประนมมือไหว้ผู้เป็นพ่อ

อีกฝ่ายตบไหล่ผู้เป็นลูกชายเบาๆ

“ไม่เป็นไร พ่อเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนแก เรื่องแบบนี้พ่อเข้าใจ...สมัยที่พ่อกับแม่ของแกคบกัน พ่อกับแม่ต้องแอบคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ เพราะสมัยนั้นคุณย่าเขาเลือกคนที่จะให้เป็นคู่ชีวิตเอาไว้ให้พ่อแล้ว พ่อก็เลยต้องแอบคบกับแม่ของแก ไม่กล้าเปิดเผยให้คุณย่าของแกรู้เพราะกลัวโดนด่า แต่แล้ววันหนึ่งโชคก็เข้าข้างพ่อ เมื่อแม่ของแกได้ตั้งท้องแกกับ...” เขาเกือบหลุดพูดความลับที่เก็บไว้มานานถึงยี่สิบกว่าปี แล้วเขาก็พูดต่อ “วันนั้นเองพ่อถึงได้กล้าพาแม่ของแกเข้าไปพบคุณย่า บอกข่าวดีกับท่าน ตอนแรกท่านจะโวยวายไม่ยอมรับ แต่เมื่อแม่ของแกเข้ามาอยู่ในบ้าน คอยเอาใจคุณย่าสารพัด ไม่นานท่านก็ยอมรับ เพราะกำลังจะมีหลานให้ท่าน”

“คุณชักจะพูดเยอะไปแล้วนะคะ ฉันเขินค่ะ” พรรณนิภาตีแขนผู้เป็นสามีเบาๆ

“ที่คุณพ่อบอกว่าคุณแม่ตั้งท้องผมกับ...กับใครเหรอครับ ผมมีพี่น้องด้วยเหรอครับ” ปาณัทถามอย่างสงสัย

คำถามนี้คุณนภาลัยได้เป็นผู้ตอบ

“ไม่มีอะไรหรอกตาป้อง แกน่ะไม่มีพี่น้องท้องเดียวกันหรอก แกเป็นลูกคนเดียว ย่ายืนยันได้”

“ก็เมื่อกี้คุณพ่อพูดทิ้งให้ผมสงสัยครับคุณย่า”

“ช่างมันเถอะลูก อย่าไปสนใจเลย” พรรณนิภาบอกลูกชายพลางยิ้ม

แล้วรวัลยาก็บอกกับลูกสาวว่า

“ลูกรินจ๊ะ ถ้าหนูกับตาป้องจะคบกันแม่ก็ไม่ขัดข้องอะไร ขอแค่ลูกมีความสุขก็พอ”

“พ่อกับแม่ไม่ใช่คนหัวโบราณ ที่จะจับคู่ให้ลูกโดยที่ลูกไม่ได้ชอบพอกับคนคนนั้น เพราะฉะนั้นแล้วคู่ชีวิตของลูกพ่อกับแม่จึงให้ลูกเป็นคนตัดสินใจเลือกเอง” ชัชรินทร์บอก

รินรดาประนมมือไหว้พ่อกับแม่

“ขอบคุณนะคะคุณพ่อคุณแม่ หนูรักคุณพ่อคุณแม่มากเลยนะคะ” แล้วก็กอดพ่อกับแม่

“พ่อกับแม่ก็รักลูกเช่นกันจ้ะ” รวัลยาพูดยิ้มๆ

คุณนภาลัยจึงพูดขึ้นว่า

“หวังว่าในอนาคตสองตระกูลคงจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันนะ”

“แน่นอนครับคุณป้านภา” พูดจบชัชรินทร์ก็หัวเราะ

ส่วนพรรณนิภาก็พูดว่า

“ตาป้องกับหนูรินน่ะเหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองกับใบหยก ตาป้องก็หล่อ หนูรินก็สวย หาใครที่เพียบพร้อมแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วค่ะ”

“คุณพรรณพูดอีกก็ถูกอีกนะคะ” รวัลยาว่า

แล้วคุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา ชัชรินทร์ และรวัลยาก็พากันหัวเราะ ปาณัทกับรินรดาก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย

ปราภพหยุดหัวเราะ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“เกือบลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดตาป้อง”

“จริงสิ แม่ก็เกือบลืมเหมือนกัน” คุณนภาลัยบอก “วันเกิดของตาป้องเราจะจัดทุกปี และปีนี้เราก็จัดเช่นกัน แต่อาจจะพิเศษหน่อยนะ” แล้วก็หันไปทางชัชรินทร์กับรวัลยา และรินรดา “ขอเรียนเชิญตาชัช ยายวัน แล้วก็หนูรินมาร่วมงานวันเกิดตาป้องในวันพรุ่งนี้ด้วยนะ”

“ได้ครับคุณป้านภา” ชัชรินทร์พยักหน้ายิ้มๆ

แล้วปาณัทก็พูดกับรินรดา

“น้องรินต้องงานวันเกิดของพี่ให้ได้นะครับ”

คุณหมอสุดสวยจึงบอกว่า

“แน่นอนค่ะ รินต้องมาอยู่แล้ว”

พลันเสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ดังขึ้น เธอจึงคลายอ้อมกอดจากพ่อแม่และบอกกับทุกคนว่า

“รินขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ” แล้วเธอก็เดินออกไป ไม่นานนักเธอก็เดินกลับมาพร้อมบอกกับทุกคนว่า “พยาบาลโทรมาบอกว่ามีเคสผ่าตัดด่วนค่ะ ให้รีบไปที่โรงพยาบาลด่วน ถ้างั้นรินขอตัวก่อนนะคะ”

“ตาป้อง ไปส่งน้องหน่อยสิลูก” ปราภพบอกลูกชาย

“ครับคุณพ่อ” ปาณัทพยักหน้า

แต่คุณหมอสุดสวยกลับพูดว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ รินไปเองได้ค่ะ”

“ให้พี่เขาไปส่งน่ะดีแล้ว” ชัชรินทร์ว่า

ผู้เป็นลูกสาวจึงต้องยอม

“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นก็ไปกันเลยค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะคุณย่านภา คุณอาปราภพ คุณอาพรรณ แล้วก็คุณพ่อคุณแม่” เธอประนมมือไหว้ทุกคน

แล้วปาณัทกับรินรดาก็เดินออกไปพร้อมกัน

คุณนภาลัยมองตามแล้วยิ้ม

“น่ารักจริงๆ คู่นี้”

ส่วนชัชรินทร์ก็บอกกับประมุขของบ้านหลังนี้ว่า

“ผมก็ขอตัวกลับเช่นกันครับคุณป้านภา ไว้พรุ่งนี้ผมจะมาอีกนะครับ สวัสดีครับ” เขาประนมมือไหว้

“ดิฉันลากลับแล้วนะคะคุณป้านภา” รวัลยาก็ประนมมือไหว้เช่นกัน

คุณนภาลัยรับไหว้ยิ้มๆ

“สวัสดีจ้ะ”

แล้วชัชรินทร์กับรวัลยาก็เดินออกไปทันที

ผู้เป็นประมุขของบ้านจึงบอกกับลูกชายและลูกสะใภ้ว่า

“พวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะนะ” โดยตัวท่านเดินเข้าบ้านไปก่อน

แล้วปราภพกับพรรณนิภาก็เดินตามไป

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.