12 มังกรทะยานศึก-คู่อริกระบี่หงส์ทะยาน

DARKSTORY เรื่องนี้มีแต่คนโฉด

-A A +A

12 มังกรทะยานศึก-คู่อริกระบี่หงส์ทะยาน

หมวดหนังสือ: 

 ในราตรีเดียวกันนั้นได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นที่แคว้นเบี้ยวที่อยู่ห่างออกมาทางเหนือ

 

เสียงหยอกล้อและเสียงหัวเราะร่าของเหล่านักเดินทางยังคงดังออกมาจากโรงเตี๊ยมใหญ่กลางตลาดประจำหมู่บ้านนักล่าสัตว์ แม้เวลาจะล่วงเข้าสู่กลางดึกแล้ว แต่ที่นี่ยังคงเปิดอยู่ เหล่านักเดินทางและจอมยุทธ์อีกหลายสิบต่างเพลิดเพลินอยู่กับสุราอาหารเลิศรสและส่งเสียงเรียกเด็กประจำร้านอยู่ตลอดเวลา

บุรุษแซ่กวย ชายวัยปลายสี่สิบผู้มีร่างกายใหญ่โตทว่าคล่องแคล่วคือเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เขากำลังยืนดีดลูกคิดอยู่หลังม้ายาว สายตาอ่อนโยนเพ่งอยู่กับสมุดบัญชี นิ้วกระด้างทว่าพลิ้วชำนาญดีดไล่ลูกกลมจนเกิดเสียงกระทบระรัว แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงทึบๆ ดังขึ้นบนชั้นสอง มันฟังคล้ายกับของตกลงสู่พื้น เขาจึงชะงักมือค้างและยกใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราสีอ่อนเหมือนเรือนผมขึ้นมองสภาวะรอบกายก่อนจะส่งเสียงเรียกเมีย

“อาเหมื่อย!” บุรุษแซ่กวยเว้นระยะรอ เมื่อเห็นใบหน้าขาวที่ชุ่มเหงื่อของเมียโผล่ออกมาจากช่องครัว เขาก็ร้องถามถึงบุตรชายตัวจ้อย “ป่านนี้แล้ว เจ้าเปาหมูยังเล่นซนอยู่อีกรึ?”

“หลับไปนานแล้วท่านพี่” สตรีใบหน้าขาวตอบพลางยิ้ม “วันนี้ท่าทางจะซนมากจนเหนื่อย เจ้าหนูหลับไปโดยที่ข้ายังไม่ทันกล่อมเลย”

“อย่างนั้นรึ?” บุรุษแซ่กวยพึมพำพลางวางลูกคิดลงและขยับกายออกจากที่ เขาเดินตรงไปหาเด็กประจำร้านคนหนึ่งและสั่ง “ข้าจะขึ้นไปชั้นบนสักครู่ ไปเฝ้าหน้าร้านแทนข้าหน่อย”

 

ห้องนอนชั้นบนปิดทึบ แสงสว่างเพียงแหล่งเดียวคือแสงจันทร์ที่สาดลอดเข้ามาทางรอยแยกของหน้าต่างบานเล็กตรงหัวเตียง ทั้งห้องจึงมืดสลัว บุรุษแซ่กวยอาศัยความคุ้นเคยเพ่งมองหาสิ่งผิดปกติในขณะย่างเท้าอย่างแผ่วเบา ในมือกำไม้สั้นจนแน่นพลางระวังตัวแจ บุรุษแซ่กวยหวั่นใจเป็นที่สุดว่าจะมีโจรชั่วลอบเข้ามาทำร้าย เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง บุรุษแซ่กวยผู้เป็นพ่อค้าจับแต่ลูกคิดมาตลอดทั้งชีวิตจะไม่สามารถสู้รบหรือป้องกันตนเองได้ดีนัก

แต่แล้วความกังวลก็หายไปเมื่อสายตากวาดไปพบดาบยาวเก่าคร่ำครึล้มนิ่งอยู่ใกล้หัวเตียง ด้ามดาบสว่างเรื่ออยู่ในแสงจันทร์ ดาบนั้นเป็นเพียงดาบเหล็กคุณภาพเลวที่ผู้เป็นบิดาทิ้งไว้ให้เป็นมรดก บุรุษแซ่กวยเคยพยายามลองดึงดูหลายครั้งแล้ว แต่มันทั้งหนักและก็ฝืดราวกับปลอกดาบจับสนิม เขาจึงเก็บมันไว้ตรงหัวเตียงเพื่อใช้แทนของต่างหน้าบิดา

