บทที่๑๕

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๑๕

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลคุณหมอก็รีบนำผู้บาดเจ็บไปที่ห้องผ่าตัด คุณนภาลัยจะเข้าไปตามแต่คุณหมอบอกว่าเข้าไม่ได้ ท่านจึงยืนรอหน้าห้อง

สักพักปราภพกับพรรณนิภาก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นแม่ที่โทรบอกว่าปาณัทถูกยิงพวกเขาก็รีบมาที่โรงพยาบาลทันที ท่านโทรหาลูกชายตอนที่นั่งอยู่ในรถพยาบาลนั่นเอง พอมาถึงหน้าห้องผ่าตัดปราภพก็รีบถามผู้เป็นแม่

“คุณแม่ครับ ตาป้องเป็นยังไงบ้างครับ”

“แม่ยังไม่รู้เลย ตอนนี้คุณหมอกำลังผ่าตัดอยู่” ท่านบอก

ส่วนพรรณนิภาก็ร้องไห้ไปด้วยพูดไปด้วย

“ตาป้องลูกแม่ แม่ขอให้ลูกอย่าเป็นอะไรไปเลยนะ...แม่เคยสูญเสียน้องชายฝาแฝดของลูกไป แต่แม่จะไม่ยอมสูญเสียลูกไปอีกคน”

“คุณพรรณ...ยังไงลูกของเราจะต้องปลอดภัย” เขาโอบไหล่ผู้เป็นภรรยาปลอบใจ

คุณนภาลัยจึงบอกว่า

“ตาป้องจะต้องไม่เป็นอะไรเด็ดขาด แม่เชื่อว่าเขาจะต้องปลอดภัย อย่าร้องไห้สิ แม่จะร้องไห้ตามอีก”

“เรานั่งรอคุณหมอเถอะครับ คงผ่าตัดไม่เสร็จง่ายๆ หรอกครับ” ปราภพบอก

แล้วทั้งสามคนก็ไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด นั่งรอด้วยใจกระวนกระวาย และได้แต่ภาวนาว่าให้ปาณัทปลอดภัย

สักพักตำรวจสองนายก็เดินเข้ามา ประนมมือไหว้ทั้งสามคนที่นั่งอยู่

“สวัสดีครับ พวกเรามาสอบปากคำคุณนภาลัยครับ” ตำรวจนายหนึ่งบอก

“ได้ค่ะ” คุณนภาลัยปาดน้ำตาทิ้ง

แล้วตำรวจก็เริ่มสอบปากคำ

“คุณนภาลัยได้เห็นเหตุการณ์ตอนที่คุณปาณัทถูกยิงไหมครับ”

“ไม่เห็นค่ะ ดิฉันอยู่ข้างในตึกใหญ่ของสำนักงาน คือตาป้องเขาจะมารับดิฉันกลับบ้าน แต่ดิฉันก็ไม่รู้ว่าเขามาถึงหน้าสำนักงานตอนไหน เขาคงจะกำลังเดินเข้าไปหาดิฉันข้างในตึกใหญ่ เพราะจุดที่เขาถูกยิงก็อยู่หน้าตึกค่ะ”

“แล้วคุณปาณัทมีเรื่องบาดหมางกับใครหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีนะครับ” ปราภพเป็นผู้ตอบ “ลูกชายของผมไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร หรือถ้าจะมีก็มีกับคนในบ้าน แต่ก็ไม่น่าทำกันได้ขนาดนี้หรอกครับ”

“หรือบางทีอาจจะเป็นเรื่องของธุรกิจหรือเปล่าครับ” ตำรวจสันนิษฐาน

อีกฝ่ายพยักหน้า

“ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ เพราะคู่แข่งทางธุรกิจของเราก็มีเยอะครับ บางทีอาจมีนักธุรกิจบางคนอิจฉาเราที่บริษัทเราขายเพชรพลอยได้มากกว่าก็เลยคิดที่จะกำจัดเรา”

“ตอนนี้เรายังหาข้อสรุปไม่ได้ครับเพราะยังไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันครับ เท่าที่ดูจากกล้องวงจรปิดจากทุกจุดในบริเวณสำนักงานสังคมสงเคราะห์ก็ไม่พบตัวคนร้ายหรือผู้ที่น่าสงสัยครับ บางทีมันอาจเตรียมการมาอย่างดี มันอาจเป็นมืออาชีพก็ได้ครับ” ตำรวจว่า

“แล้วจะสามารถจับคนร้ายได้ไหมครับ” ปราภพถามด้วยสีหน้าเครียดๆ

ฝ่ายตำรวจสั่นศีรษะ

“ถ้าเราไม่มีหลักฐานก็คงจับตัวคนร้ายไม่ได้ แล้วอีกอย่าง เราก็ยังไม่รู้ว่าคนร้ายมันเป็นใคร แต่ถึงยังไงทางตำรวจก็จะสืบหาตัวคนร้ายให้พบครับ”

