บทที่ 462: ข้าไม่เคยพาใครมาที่นี่

-A A +A

บทที่ 462: ข้าไม่เคยพาใครมาที่นี่

“ตกลง” เซียวถังอี้ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “เราจำเป็นต้องพาอาเค่อไปด้วยหรือไม่?”

“อาเค่อ…” มู่ไป๋ไป่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองหน้ากากสีเงินที่ยังสะท้อนแสงอบอุ่นของแสงเทียน “ไม่จำเป็นหรอก”

“อาเค่อคงหลับไปแล้ว ปลุกเขาขึ้นมาเวลานี้คงไม่ดีเท่าไหร่ เราไปกินข้าวกันก่อน หลังจากกินเสร็จแล้ว ค่อยซื้อกลับมาฝากพวกเขา”

สายตารู้สึกผิดของหญิงสาวกลอกไปรอบ ๆ ในขณะที่หัวใจของเธอเต้นแรงมากจนเธอรู้สึกว่ามันอาจจะทะลุออกจากอกได้ทุกเมื่อ

เซียวถังอี้ไม่น่าจะรู้ว่าเธอกำลังโกหกใช่หรือไม่?

“ก็ได้” ชายหนุ่มพยักหน้า “เราไปกันเถอะ”

ทันทีที่มู่ไป๋ไป่ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบเดินตามเขาไป ขณะเดียวกัน มุมปากของเธอก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ

ทางด้านชิงหานกับซั่วเยว่ที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ถาม 2 คนนั้นว่าจะไปที่ใด พวกเขาทำเพียงแค่เดินหายเข้าไปในความมืดเงียบ ๆ ในขณะที่ติดตามเจ้านายกับองค์หญิงหก 

ปัจจุบันวังหลวงในยามมืดสลัวเงียบสงบมากกว่าปกติ ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่เดินตามหลังเซียวถังอี้เพียงไม่กี่ก้าว

ภายใต้แสงจันทร์สีนวล หญิงสาวจ้องมองแผ่นหลังของชายร่างสูงไม่ให้คลาดสายตา ระหว่างที่เดินในหัวเธอก็คิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับคนผู้นี้

ทันใดนั้นคนที่เดินนำอยู่ก็หยุดฝีเท้าลงแบบกะทันหัน

เนื่องจากเธอไม่ได้สนใจเขา เธอจึงหยุดไม่ทันและเอาหัวชนหลังแข็ง ๆ ของอีกฝ่ายเต็มแรง

ต้องบอกว่าแผ่นหลังของเซียวถังอี้แข็งกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก ตอนที่เธอชนมันให้ความรู้สึกเหมือนกับการวิ่งกระแทกกำแพง หญิงสาวรู้สึกเจ็บจนแทบร้องไม่ออก

“โอ๊ย… ท่านทำอะไรน่ะ…”

ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบ ปากเล็ก ๆ ของเธอก็ถูกมือใหญ่ปิดเอาไว้เสียก่อน

เซียวถังอี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาเขาก็อุ้มมู่ไป๋ไป่ขึ้นพาดบ่าและกระโดดไปบนกำแพงวัง

ในอึดใจต่อมา มีร่างเงาวิ่งผ่านจุดที่พวกเขาเคยยืนอยู่แล้วมุ่งตรงไปยังตำหนักตี้เฉิน

มู่ไป๋ไป่ที่เห็นภาพนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“ชิงหาน ตามไป” เซียวถังอี้รอจนกระทั่งคนผู้นั้นวิ่งออกไปไกลแล้วจึงออกคำสั่ง

องครักษ์หนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดตอบรับคำสั่งก่อนจะติดตามอีกฝ่ายไป จากนั้นเขาก็หายไปยังทิศทางที่ตั้งของตำหนักตี้เฉินพร้อมกับบุคคลปริศนา

ในเวลาเดียวกัน เซียวถังอี้เหลือบมองมู่ไป๋ไป่ที่ยังคงเบิกตากว้างและปล่อยมือของเขาออกช้า ๆ “เมื่อกี้มันเป็นเหตุฉุกเฉิน…”

“ข้ารู้จักคนคนนั้น!” หญิงสาวคว้าแขนเสื้อของชายหนุ่มพร้อมพูดด้วยความกังวล “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าเห็นนางอยู่ข้างกายลี่เฟย นางเป็น 1 ในสาวใช้ส่วนตัวของลี่เฟย”

 เซียวถังอี้เลิกคิ้วขึ้น “เจ้าแน่ใจหรือ?”