บุรุษแซ่กวยปรี่เข้าไปจับและยกมันขึ้น ความประหลาดใจก่อตัวขึ้นทันที เพราะครั้งนี้ดาบเหล็กทั้งเล่มกลับเบาเสียยิ่งกว่าไม้ท่อนที่ถือมาเสียอีก ความรู้สึกเย็นเยียบที่ฝักดาบทำให้จิตใจสงบลงราวกับจะบรรลุฌาณ บุรุษแซ่กวยตัดสินใจดึงดาบอีกครั้ง

ใบดาบกว้างสี่ชุ่นเผยออกสู่สายตาตื่นตะตึงของบุรุษแซ่กวย มันเงาวาวอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นเพียงดาบเหล็กไร้ราคา คมดาบวาววับราวกับตัดได้ทุกอย่างเพียงแฉลบผ่าน บุรุษแซ่กวยพลิกดาบไปมาและพบอักขระสลักอยู่บนใบดาบ เขาจึงผลักบานหน้าต่างออกจนกว้างพลางอ่านอักขระที่สลักอย่างบรรจงนั้น

“มังกรกู่!” บุรุษแซ่กวยอ่านพลางลูบไล้อักขระนั้น “นี่มันดาบผนึกกระบี่หงษ์ทะยานนี่ อา! ไม่น่าเชื่อ!”

บุรุษแซ่กวยขบกรามอย่างหวาดหวั่นเมื่อรับรู้ว่าดาบที่ตนครอบครองอยู่และเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเพียงดาบเลวนั้น แท้จริงแล้วมันคือสุดยอดดาบ อีกทั้งยังเป็นดาบเล่มเดียวกันกับดาบที่เซียนผู้หนึ่งตีขึ้นเพื่อใช้ปิดผนึกกระบี่ของนางมารในยุคนั้นและได้หายสาบสูญไปจากยุทธจักรในเวลาต่อมา

การที่มันเปิดเผยตัวตนออกมาต่อหน้าบุรุษแซ่กวยก็คิดได้เพียงอย่างเดียวว่า มันต้องการจะยืมมือเขาเพื่อไปจัดการกระบี่มารเล่มนั้นอีกครั้ง

หากแต่บุรุษแซ่กวยเป็นเพียงพ่อค้าที่จับหม้อจับกระทะมาตลอดชีวิต การที่จะไปกำหราบจอมยุทธ์ผู้ถือครองกระบี่มารเล่มนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

บุรุษร่างใหญ่ส่ายหัวอย่างจนใจพลางสอดดาบคืนสู่ฝัก

 

 

หัวรุ่งของวันใหม่ หลิวลู่ตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงสนทนาเจือเสียงหัวเราะร่า มังกรหนุ่มจึงยันกายขึ้นนั่งบนตั่งว่างเปล่าและเย็นเยียบด้วยสภาวะเบาโล่ง สติสัมปชัญญะของมังกรหนุ่มครบสมบูณ์ดี อีกทั้งเปลวสีแดงก็ไม่หลงเหลืออยู่ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อวานเป็นเพียงฝัน หากแต่ความเจ็บแปลบของร่างกายเบื้องต่ำเตือนขึ้นมาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในคืนก่อน หลิวลู่จึงคว้ากางเกงขึ้นมาและทะยานออกไป

“ท่านพี่! อ๊ะ! ท่านอาจารย์จับก็อยู่ด้วย!” หลิวลู่เอ่ยเรียกชายสองคนที่นั่งอยู่ข้างเตากรุ่น ใบหน้าของไผ่โล้ยังคงนิ่งเรียบอยู่ในแสงเตาไฟ ในขณะที่ใบหน้าของจับโปกควงดูคล้ายโจรเถื่อนที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“เมื่อวานเจ้าจับไปรับงานที่ท่าเรือเอาไว้ เราก็เลยต้องรีบตื่นและออกไปตั้งแต่มืดแบบนี้” ไผ่โล้เอ่ยตอบอย่างสงบพลางลุกยืน “เจ้าตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว ฝากเคี่ยวยาให้ข้าด้วยนะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เอ่อ! ท่านพี่” หลิวลู่เอ่ยเรียกพี่ชายพลางลอบมองจับโปกควงที่กำลังสุมฟืน เมื่อเห็นว่าสหายของพี่ชายไม่ได้สนใจ มังกรหนุ่มจึงเอ่ยต่อ “ข้าอยากจะคุยกับท่านเรื่องเมื่อคืนนี้ ข้า—!”