“ขอบคุณมากนะครับคุณตำรวจ”

“ขอบคุณมากนะคะ” คุณนภาลัยก็ประนมมือไหว้เช่นกัน

แล้วพรรณนิภาก็ประนมมือไหว้ตำรวจอีกคน

“ดิฉันก็ต้องขอขอบคุณคุณตำรวจเหมือนกันค่ะ ขอให้คุณตำรวจสืบหาตัวคนร้ายให้พบนะคะ”

“ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ตำรวจคนหนึ่งบอกยิ้มๆ

แล้วตำรวจอีกนายก็พูดว่า

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ถ้าได้เรื่องยังไงผมจะรีบแจ้งทันที”

ทั้งสามคนประนมมือไหว้ตำรวจอีกครั้ง แล้วตำรวจก็พากันเดินออกไป

เมื่อตำรวจผละไปแล้วคุณนภาลัยประนมมือไหว้ท่วมหัว

“เจ้าประคู้ณ! ขอให้ตำรวจจับคนร้ายได้ด้วยเถอะ”

แล้วประตูห้องผ่าตัดก็ถูกเปิดออก คุณหมอเดินออกมา ปราภพรีบเข้าไปถามเป็นคนแรก

“คุณหมอครับ ลูกชายของผมเป็นยังไงบ้างครับ”

“ปลอดภัยแล้วครับ ดีนะครับที่กระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ หมอผ่าเอากระสุนออกให้เรียบร้อยแล้ว แต่ค่อนข้างเสียเลือดมาก และโชคดีมากที่ทางโรงพยาบาลมีเลือดสำรองตรงกับกรุ๊ปเลือดของผู้บาดเจ็บ หมอก็เลยเติมเลือดให้แล้วครับ” คุณหมอบอก

ปราภพรีบประนมมือไหว้ขอบคุณคุณหมอ

“ผมขอบคุณมากนะครับคุณหมอ”

ส่วนคุณนภาลัยกับพรรณนิภาก็ประนมมือไหว้เช่นกัน

“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ ที่ช่วยหลานชายของดิฉันให้ปลอดภัย”

“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว ถ้างั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” แล้วคุณหมอก็ผละไป

ปราภพหันมายิ้มดีใจแม่กับภรรยา

“ตาป้องปลอดภัยแล้วครับ”

“เป็นบุญของตาป้องที่ไม่เป็นอะไรมาก...หลานของแม่เป็นคนเก่งนะ จะเป็นอะไรง่ายๆ ได้ยังไง” คุณนภาลัยบอก

พรรณนิภาจึงพูดว่า

“คุณหมอเขาเก่งค่ะคุณแม่ แล้วอีกอย่าง ตาป้องก็เป็นคนดี อย่างที่เขาพูดกันว่าคนดีผีคุ้มค่ะ”

“ใช่จ้ะ ตาป้องหลานแม่เป็นคนดี...คนดีผีคุ้ม”

ผู้เป็นลูกสะใภ้พยักหน้ายิ้มๆ

เมื่อคุณหมอบอกว่าปาณัทปลอดภัยแล้วทั้งสามคนก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจ ถึงกับยิ้มออกมาได้ในที่สุด

 

ทางด้านประภา เขมนันท์ และภูริชกำลังยิ้มหน้าระรื่นเมื่อผู้ที่ประภาจ้างวานให้ไปฆ่าปาณัทโทรมาบอกว่าทำสำเร็จแล้ว ยิงปาณัทจนล้มลงจมกองเลือด เมื่อได้ยินเช่นนั้นทั้งสามคนก็มั่นใจว่าศัตรูหมายเลขหนึ่งจะต้องตายแล้วอย่างแน่นอน และยิ่งเห็นพรรณนิภาร้องไห้ขึ้นรถไปกับปราภพก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น

“คุณเขม...นี่เราต้องเตรียมชุดดำไว้หรือเปล่า เดี๋ยวจะได้ไปงานศพไอ้ป้อง” ประภาพูดกับผู้เป็นสามีขณะอยู่ในห้องนอน โดยผู้เป็นลูกชายอยู่ด้วย

“ต้องเตรียมไว้สิครับคุณแม่” ภูริชเป็นผู้ตอบ “ถูกยิงจนล้มลงจมกองเลือดยังไงมันก็ไม่รอดครับ หรือถ้ามันไม่ตายก็เป็นบุญของมัน แต่ผมขอฟันธงว่ายังไงมันก็ต้องตายแน่นอนครับคุณแม่ ผมสะใจจังเลยครับ” พูดจบก็หัวเราะอย่างสะใจ

“แม่เองก็สะใจไม่แพ้กัน ต่อไปลูกจะไม่มีเสี้ยนหนามอีกแล้ว...”

