เช่นนั้นทำไมจึงมีแสงหากไม่ส่องสว่าง?

ดอกนาซิสซัสกับความฝันที่ฆ่าฉัน

-A A +A

เช่นนั้นทำไมจึงมีแสงหากไม่ส่องสว่าง?

          โต๊ะอาหารยาว   วางอาหารมากมายบนจานทองคำ   ที่หัวโต๊ะ   ฝั่งตรงข้ามประตูห้องคือชายผู้สูงศักดิ์   ผู้กำลังนั่งรับประทานเนื้อย่าง   ควันอุ่นๆ   ระอุจากผิวกึ่งสุกกึ่งดิบยามถูกกดด้วยคมมีด   และมีอีกหนึ่ง   โวปาม   ผู้ยืนเกือบชิดผนังประตูห้อง   ก้มหน้าตลอดเวลา

          “นางเป็นเช่นไร?”   ชายผู้สูงศักดิ์เอ่ยขึ้น   “สภาพร่างกายภภายนอกของนางกลับมาสมบูรณ์ดีแล้วขอรับฝ่าบาท”   โวปามกล่าวรายงานอย่างฉะฉาน   ไม่แหงนหน้าสบตาอีกฝ่าย   ใช้เพียงหูสัมผัสเสียงกระทบกันของเครื่องรับประทานอาหาร   “นำทางข้าไปหานาง”   เขาแหงนหน้าขึ้น   “ขอรับฝ่าบาท”

         

          กลิ่นหอมของดอกไม้   เบ่งบานสู้แสงอรุณอันใกล้ดับลง   กระโปรงยาวลากพื้น   เคลื่อนผ่านผิวดินไร้ใบ   สัมผัสกลีบดอกไม้หลากสีด้วยมือทั้งสอง   ใบหน้าแต่งแต้มอมยิ้มแห่งความสุข   “ท่านผู้หญิง   แสงแดดยามอรุณใกล้หมดแล้วนะคะ   หากไม่รีบ   ดิฉันเกรงว่าอาจจะทำให้ผิวพรรณของท่านเสียค่ะ”   หญิงรับใช้ที่กำลังเดินตามหลัง   กล่าวอย่างเป็นห่วง   กระนั้นเธอกลับไม่ฟังคำเตือน   แถมยังดูจะไม่สนใจพวกนางด้วยซ้ำ   เท้าเปล่าเหยียบย่ำผืนดิน   เป็นจังหวะของความสุขมากกว่าจะเรียกว่าการเดินไปข้างหน้าเฉยๆ   แต่แล้วก็ชะงักอยู่กับที่   นัยน์ตาบัดนี้ไม่ได้มองเห็นเพียงทัศนวิสัยของทุ่งดอกไม้   แต่มีร่างของชายสองคน   กำลังยืนขวางทางเดินของเธออยู่   “อยู่นี่เอง”            ชายสูงศักดิ์แสยะยิ้ม

          “ชอบสวนดอกไม้ที่นี่มากเลยสินะถึงได้เอาแต่ใช้เวลาอยู่ที่นี่   ดูสิ   ผิวพรรณเปลี่ยนสีไปหมดแล้ว”   เสี้ยววินาทีที่กล่าวจบ   สายฟ้าฟาดแล่นผ่านหน้าของหญิงสาวไปที่ด้านหลัง   เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังเพียงชั่วครู่   เมื่อเธอหันกลับไป   เห็นว่าผู้ติดตามทั้งสองสลบอยู่กับพื้นเสียแล้วจึงวิ่งเข้าไปดูอาการอย่างร้อนใจ   ควันเทาลอยคลุ้งออกจากผิวกาย   แต่ไม่ปรากฏแผลภายนอกนอกจากรอยไหม้ตามแขนที่ถูกยกขึ้น   “พวกไร้ความสามารถ   ข้ากำชับนักหนาว่าให้ดูแลดอกไม้ของข้าเป็นอย่างดี....หืม   ขาเจ้า?”   ดวงตาเบิกกว้างก่อนขาจะขยับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว   แต่หยุดลงเพราะร่างที่กำลังขวางทางอยู่   “ถอยไป   แม่ดอกไม้”   เธอส่ายหน้า   ใบหน้าแสดงออกอย่างขมึงตึง   ดวงตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นทำให้โวปามมีสีหน้าหวั่นไหวไม่น้อย