“ข้าแน่ใจ!” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าตอบโดยไม่ลังเล “ข้าเป็นคนที่ความจำดีมาก ไม่มีทางที่ข้าจะจำผิด และทิศทางที่นางกำลังมุ่งหน้าไปก็คือห้องบรรทมของท่านพ่อ”

“ท่านพี่รัชทายาทเคยพูดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า ลี่เฟยอาศัยอยู่ในตำหนักตี้เฉินนับตั้งแต่ที่นางออกมาจากตำหนักเย็น ดังนั้นคนที่มุ่งหน้าไปเมื่อกี้นี้คงจะเป็นสาวใช้ข้างกายลี่เฟย”

ต่อมา เซียวถังอี้คว้าตัวหญิงสาวเอาไว้ก่อนจะกระโดดลงจอดบนพื้น “ข้าเข้าใจแล้ว ชิงหานกำลังคอยจับตาดูคนผู้นั้นเอาไว้อยู่ พวกเราออกไปกินเกี๊ยวกันก่อนเถอะ”

ปัจจุบันหัวสมองของมู่ไป๋ไป่จดจ่ออยู่กับสาวใช้ที่เพิ่งพบเท่านั้น เธอจึงไม่มีอารมณ์ที่จะกินเกี๊ยวอีก

หญิงสาวเตรียมจะเปิดปากบอกว่าเธอไม่อยากกินเกี๊ยวแล้ว เธออยากติดตามไปดูสาวใช้คนนั้นมากกว่าว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไร

แต่เมื่อเธอมองใบหน้าด้านข้างของเซียวถังอี้ คำพูดพวกนั้นก็ดูเหมือนจะถูกหยุดเอาไว้ แล้วเธอก็ทำได้เพียงพยักหน้าและตามเขาไป

นอกจากการพบสาวใช้คนนั้นระหว่างทางแล้ว การออกจากวังหลวงหลังจากนั้นก็ราบรื่นมาก

วรยุทธของเซียวถังอี้ถือว่าก้าวหน้ามากจนทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูไม่รู้ตัวเลยสักนิด

พอออกมาจากวัง มู่ไป๋ไป่ก็ตระหนักได้ว่ายามเช้ามืดในเมืองหลวงนั้นคึกคักมาก

ซึ่งมันต่างจากวังที่เยือกเย็นและเงียบสงบ ยามนี้บนท้องถนน 2 ข้างทางมีแผงขายอาหารมากมาย ในเวลานั้นมีไอร้อนกระจายไปทั่วถนนทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว

“ถ้าเจ้าอยากกินอะไรก็บอกข้าได้เลย” เซียวถังอี้ที่เดินนำหน้าหันกลับมามองมู่ไป๋ไป่เป็นระยะ ๆ

“บนถนนสายนี้มีของกินอะไรอร่อย ๆ บ้าง?” หญิงสาวถามพลางลูบท้องที่ร้องโครกครากของตัวเอง “ท่านมาที่นี่บ่อยหรือ?”

“ท่านเคยพาถังถังมาที่นี่หรือไม่?”

เมื่อชายร่างสูงได้ยินคนตัวเล็กที่เดินตามมาด้านหลังพูดไม่หยุด เขาก็หันกลับมามองนางด้วยดวงตาเป็นประกาย “ทำไมเจ้าถึงได้ถามคำถามมากมายขนาดนี้?”

“ข้าถามไม่ได้หรืออย่างไร?” มู่ไป๋ไป่มุ่ยปากก่อนจะเอามือไพล่หลังและเดินขึ้นไปอยู่ข้าง ๆ เขา “หรือว่าท่านรู้สึกผิด?”

“ไม่” ดวงตาของเซียวถังอี้อ่อนลงเล็กน้อย “ข้าไม่เคยพาใครมาที่นี่”

เนื่องจากเขาตระเวนอยู่ด้านนอกวังตลอดทั้งปี เขาจึงบังเอิญมาพบกับร้านเกี๊ยวที่ว่านั้นเมื่อปีก่อน ตอนนั้นเขากลับมาเมืองหลวงตอนกลางคืนแล้วรู้สึกหิวมาก

ในเวลานั้นเขาคิดว่าหากมู่ไป๋ไป่กลับมาเมืองหลวง เขาจะต้องพานางมาลองชิมเกี๊ยวร้านนี้ดูให้ได้สักครั้ง

พอเซียวถังอี้คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ชะงักไป

กลายเป็นว่าเขามีความคิดอยากจะพานางมาที่นี่ตั้งแต่ตอนนั้น

“นี่คือร้านที่ท่านว่าหรือไม่?” มู่ไป๋ไป่ยื่นศีรษะมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ ตั้งแต่ที่มาถึงเมืองหลวง เธอยังไม่ได้กินอาหารแผงลอยที่ตั้งอยู่ริมถนนเลย

บอกตามตรงว่าเธอคิดถึงบรรยากาศนี้มาก

“ใช่” เซียวถังอี้หันไปสั่งเกี๊ยวน้ำ 2 ชามจากเถ้าแก่ด้วยท่าทางคุ้นเคย แถมเขายังสั่งถังปิ่งที่สัญญากับมู่ไป๋ไป่ไว้ด้วย เสร็จแล้วเขาก็เดินนำเธอไปนั่งโต๊ะที่จัดเตรียมเอาไว้