“แล้วทรัพย์สมบัติจะตกเป็นของใครไม่ได้...นอกจากลูกชายของพ่อคนเดียว” เขมนันท์รู้สึกมั่นใจมาก

“ใช่ค่ะ คุณเขมพูดถูก” เธอเห็นด้วยกับผู้เป็นสามี

แล้วก็ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้าน

“สงสัยคงจะพากันกลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว เราลงไปดูกันเถอะ” ประภาบอก ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเป็นคนแรก เขมนันท์กับภูริชเดินออกไปตามหลัง

เมื่อทั้งสามคนลงมาถึงชั้นล่างก็พบว่าคุณนภาลัย ปราภพ และพรรณนิภาเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่เศร้าแล้วก็ถึงกับพากันรู้สึกแปลกใจ แต่ประภาก็แกล้งทำเป็นถามว่า

“อ้าว! พากันกลับมาจากโรงพยาบาลเหรอคะ เอ้อ แล้วตาป้องเป็นยังไงบ้างคะ”

“ปลอดภัยแล้ว” คุณนภาลัยเป็นผู้ตอบ

ส่วนปราภพก็บอกว่า

“ตาป้องไม่เป็นอะไรแล้ว คุณหมอบอกว่ากระสุนไม่ได้ถูกจุดสำคัญ”

“โล่งอกไปนะคะที่ตาป้องไม่เป็นอะไร” เธอฝืนพูดออกไป ทั้งที่ใจไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดสักนิด

‘แกรอดได้ยังไงไอ้ป้อง แกถูกยิงจนจมกองเลือด ไม่น่าเชื่อว่าแกจะปลอดภัย ดวงแข็งจริงๆ’

แล้วเขมนันท์ก็พูดขึ้นว่า

“โถ! เป็นบุญของตาป้องแท้ๆ นะครับที่รอดมาได้ ขนาดถูกยิงจนจมกองเลือดนะครับเนี่ย”

“ก็ตาป้องเป็นคนดีไง คนดีผีก็ต้องคุ้มอยู่แล้ว” ปราภพบอก

“ส่วนผมก็ดีใจมากครับคุณลุงที่นายป้องปลอดภัย ไม่เป็นอะไรมาก” ภูริชกัดฟันพูด

ผู้เป็นลุงจึงถามว่า

“แกเป็นห่วงตาป้องด้วยเหรอ ลุงเห็นแกกับตาป้องไม่เคยถูกกันเลยสักครั้ง”

“คุณลุงครับ ถึงผมจะไม่ถูกกับนายป้อง แต่พอได้ข่าวว่านายป้องถูกยิงผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ครับ”

“กัดฟันพูดหรือเปล่า”

“ก็ไม่แปลกหรอกครับที่คุณลุงจะพูดแบบนี้กับผม เพราะผมทำไม่ดีกับทุกคนไว้เยอะ แต่ผมขอยืนยันว่าที่ผมพูดมันเป็นความรู้สึกจากข้างในครับ ผมพูดจริง นายป้องก็เป็นพี่น้องของผมคนหนึ่ง ผมก็รู้สึกเป็นห่วงเมื่อได้ข่าวว่ามันถูกยิง แต่เมื่อตอนนี้มันปลอดภัยแล้วผมก็โล่งใจไปครับ” เป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น แต่ในใจกลับพูดอย่างผิดหวัง

‘ทำไมวะ ไอ้ป้อง ทำไมแกไม่ตายๆ ไปซะ แกจะอยู่เป็นเสี้ยนหนามฉันทำไม ฉันอุตส่าห์ดีใจว่าแกได้ตายไปแล้วซะอีก โธ่เว้ย!’

“แต่ถึงยังไงลุงก็ขอบใจนะที่เป็นห่วงตาป้อง” ปราภพว่า

แล้วคุณนภาลัยก็พูดขึ้น

“ยายพรรณ พาแม่ขึ้นไปพักบนห้องหน่อย”

“ได้ค่ะคุณแม่ ไปค่ะ” พรรณนิภาประคองผู้เป็นแม่สามีเดินไปทางบันไดเพื่อจะขึ้นไปที่ชั้นบน ส่วนปราภพก็เดินตามขึ้นไป

ประภาหันซ้ายแลขวามองว่ามีคนอยู่แถวนั้นไหม เมื่อไม่เห็นว่ามีใครอยู่เธอก็พูดกับสามีและลูกชายอย่างผิดหวัง

“มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน ทำไมไอ้ป้องมันถึงปลอดภัย ฉันอุตส่าห์เตรียมชุดดำไปงานศพมัน”

“นั่นสิ ผมก็งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมไอ้ป้องมันถึงไม่ตาย ทั้งที่มันถูกยิงจนจมกองเลือด” เขมนันท์ก็ผิดหวังเช่นกัน