          “ข้าไม่ให้อภัยมันผู้ใดที่มิอาจทำตามคำสั่งของข้าได้   และถึงเจ้าจะปกป้องมันตอนนี้   เมื่อใดที่เจ้าลับสายตาจากพวกมัน   ก็ต้องถูกข้าฆ่าอยู่วันยังค่ำ”   กล่าวอย่างเยือกเย็น   รอยยิ้มไม่จางหายไปจากใบหน้าโรคจิต   กระนั้นเธอไม่ยอมฟังอยู่ดี   “ถอยไปซะ”   เขายิ้มกว้างขึ้นแต่สิ่งที่หญิงสาวตอบกลับคือการนั่งคุกเข่า   ชายหนุ่มถอนรอยยิ้มจากใบหน้า   ได้ยินเสียงถอนหายใจของตนเอง   ก่อนที่ใบหน้าจะกลับมาแสดงออกอย่างอบอุ่นอีกครั้ง   “ลุกขึ้นเถิด   ดอกไม้ของข้า”   เขายื่นมือออกไปสัมผัสคางของหญิงสาว   ออกแรงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เห็นใบหน้าสวยเข้ารูปแม้ในยามที่กำลังแสดงออกถึงความแข็งกร้าวและต่อต้าน   “สวยเหลือเกิน   ดอกไม้ของข้า”   มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขยะแขยงสำหรับเธอ   ยิ่งในเวลานี้ที่กลีบดอกไม้บางกำลังถูกประทับตราลงด้วยแรงของอีกฝ่าย   อาจทำให้กลีบช้ำได้โดยง่าย  

          “เห็นแก่เจ้า   ข้าจะปล่อยผ่านไปสักครั้ง...หากว่าเจ้ายอมทำตามที่ข้าสั่ง   เจ้าคิดเช่นไร?”   เธอพยักหน้ารับอย่างทันท่วงที   เป็นครั้งแรกที่โวปามรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองมันหล่นออกจากร่างเมื่อเห็นว่าเธอตอบรับความปรารถนาของชายผู้สูงศักดิ์   “เช่นนั้นตามข้ากลับพระราชวังสิ   มีใครคนหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้าได้พบ”   โวปามผ่อนลมหายใจออกอย่างหายห่วง   “...อ้อแล้วก็”   ชายผู้สูงศักดิ์ยื่นหน้าเข้าใกล้หญิงสาวจนเกือบชิด   เริ่มสูดดมกลิ่นอายดอกไม้ที่เคลือบอยู่บนผิวหน้าของเธอ   “หากเจ้ามิอยากให้ใครต้องตายก็จงระวังการกระทำของตัวเองให้ดี   ดอกไม้น่ะ   ไม่ควรตากแดดยายสาย   เจ้าเข้าใจข้าใช่รึไม่?”   หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างฝืนๆ

         

          ณ   ท้องพระโรงโล่งกว้าง   พวกเขาทั้งสามที่กำลังเดินตรงมาที่กึ่งกลาง   มองเห็นร่างปริศนาสองคน   ยืนรออยู่   ด้วยผ้าคลุมที่พวกนั้นใส่   ทำให้ไม่สามารถระบุเพศอย่างชัดเจน   ชายสูงศักดิ์เดินตรงเข้าไปหาพวกนั้นด้วยอาการเกรงอกเกรงใจ   “ขอแนะนำให้รู้จัก   ดอกไม้ของข้า   ส่วนนี่คืออาจารย์ที่ข้านับถือ   ท่านยินำเบ”   หญิงสาวไม่ได้ทักทายอะไร   “ก็อยากที่ข้าบอกท่านไปแล้ว   แม่หญิงคนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นใบ้”   ยินำเบมองหน้าเธอเพียงชั่วครู่ก็เหมือนจะมีปฏิกิริยาหยั่งรู้บางอย่าง   เขาถือวิสาสะจับแขนของเธอต่อหน้าชายสูงศักดิ์ผู้หวงแหนผิวพรรณของเธอยิ่งกว่าสิ่งใด   แต่กลับไม่ปรากฏอาการโกรธเคือง   หรือจะหงุดหงิดที่ของรักของหวงของตนกำลังถูกปฏิบัติอย่างหยาบกระด้าง   “ไม่ใช่ว่านางเป็นใบ้แต่อย่างใด”   ชายชรากล่าวน้ำเสียงขะมักเขม้น   ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ดวงตาคู่โตของอีกฝ่าย   เม็ดสีดำที่กระจายอยู่รอบดวงตาสีครามคือความลับที่น่าสงสัย  

          เขาปล่อยมือออก   เริ่มเดินวนร่างบาง   พินิจพิเคราะห์เธอด้วยสายตาแห่งปัญญา   ในขณะที่อีกฝ่ายเองก็จ้องตากลับมาเช่นกัน   “โอฟาโพฟ   เจ้าบอกว่าเจ้าเจอนางที่ใดรึ?”   ยินำเบไม่ได้ละสายตาออกจากหญิงสาว   “ชายหาดฝั่งตะวันออกของประเทศ   มีอะไรรึ   ท่านอาจารย์?”   หันมองหน้ายินำเบ   เห็นว่าดวงตาของชายชรากำลังเบิกกว้าง   ก่อนจะกลับมาเป็นปกติเพียงชั่วครู่   “หากข้าเข้าใจถูกต้อง   แม่หญิงผู้นี้น่าจะเป็นสายเลือดของชนเผ่ากีสเซิลซ์”   “กีสเซิลซ์   นั่นมันชนเผ่าที่ถูกประเทศนี้ในอดีตกวาดล้างในช่วงยุคล่านักเวทย์ดำใช่รึไม่   ท่านอาจารย์?”   ชายสูงศักดิ์แสดงอาการตกใจผ่านใบหน้า   “ถูกอย่างที่เจ้ากล่าวมา” 