เถ้าแก่ร้านเกี๊ยวทำได้คล่องแคล่วมาก ไม่นานก็มีเกี๊ยวน้ำร้อน ๆ 2 ชามมาวางอยู่บนโต๊ะ

และมาพร้อมกับแป้งย่างสีเหลืองกรอบน่ารับประทาน

มู่ไป๋ไป่ไม่สนใจมารยาทอีกต่อไป เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย

“ฮ่า~ ฮ่า~ อร่อยมาก!” หญิงสาวอ้าปากพ่นควันร้อน ๆ อยู่หลายครั้งเนื่องจากความร้อนของน้ำแกง แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปยิ้มให้เซียวถังอี้ “รสชาติดีทีเดียว”

เมื่อชายหนุ่มเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของคนตรงหน้าแดงระเรื่อ เขาก็แอบถอนหายใจ ก่อนจะเทชาส่งให้อีกฝ่าย “ค่อย ๆ กิน ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก หลังจากกินหมดแล้วค่อยสั่งใหม่”

มู่ไป๋ไป่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก่อนที่เธอจะชู 2 นิ้วขึ้นแล้วพูดทั้งที่ของกินเต็มปากว่า “ข้าอยากกินอีก 2 ชาม”

เมื่อคืนเธอแอบเข้าไปในตำหนักตี้เฉิน และยังต้องอ่านตำราแพทย์อีกมากมาย 

ตอนนี้เธอเลยรู้สึกหิวมาก 

แต่หลังจากหญิงสาวได้กินเกี๊ยวไปแล้ว 1 ชาม ความเร็วในการกินของเธอก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าขอถามหน่อยว่าทำไมสาวใช้คนนั้นถึงได้วิ่งไปทั่ววังหลวงในเวลาดึกดื่นเช่นนี้?” มู่ไป๋ไป่กินถังปิ่งไปพลาง ขมวดคิ้ววิเคราะห์สถานการณ์ไปพลาง

“ในวังหลวงมีทหารรักษาการณ์อยู่ทั่วทุกแห่ง ถ้านางเดินออกไปข้างนอกตอนกลางคืน แน่นอนว่าทหารพวกนั้นจะต้องพบเข้า”

“แต่จากสิ่งที่ข้าเห็นเมื่อกี้นี้ แม้ว่านางจะดูประมาทไม่น้อย แต่นางก็ไม่ได้ดูหวาดกลัวเลยสักนิด หรือว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางออกวิ่งไปทั่ววังยามวิกาล?”

เซียวถังอี้ค่อย ๆ ดื่มน้ำแกงช้า ๆ ในขณะที่เกี๊ยวในชามของเขาหายไปเพียงครึ่งเดียว “ข้าไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่านางจะถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือเมื่อกี้”

“หา?” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้ามด้วยสายตาประหลาดใจ ขณะที่ในปากของเธอยังมีถังปิ่งอีกครึ่งชิ้น “ทำไมข้าถึงมองไม่เห็นล่ะ?”

ชายหนุ่มรู้สึกว่าสีหน้าของอีกฝ่ายน่าขบขัน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อนาง “บางทีเจ้าอาจจะคิดถึงแต่เรื่องกินก็เลยไม่ทันได้สังเกตเห็น”

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!” มู่ไป๋ไป่รีบวางถังปิ่งลงแล้วทุบโต๊ะเสียงดัง “ท่านเห็นข้าเป็นคนตะกละตะกลามขนาดนั้นเชียวหรือ?”

นั่นมันนิสัยเจ้าส้มต่างหาก!

“จริงหรือ?” เซียวถังอี้เหลือบมองคนตรงหน้าด้วยสายตามีเลศนัย

“...” หญิงสาวเม้มปากแน่นก่อนจะบ่นว่า “ข้าก็แค่หิว มันผิดตรงไหนถ้าข้าจะกินเกี๊ยวมากกว่า 1 ชาม ท่านเป็นถึงอ๋องเซียวผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมท่านถึงตระหนี่ขี้เหนียวกับการซื้อเกี๊ยวเพียงชาม 2 ชามนักล่ะ”

เซียวถังอี้กลั้นหัวเราะเอาไว้แล้วพูดว่า “ข้าจ่ายไหว เจ้าสามารถซื้อเกี๊ยวได้มากเท่าที่เจ้าต้องการ”

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เจ้าของเป็นยังไง สัตว์เลี้ยงก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ 55555 ช่วงนี้ 2 คนนี้ตัวติดกันแทบไม่ห่างเชียวน้า แล้วเมื่อไหร่เจ้าส้มจะกลับมาหนอ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.