“มันต้องแขวนพระอะไรไว้แน่ๆ เลยครับคุณพ่อคุณแม่” ภูริชว่า

“ถึงวันนี้มันจะไม่ตาย แต่วันหน้าแม่จะทำให้มันตายด้วยฝีมือของแม่เอง” ประภาบอกด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม เธอไม่ยอมล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าปาณัทให้ตาย ถึงขนาดบอกว่าวันหน้าจะทำให้ผู้เป็นหลานชายตายด้วยฝีมือของเธอเอง เรียกได้ว่าจิตใจของเธอโหดเกินมนุษย์ ทำได้แม้กระทั่งกับหลานแท้ๆ เพราะความโลภล้วนๆ ที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้

 

รินรดายืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ของโรงพยาบาล หญิงสาวยืนพูดคุยกับพยาบาลสามคนเรื่องทั่วไป แล้วก็ได้ยินพยาบาลสองคนเดินพูดคุยกันผ่านเคาน์เตอร์

“นี่เธอ...ฉันว่าโชคดีนะที่คุณปาณัทถูกยิงแต่กระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ”

“ใช่ๆ ฉันก็ว่าโชคดี เขาคงทำบุญไว้เยอะมั้ง ถึงไม่เป็นอะไรง่ายๆ”

“แหม! เธอก็ คนหล่อๆ แบบนี้ถ้าเป็นอะไรไปก็เสียดายแย่สิ” อีกคนพูดจบก็หัวเราะ

ส่วนอีกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ก็จริงของเธอ”

เมื่อได้ยินที่พยาบาลสองคนพูดคุณหมอสุดสวยก็มีสีหน้าตกใจ จึงพึมพำกับตัวเอง

“นี่พี่ป้องถูกยิงเหรอ ทำไมเราไม่รู้เรื่องเลย”

ก่อนจะบอกกับพยาบาลสามคนที่ยืนอยู่กับเธอ

“รินขอตัวก่อนนะคะ” แล้วเธอก็เดินออกไปอย่างรีบร้อน จนพยาบาลทั้งสามคนมองตามอย่างงงๆ

“คุณหมอรินเขาจะรีบไปไหนนะ”

“คงจะไปดูคุณปาณัทมั้ง พอได้ยินพยาบาลสองคนนั้นพูดก็รีบเดินออกไป”

“ก็ได้ข่าวว่าคุณหมอรินกับคุณปาณัทสนิทกันมาก เห็นชวนกันออกไปกินข้าวบ่อยๆ อ้อ ตอนเที่ยงคุณปาณัทก็มาหาคุณหมอริน แต่ไม่น่าเชื่อว่าพอตกเย็นก็ได้ยินว่าถูกยิง” พยาบาลคนที่สามว่า

แล้วพยาบาลคนที่หนึ่งก็พูดว่า

“แต่ฉันว่านะ ไม่แน่นะ อนาคตของคุณปาณัทกับคุณหมอรินอาจจะได้เป็นแฟนกันหรือแต่งงานกันก็ได้ เธอสองคนว่าไหม”

“ฉันก็คิดเหมือนเธอนะ”

“เธอสองคนก็พูดไป อนาคตจะเป็นยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาสองคน ไม่ใช่พวกเรานะยะ”

 

 

ปาณัทถูกย้ายมาอยู่ที่ห้องพักฟื้นพิเศษ ขณะนี้เขายังไม่ฟื้น หลังมือถูกเจาะใส่สายน้ำเกลือ ในห้องไม่มีใครอยู่เฝ้า กลับบ้านไปหมด และเขาเพิ่งจะถูกย้ายมาที่ห้องนี้

ศัลยแพทย์หญิงรินรดาผลักประตูห้องพักฟื้นของปาณัทเข้ามา จากนั้นก็ไปเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง มองคนที่นอนอยู่บนเตียงที่ยังไม่รู้สึกตัวด้วยสีหน้าเศร้าๆ

“เมื่อตอนเที่ยงพี่ป้องยังมาหาริน มาขอคบกับริน แล้วชวนรินไปทานข้าวเที่ยง แต่รินไม่ได้ไปด้วยเพราะติดเคสผ่าตัดด่วน แล้วอยู่ๆ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ถึงถูกยิงได้ รินยังไม่ได้ให้คำตอบพี่เลย รีบฟื้นเร็วๆ นะคะ เดี๋ยวรินจะให้คำตอบ”

แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก คุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา ชัชรินทร์และรวัลยาเดินเข้ามาพร้อมกัน

“อ้าว! หนูริน เข้ามาในห้องนานแล้วเหรอจ๊ะ” คุณนภาลัยถาม

คุณหมอสุดสวยประนมมือไหว้ทุกคน ก่อนจะตอบคำถามคุณนภาลัย

“หนูเพิ่งจะเข้ามาเมื่อกี้นี้ค่ะคุณย่านภา”