“ถ้าเจ้าสำนึกผิดว่าตัวเองกลับช้าและอยากจะขอโทษข้าแล้วล่ะก็ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก” ไผ่โล้ชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อนด้วยเข้าใจว่าน้องชายร้อนใจที่กลับดึกดื่นและเกรงว่าตนจะโมโห เขายิ้มก่อนจะเอ่ยสำทับ “เจ้ามีธุระของเจ้า ข้าเข้าใจ เพียงแต่ครั้งหน้าก็บอกข้าล่วงหน้า ข้าจะได้ไม่ต้องคอย”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น ท่านพี่!”

“เออนี่!” ครานี้เป็นจับโปกควงที่เอ่ยแทรกขึ้นบ้าง ใบหน้าเหี้ยมมีแววหลุกหลิก แต่มันก็แทบไม่ต่างจากที่หลิวลู่เห็นมาตลอด จับโปกควงเอ่ยพร้อมกับเดินต้อนหน้าต้อนหลังไผ่โล้ให้เดินไปทางประตูกระท่อม “การประลองเมื่อวานเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อคืนข้านั่งคุยกับพี่ก้านอยู่นานเลย ชนะหรือไม่?”

“ข้า—ข้าแพ้น่ะ”

“ว้า! แย่เลย! เจ้านั่นคงมีฝีมือไม่เลวเลยซินะ”

จับโปกควงส่งเสียงอย่างเสียดายพลางดุนหลังไผ่โล้ให้ออกนอกกระท่อมไป แต่เป็นไผ่โล้เสียเองที่รั้งตนเองไว้เมื่อได้ยินจับโปกควงพูดถึงฝีมือของคู่ต่อสู้ เขาหมุนกายกลับเข้ากระท่อมและเอ่ยถามน้องชาย

“แล้วเจ้าบาดเจ็บไหม?”

“ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ข้าสบายดี แต่ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับท่านให้ได้”

“สำคัญมากเลยรึ? ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รีบเล่ามาซะ” ไผ่โล้ตอบพลางแหงนมองท้องฟ้าที่เริ่มมีแสงสว่างรำไรก่อนจะลดลงมองใบหน้าสหาย “ขอเวลาข้าสักครู่หนึ่งนะเจ้าจับ เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนก็แล้วกัน”

“ไม่นะพี่ก้าน! เวลากระชั้นมากแล้ว” จับโปกควงโต้กลับ หลังจากนั้นเขาก็วาดสายตาไปที่หลิวลู่ผู้ยืนกังวล “ข้าว่าเจ้าพักเรื่องอื่นไว้ก่อนเถอะ กลับไปนอนซะ ข้ากับพี่ก้านต้องรีบออกไปแล้ว”

“ขอข้าคุยกับเจ้าหลิวลู่ครู่เดียวเอง คงไม่เป็นไรหรอกน่า”

“พี่ก้าน ถ้าพี่ไปช้า พี่จะพลาดงานนี้เลยนะ ข้าอุตส่าห์บากหน้าไปขอนายท่าไว้ ท่านก็รู้” จับโปกควงไม่ยอมแพ้ เขาค้านพร้อมเอ่ยอ้างถึงความยากลำบากขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่าพี่ชายดูห่วงใยน้องชายมาก จับโปกควงจึงเสนออีกทางหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ละกัน พี่ก้านเดินนำไปก่อน เดี๋ยวข้าจะรับเรื่องจากน้องชายท่านเอง ฝีเท้าระดับท่าน ข้าวิ่งตามได้อยู่แล้ว”

“ก็ดีเหมือนกัน เจ้าว่าอย่างไรหลิวลู่?” ไผ่โล้เออออแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถามน้องชายดูก่อน

“เรื่องนี้ข้าต้องคุยกับท่านพี่เท่านั้น” หลิวลู่เอ่ยตอบ

“ถ้าเช่นนั้นก็เอาไว้คุยตอนพี่ชายเจ้าเสร็จงานและกลับมาบ้านก็แล้วกันนะ เจ้าหลิว” จับโปกควงเอ่ยตอบแทนสหาย หลังจากผลักร่างของไผ่โล้ออกไปได้แล้ว เขาก็เอ่ยเสียงต่ำรอดริมฝีปากใต้เครารกดำออกมา “คิดตรองให้ดีนะเจ้าหลิว เรื่องบางเรื่องพี่ชายเจ้าก็อาจไม่อยากพูดถึง หากเจ้ายังดื้อรั้นที่จะพูด มันอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจของเขาได้”

“ท่านอาจารย์จับหมายความว่าอย่างไร? ท่านรู้รึว่าข้าจะพูดอะไรกับเขา?”