          “เจ้าจำที่ปรึกษาปริศนาที่มักตัวติดกันกับมาร์เวทได้รึไม่?   หญิงที่ชื่อเซเลีย   แท้จริงแล้วนางคือหนึ่งในคนของชนเผ่าที่รอดจากการประหารด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์”   ชายสูงศักดิ์แสดงออกถึงความตกใจอย่างสุดขีด   “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกัน   เหตุการณ์นั้นมันก็เกิดมาได้เกือบร้อยปีแล้วนี่   ท่านอาจารย์   เซเลียที่ข้ารู้จัก   และเห็นหน้านั้นยังดูสาวอยู่เลยมิใช่รึ?”   ชายสูงศักดิ์กล่าว   “มนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้าไม่รู้หรอกว่าตัวตนของนางดำมืดแค่ไหน”   ยินำเบกล่าวอย่างเคร่งเครียด   “นังนั่นคืออสรพิษร้ายที่แม้แต่สมาคมสีดำก็ยังเกรงกลัวในอำนาจมนต์ดำที่นางครอบครอง   ไม่แน่ว่า….อาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาจารย์ของข้าด้วยซ้ำไป”   ชายสูงศักดิ์ขมวดคิ้ว   “อาจารย์ของท่านเก่งขนาดนั้นเลยรึ?   เหตุใดจึงไม่เชิญมาให้ข้ารู้จักบ้าง   ท่านอาจารย์?”   ยินำเบถอนหายใจ   “หึ   อาจารย์ของข้าน่ะไม่ได้อยู่กับที่หรอกนะ   ท่านเป็นหญิงสีขาวที่มีมนต์ขาวที่แก่กล้า   และเรื่องเกี่ยวกับเซเลีย   ก็เป็นท่านที่บอกข้ามาอีกที   แท้จริงแล้วนางก็เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากการตามล่านักเวทย์ดำ   เป็นสายเลือดของชนเผ่ากีสเซิลซ์เช่นกัน”   ความจริงที่ถูกเปิดเผยในวันนี้มีแต่สิ่งน่าสงสัยสำหรับหญิงสาวเต็มไปหมด

 

          การเดินทางออกจากพระราชวังเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยความช่วยเหลือจากชายสูงศักดิ์ผู้มอบรถลอยฟ้าให้พวกเขา   แต่ในระหว่างการเดินทางภายในกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่ควรจะเงียบสงบ   “ท่านอาจารย์   ข้ารู้สึกเหมือนว่าพวกเรากำลังหลอกใช้โอฟาโพฟเลย”   แท้จริงแล้วร่างที่คอยติดตามยินำเบก็คือเด็กหนุ่มผมดำ   ใบหน้าเรียบเฉยจ้องหน้าผู้เป็นอาจารย์อย่างสงสัย   “โฟเอพเฟ   การโค่นล้มจอมปีศาจที่แท้จริงย่อมสำคัญที่สุด   ไม่ว่าจะต้องทำด้วยวิธีใดก็ตาม”   โฟเอพเฟพยักหน้าเล็กน้อย   สายตายังคงส่อประกายของคำถามที่ยังไม่เป็นที่สุด

          “เจ้าคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่มีสายเลือดของชนเผ่านั้นอย่างงั้นรึ?   ข้าไม่คิดเช่นนั้น   ยิ่งเมื่อได้เห็นกับตาตัวเองยิ่งทำให้รู้สึกว่านางแตกต่างจากพวกเราทุกคน”   คำกล่าวของยินำเบปลุกความสงสัยใหม่ของโฟเอพเฟ   “ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน?”   ยินำเบเงียบอยู่ครู่ใหญ่   จนเหมือนจะไม่มีคำตอบให้   “นางไม่ใช่มนุษย์ยังไงล่ะ”   โฟเอพเฟตาเบิกกว้างทันใด   มองดูผู้เป็นอาจารย์ที่กำลังยกมือข้างหนึ่งขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ   ยินำเบเริ่มขมวดคิ้ว   กำลังนึกถึงสัมผัสแรกที่ข้อมือของเธอคนนั้น   มันชั่งว่างเปล่า   ว่างเปล่าราวกับกำลังจมลงสู่ท้องสมุทรสีครามที่ยิ่งลึกยิ่งดำมืด

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.