“แล้วลูกไม่มีเคสผ่าตัดเหรอ” ชัชรินทร์ถามผู้เป็นลูกสาว

“ไม่มีค่ะคุณพ่อ” หญิงสาวสั่นศีรษะ “หนูได้ยินพยาบาลพูดกันว่าพี่ป้องถูกยิงก็เลยรีบมาดูค่ะ แต่โชคดีมากนะคะที่พี่ป้องไม่เป็นอะไรมาก”

“ใช่จ้ะ เป็นโชคดีของตาป้อง แต่ก็อย่างว่าแหละ คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” คุณนภาลัยพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปข้างเตียงและจับมือหลานชาย “รีบฟื้นเร็วๆ นะตาป้อง ทุกคนรออยู่ อย่าหลับนานนักนะ”

พรรณนิภาก็เดินมาหาผู้เป็นลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงยังไม่ฟื้น บอกกับเขาว่า

“ตาป้อง แม่ขอให้ลูกฟื้นเร็วๆ นะ อย่าขี้เซานักล่ะ”

“ลูกไม่หลับนานหรอกคุณพรรณ” ปราภพบอก

“เอ้อ คุณป้าครับ แล้วตำรวจว่ายังไงบ้างครับ” ชัชรินทร์ถามคุณนภาลัย

ท่านจึงตอบว่า

“ตำรวจบอกว่าหาตัวคนร้ายยาก เพราะดูภาพในกล้องวงจรปิดจากทุกจุดในบริเวณสำนักงานสังคมสงเคราะห์ก็ไม่พบตัวคนร้าย มันเลือกที่จะอยู่ในจุดที่ไม่มีกล้องวงจรปิดและไม่มีคน...”

“มันต้องเป็นมืออาชีพมากแน่ๆ เพราะถ้ามันไม่ใช่มืออาชีพมันต้องทิ้งร่องรอยไว้บ้างละ แต่นี่อะไรไม่พบร่องรอยของมันเลย” ปราภพว่า

“แล้วนายสงสัยใครบ้างไหมล่ะ” ชัชรินทร์ถาม

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“ผมไม่สงสัยใครหรอกครับ เพราะตาป้องไม่ใช่คนที่ชอบสร้างศัตรูกับใคร และไม่ชอบยุ่งกับใคร เขาอยู่ในส่วนของเขา มุ่งทำแต่งานอย่างเดียว ทำให้บริษัทเจริญรุ่งเรือง”

“ตาป้องเขาขยันมากนะ” ผู้เป็นย่าพูดถึงหลานชายอย่างภูมิใจ “ตั้งแต่พ่อของเขามอบตำแหน่งประธานบริษัทให้ก็ตั้งใจทำงานมาก ไม่ค่อยว่างเลย เห็นตาปราภพบอกว่าหุ้นส่วนของบริษัททุกคนชมว่าตาป้องทำงานเก่ง เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง...”

“ใช่ครับ ตาป้องเป็นที่รักของทุกคนเสมอ” ปราภพบอกยิ้มๆ

“พี่ว่าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทของนาย แต่คงไม่ได้ไปแล้วละ เพราะตอนนี้พี่กำลังวางโครงการที่จะสร้างบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่ อีกไม่กี่เดือนก็น่าจะเปิดบริษัทได้...เงินลงทุนสร้างก็หลายล้านบาทอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อตั้งใจแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ” ชัชรินทร์บอก

แล้วคุณนภาลัยก็ถามขึ้นว่า

“อ้าว! เธอจะสร้างบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เหรอ”

“ครับ คุณป้านภา” อีกฝ่ายพยักหน้า “ผมก็คิดไว้นานหลายปีแล้วครับเรื่องที่จะสร้างบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ปีนี้คิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะสร้าง”

“แล้วที่ผมเคยบอกไว้ ว่าจะเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทของพี่...” ปราภพถามยิ้มๆ

อีกฝ่ายพยักหน้า

“ได้สิ”

“ป้าขอให้เธอประสบความสำเร็จนะ” คุณนภาลัยอวยพร

ชัชรินทร์ประนมมือไหว้

“ขอบคุณครับ”

รินรดามองผู้ใหญ่พูดคุยกันแล้วยิ้ม แล้วเธอก็เหลือบเห็นนิ้วของปาณัทกระดิกก็รีบกับทุกคน

“ทุกคนคะ พี่ป้องรู้สึกตัวแล้วค่ะ”

ทุกคนจึงมองไปที่ปาณัทเป็นสายตาเดียวกัน ก็เห็นว่าชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองทีละคน

“ตาป้อง รู้สึกตัวแล้วเหรอลูก” พรรณนิภาถามเป็นคนแรก

“เดี๋ยวรินจะไปตามคุณหมอเจ้าของไข้ให้นะคะ” พูดจบหญิงสาวรีบลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง

แล้วคุณนภาลัยก็ถามหลานชาย

“ตาป้อง หลานย่าเป็นยังไงบ้าง”