“ไม่ ข้าไม่รู้หรอก ข้าแค่พูดเผื่อ แต่เจ้าก็รู้ว่าพี่ชายเจ้าเป็นคนเก็บงำทุกเรื่องมิดชิด หากเขาไม่ปรารถนาจะพูด ใครก็เปิดปากเขาไม่ได้”

“แต่เมื่อครู่นี้เขาก็—”

“ฮึ! เขาก็แสร้งทำว่าอยากคุย แต่ดูหน้าก็รู้ว่าเขาไม่เต็มใจนักหรอก เจ้าไม่เห็นรึว่าเขารีบร้อนไปทำงานแค่ไหน? แต่เขาก็กลัวว่าจะขัดใจเจ้าเขาถึงทำเหมือนอยากจะคุย เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแต่เจ้านะ ข้าก็แค่ชี้แนะไปตามประสาของข้า”

จับโปกควงกล่าวเสียงต่ำและยกมือขึ้นตีบ่าของน้องชายสหายที่ดูแลมาตั้งแต่เยาว์ รอยยิ้มเหยียดที่ดูแปลกตาปรากฏขึ้นวาบหนึ่งก่อนจะหุบลง แม้หลิวลู่จะทันเห็นมัน แต่มังกรหนุ่มก็ไม่ได้ยกมาใส่ใจด้วยเพราะจับโปกควงมักจะชอบทำสีหน้าและแววตาเจ้าเล่ห์อยู่บ่อยครั้ง

แต่หากสหายสนิทของพี่ชายแนะเช่นนั้น หลิวลู่ก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะทั้งคู่ก็ต่างรู้ดีว่า ก้านไผ่โล้เป็นคนจริงจังเกินจำเป็น หากมีเรื่องให้ต้องคิดหนักคราใด ร่างกายของไผ่โล้จะอ่อนแอทุกครั้ง อีกทั้งหลิวลู่เองก็จำไม่ได้อย่างชัดเจนนักว่าเมื่อคืนตนได้ทำหรือถูกทำอะไรบ้าง มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่เตือนว่ามันเจ็บแปลบอย่างที่ไม่เคยเป็น

 

หลิวลู่เดินกลับไปที่ตั่งหลังจากที่จับโปกควงหายลับไปแล้ว มังกรหนุ่มคว้ากระบี่สั้นขึ้นมาพินิจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินออกมาหลังกระท่อมและเริ่มเหวี่ยงกระบี่ไปมา หลิวลู่รู้แน่ชัดแล้วว่าเสียงหวีดหวิวแปลกประหลาดจะดังขึ้นอย่างแผ่วบางทุกครั้งที่กระบี่แหวกผ่านอากาศ

และทุกคราที่เกิดเสียงหวีดหวิว เปลวเพลิงสีแดงฉานก็จะวูบไหวผ่านดวงตาทุกครั้งไป เปลวเพลิงนั้นไม่อาจยับยั้งไม่ให้เกิดได้ แต่หลิวลู่จับได้ว่า หากไม่เหวี่ยงกระบี่ติดต่อกันหลายกระบวน เปลวเพลิงก็จะมลายไปเอง แต่เมื่อใดที่วาดกระบี่ติดต่อกัน เสียงหวีดหวิวก็จะดังยาวนานจนคล้ายเสียงนกกู่ร้องและเมื่อนั้นเปลวเพลิงก็จะลุกโหมท่วมดวงตาจนควบคุมตนเองไม่อยู่

“ค่อนข้างอันตรายไม่น้อย” หลิวลู่ยืนรำพึงกับตนเองอยู่กลางลานทะเลหมอกหลังกระท่อม ความมืดจางลงมากจนมังกรหนุ่มสามารถมองเห็นภาพใบหน้าที่แน่วแน่ของตนสะท้อนอยู่บนกระบี่

แม้จะตระหนักถึงอันตราย แต่หลิวลู่ไม่อาจตัดใจทิ้งกระบี่หงส์ทะยานเล่มนี้ได้ เพราะมันเป็นกระบี่ชั้นเลิศที่ทาสหนุ่มอย่างหลิวลู่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้ครอบครอง

แต่ในเมื่อมันมาอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาก็จะใช้มัน ด้วยฝีมือที่มีและกระบี่เล่มนี้ หลิวลู่จะกลายเป็นมังกรทะยานสู่ท้องนภาได้อย่างไม่ยากเย็น

sds

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.