“ผมรู้สึกเจ็บๆ ครับคุณย่า” ปาณัทนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บที่แผล

“อย่าเพิ่งขยับนะลูก เดี๋ยวแผลจะฉีก” ปราภพบอกลูกชาย

“ผมขอน้ำดื่มหน่อยครับคุณแม่” เรียกหาน้ำดื่ม

พรรณนิภารีบเทน้ำที่อยู่ในเหยือกวางอยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียงใส่แก้วและเอาหลอดมาใส่ให้ผู้เป็นลูกชายดูด แต่ดูดได้นิดเดียวก็บอกว่าพอ

“พอแล้วครับคุณแม่”

“ดูดอีกสิลูก ทำไมลูกดูดน้ำนิดเดียวจัง”

“ผมพอแล้วจริงๆ ครับคุณแม่” เขาบอก

ผู้เป็นแม่จึงเอาแก้วน้ำไปวางไว้ที่เดิม

จากนั้นปาณัทก็ถามทุกคนว่า

“นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนครับ”

“ก็ประมาณสี่ชั่วโมงได้” ปราภพเป็นผู้ตอบ

ชายหนุ่มจึงถามต่อ

“เมื่อกี้ผมเห็นน้องริน...ว่าแต่เธอมาอยู่กับผมนานหรือยังครับ”

“ไม่นานหรอกจ้ะ เธอบอกว่าเข้ามานั่งอยู่กับแกสักพัก แล้วพวกย่าก็พากันมา” คุณนภาลัยตอบ

“ลุงขอให้แกหายไวๆ นะตาป้อง” ชัชรินทร์บอกยิ้มๆ

“ขอบคุณมากครับคุณลุงชัช” ชายหนุ่มประนมมือไหว้อีกฝ่าย

แล้วคุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาล และรินรดา คุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้เริ่มตรวจผู้ที่เพิ่งจะฟื้น เมื่อตรวจเสร็จก็บอกกับญาติ

“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่นอนดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสักสองวันแล้วค่อยกลับบ้านได้ อ้อ อย่าขยับมากนะครับ เดี๋ยวแผลจะฉีกและหายช้า”

“ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ” ชายหนุ่มประนมมือไหว้คุณหมอ

คุณหมอจึงบอกว่า

“ไม่เป็นไรครับ คนไข้พยายามพักผ่อนมากๆ นะครับ จะได้หายไวๆ ขยับร่างกายให้น้อยลง”

“ครับคุณหมอ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ”

ทุกคนประนมมือไหว้คุณหมอ แล้วคุณหมอก็เดินออกไปพร้อมกับพยาบาล แต่คุณหมอรินรดาไม่ได้ออกไปด้วย เธอจึงเดินเข้ามาถามปาณัท

“พี่ป้องเป็นยังไงบ้างคะ”

“ยังมึนๆ หัวและเจ็บที่แผลนิดหน่อยครับ” เขาตอบ

“หายไวๆ นะคะ สู้ๆ ค่ะ” คุณหมอสุดสวยโชว์สองนิ้วให้กำลังใจผู้ป่วย

อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ

“ขอบคุณนะครับน้องริน”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอสั่นศีรษะ

แล้วปาณัทก็หันไปถามผู้เป็นพ่อ

“คุณพ่อครับ แล้วตำรวจว่ายังไงบ้างครับ”

“ตำรวจบอกว่าคงจะจับตัวคนร้ายได้ยาก เพราะมันไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย แล้วอีกอย่าง ตำรวจก็ไปดูภาพจากกล้องวงจรทุกจุดในบริเวณสำนักงานสังคมสงเคราะห์มาแล้วก็ไม่พบตัวคนร้ายหรือคนที่น่าสงสัยอะไร” ผู้เป็นพ่อตอบ

“แสดงว่ามันเตรียมการมาอย่างดี...”

“ใช่! ตำรวจคิดว่าคนร้ายมันอาจจะเป็นมืออาชีพ เพราะมันไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย แต่ตำรวจเขาสัญญาว่าจะแกะรอยตามจับคนร้ายให้ได้”

“เธอมีศัตรูที่ไหนไหมตาป้อง” ชัชรินทร์ถามขึ้น

ปาณัทจึงตอบคำถาม

“มีอยู่คนหนึ่งครับ แต่ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะทำกับผมแบบนี้ได้”

“เธอสงสัยใครกัน”

“ช่างมันเถอะครับ” ชายหนุ่มไม่ยอมบอกกับทุกคน ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจคนเดียว

แล้วคุณนภาลัยก็บอกกับผู้เป็นหลานชายว่า

“ขึ้นชื่อว่าศัตรูเนี่ย มันก็น่ากลัวทั้งนั้นแหละ ศัตรูมันทำอะไรเราได้หลายอย่าง ถ้าตาป้องสงสัยใครบอกย่าได้นะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณย่า ผมไม่ได้สงสัยใคร”

“แน่ใจนะ”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ แต่สีหน้ากลับบ่งบอกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ยอมบอกใครก็เท่านั้นเอง

“โอเค ถ้าตาป้องบอกว่าแน่ใจ ย่าก็จะไม่เซ้าซี้ถามต่อ” ท่านบอก ก่อนจะหันไปบอกกับทุกคน “พวกเรากลับกันได้แล้วละ ตาป้องจะได้พักผ่อน และจะได้หายไวๆ”

“ครับ คุณแม่” ปราภพพยักหน้า

พรรณนิภาลูบศีรษะผู้เป็นลูกชาย พร้อมกับบอกว่า

“หายไวๆ นะลูก พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ แม่กลับก่อนนะ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”

“อยู่ได้ครับคุณแม่” ชายหนุ่มยิ้มให้ผู้เป็นแม่

แล้วรินรดาก็พูดขึ้น

“ถ้ารินไม่เคสผ่าตัด บางทีรินอาจจะมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ป้องค่ะ”

“ขอบใจนะหนูริน ย่าฝากตาป้องด้วยนะ” คุณนภาลัยยิ้มให้คุณหมอสุดสวย ก่อนจะหันไปพูดกับผู้เป็นหลานชาย “ย่ากลับก่อนนะ ขอให้หายไวๆ นะ”

“ขอบคุณครับคุณย่า” ชายหนุ่มประนมมือไหว้ผู้เป็นย่า

“หายไวๆ นะตาป้อง พ่อกลับก่อน” ปราภพบอก

ส่วนชัชรินทร์กับรวัลยาก็พูดว่า

“พักผ่อนเยอะๆ นะตาป้อง ร่างกายจะได้กลับมาแข็งแรงไวๆ ลุงกลับก่อนนะ”

“ป้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเยอะ แค่อยากจะบอกว่าขอให้ตาป้องหายไวๆ ป้ากลับก่อนนะ” รวัลยาบอก ก่อนจะหันไปพูดกับผู้เป็นลูกสาว “ดูแลพี่เขาดีๆ นะคุณหมอริน”

“ค่ะ คุณแม่” เธอพยักหน้ายิ้มๆ

แล้วทั้งสี่คนก็เดินออกไปจากห้องพักฟื้นของปาณัท ในห้องจึงเหลือเพียงชายหนุ่มกับคุณหมอรินรดา เมื่ออยู่กับเขาตามลำพังเธอก็ทำตัวไม่ถูก อยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก

“เอ้อ...”

“มีอะไรจะพูดกับพี่เหรอครับน้องริน” เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าอมพะนำเขาจึงถาม

“คือ...” ก็ยังพูดไม่ออกอีกอยู่ดี แล้วอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เธอจึงกดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ใคร “ฮัลโหลค่ะคุณพยาบาลนิชานันท์ ว่ายังไงนะคะ มีเคสผ่าตัดด่วนเหรอคะ ได้ค่ะ เดี๋ยวรินจะรีบไปนะคะ”

เมื่อวางสายหญิงสาวก็หันไปบอกกับปาณัท

“พอดีว่าคุณพยาบาลนิชานันท์โทรมาบอกว่ามีเคสผ่าตัดด่วน รินต้องรีบไปค่ะ ขอตัวก่อนนะคะพี่ป้อง”

อีกฝ่ายจึงพยักหน้า

“ครับ รีบไปเถอะครับ พี่อยู่คนเดียวได้”

แล้วคุณหมอรินรดาก็เดินออกไปจากห้องอย่างรีบร้อน ปาณัทมองตามอย่างคลางแคลงใจ

“เลยยังไม่รู้ว่าน้องรินจะพูดอะไร”

แล้วกลับมาคิดเรื่องของตัวเอง ชายหนุ่มกำลังสงสัยว่ามีคนจงใจฆ่าเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าใครที่มันคิดร้ายกับเขา ในใจของเขานั้นมีคนหนึ่งที่น่าสงสัย แต่ไม่อาจบอกให้ใครรู้ได้เพราะไม่มีหลักฐาน จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้คนเดียวนั่นเอง

 

วันนี้คุณหมออนุญาตให้ปาณัทกลับบ้านได้ หลังจากที่นอนโรงพยาบาลมาสามคืนเต็มๆ ขณะที่ชายหนุ่มเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำนานพอสมควร พอกลับออกมาก็เจอกับกระดาษแผ่นหนึ่งถูกแป๊ะไว้บนโต๊ะวางของตรงหัวเตียง เขาจึงดึงมาอ่าน โดยในกระดาษเขียนว่า

‘พี่ป้องคะ รินมีคำตอบให้พี่ป้องแล้วนะคะ ที่พี่ป้องขอคบกับรินวันนั้น แต่รินบอกว่าขอเวลาก่อน วันนี้รินพร้อมจะตอบพี่แล้วนะคะ อ้อ ที่รินต้องเขียนใส่กระดาษก็เพราะว่ารินไม่กล้าบอกกับพี่ต่อหน้า รินเขินค่ะ รินตกลงคบกับพี่แล้วนะคะ แล้ววันนั้นที่รินมัวแต่อ้ำอึ้งอยู่ก็เพราะรินพูดไม่ออก แต่ความจริงรินก็จะให้คำตอบพี่นั่นแหละค่ะ...จาก คุณหมอรินรดา’

เป็นกระดาษของคุณหมอรินรดานั่นเอง เธอเขียนคำตอบถึงปาณัท เมื่อได้อ่านเขาก็ถึงกับยิ้มแก้มแทบปริเลยทีเดียว ที่แท้วันนั้นที่เธอเอาแต่เอาแต่อมพะนำอยู่ จะพูดก็ไม่พูดก็เพราะอย่างนี้เอง แล้วที่เธอเขียนคำตอบใส่กระดาษให้เขาอย่างนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ

“ไม่กล้าบอกกับพี่ต่อหน้าจนต้องเขียนใส่กระดาษให้พี่อ่านแทน เป็นอะไรที่น่ารักจริงๆ คุณหมอรินรดา” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง

แล้วประตูห้องก็เปิดออก ปราภพกับพรรณนิภาเดินเข้ามา ปาณัทหันมองพ่อกับแม่แล้วประนมมือไหว้

“อ้าว! คุณพ่อคุณแม่ สวัสดีครับ”

เมื่อผู้เป็นพ่อเห็นกระดาษในมือลูกชายก็ถามว่า

“นั่นกระดาษอะไรน่ะตาป้อง”

“อ้อ ไม่มีอะไรหรอกครับคุณพ่อ มันก็แค่กระดาษทั่วไป ผมเอามาเขียนเล่นน่ะครับ” เขารีบพับกระดาษและยัดใส่กระเป๋ากางเกงทันที

“แล้วนี่ลูกเก็บของเสร็จหรือยัง พ่อกับแม่มารับลูกกลับบ้าน” พรรณนิภาบอกผู้เป็นลูกชายยิ้มๆ

ปาณัทจึงพูดว่า

“ความจริงแล้วผมกลับแท็กซี่ก็ได้นะครับ คุณพ่อกับคุณแม่ไม่เห็นต้องลำบากเลยครับ”

“ไม่ได้สิ...ลูกกำลังบาดเจ็บอยู่นะ จะกลับแท็กซี่คนเดียวได้ยังไง” ผู้เป็นแม่ว่า

“ผมค่อยดีขึ้นแล้วครับคุณแม่” เขาบอก

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ไว้ใจให้ลูกกลับคนเดียว เพราะลูกยังไม่หายดี”

“ก็ได้ครับ ในเมื่อคุณพ่อคุณแม่ตั้งใจมารับผมแล้วผมก็จะกลับกับคุณพ่อคุณแม่ครับ” เขาจึงยอม เพราะพ่อกับแม่ตั้งใจมารับแล้ว ก่อนจะพูดว่า “อ้อ แต่ก่อนจะกลับ ผมขอไปหาน้องรินก่อนนะครับ ไปขอบคุณที่เธออุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนผมในเวลาที่เธอไม่มีเคสผ่าตัด คุณพ่อกับคุณแม่ไปรอผมที่ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมตามไป ไม่นานหรอกครับ”

“ให้แม่ถือของไปรอที่รถไหม”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมถือไปเอง” เขาบอกยิ้มๆ

ปราภพจึงพูดว่า

“ถ้างั้นพ่อกับแม่ไปรอที่รถนะ”

“ครับ คุณพ่อ”

“ไปเถอะคุณ” เขาสะกิดแขนผู้เป็นภรรยา ก่อนจะเดินออกไปด้วยกัน

แล้วปาณัทก็เดินออกไปจากห้องเช่นกัน เขาเดินไปทางห้องพักของคุณหมอรินรดา โดยเดินผ่านเคาน์เตอร์ เมื่อเห็นพยาบาลที่อยู่แถวนั้นเขาก็ถามว่า

“คุณหมอรินรดาอยู่ที่ห้องพักไหมครับ”

“อ้อ คุณหมอรินไม่ได้อยู่ที่ห้องค่ะ คุณหมอรินมีเคสผ่าตัดค่ะ” พยาบาลตอบยิ้มๆ

“เอ้อ ขอบคุณมากครับ” แล้วเขาก็ผละไปด้วยสีหน้าผิดหวังเมื่อไม่ได้เจอคุณหมอรินรดาอย่างที่ตั้งใจ

เขากลับไปเอาของที่ห้องพักฟื้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินตรงไปยังลิฟต์และกดให้ลิฟต์เปิด เมื่อประตูลิฟต์เปิดแล้วเขาก็เดินเข้าไป จากนั้นก็กดปิด

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.