บทที่ 427: ข้าจะกล้าเกลียดนางได้อย่างไร?
“นายท่าน ทำไมท่านถึงไม่อาจบอกตัวตนที่แท้จริงของท่านให้ท่านจ้าวอสูรทราบได้ขอรับ?” ชางหลานเอียงคอถามด้วยความสับสน ขณะใช้ดวงตาสีเข้มมองไปที่เซียวถังอี้
“ท่านจ้าวอสูรน่าจะเดาได้แล้วว่าท่านคือจวงอี้หราน เหตุใดท่านจึงยังพยายามปิดบังตัวตนไม่ให้ท่านจ้าวอสูรรู้หรือขอรับ?”
“เรื่องนี้มันไม่สำคัญว่าข้าจะยอมรับหรือไม่” ชายหนุ่มเอนตัวพิงหน้าต่างด้วยท่าทางสบาย ๆ พลางทอดสายตามองออกไปในระยะไกล
เดิมทีเขาอยากจะยืมชื่อของจวงอี้หรานมาใช้เพื่อเล่นสนุกเท่านั้น
เจ้าเด็กตัวน้อยจากเมื่อ 12 ปีก่อนได้เติบโตเป็นหญิงสาววัยดรุณี เขาอยากรู้ว่านางจะยังจำเขาได้หรือไม่
เขาจึงจงใจใช้ตัวตนที่เต็มไปด้วยช่องโหว่นั้น โดยต้องการพิสูจน์ว่ามู่ไป๋ไป่จะจำเขาได้เมื่อใดกัน
แต่แล้วเขาก็เริ่มไม่อยากให้หญิงสาวรู้ถึงตัวตนของเขาซึ่งมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่เขาก็ไม่อาจทราบได้
บางทีอาจจะเป็นตั้งแต่เหตุการณ์ในจวนตระกูลเจิ้งที่มู่ไป๋ไป่เสี่ยงชีวิตมาเพื่อช่วยเขา
หรือบางทีคงจะเป็นสิ่งที่หญิงสาวพูดในตอนที่นางต้องการทำความเข้าใจกับพิษในร่างกายของเขา
ชายหนุ่มเป็นคนที่รักอิสรภาพมาโดยตลอด ดังนั้นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือการผูกมัด
ไม่ว่ามู่เทียนฉงจะพูดหว่านล้อมเขาอย่างไร เขาก็ยังปฏิเสธไม่อยู่ในวังหลวง และออกไปท่องทั่วหล้าตามใจปรารถนา
เขาคิดว่าตนจะใช้ชีวิตที่เหลือไปแบบนี้เรื่อย ๆ
แต่ชายหนุ่มไม่คาดคิดเลยว่า… วันหนึ่งเขาจะต้องมาสะดุดกับเจ้าตัวเล็กที่เคยผูกพันกันเมื่อ 12 ปีก่อน
เซียวถังอี้เหยียดยิ้มขมขื่นพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ
“ข้าไม่เข้าใจขอรับ” ชางหลานขยับปีกเล็กน้อย ในขณะที่ดวงตาของมันยังคงแสดงออกถึงความสับสน “อารมณ์ของมนุษย์นั้นซับซ้อนมากเกินไป”
“ข้ารู้เพียงว่านายท่านใส่ใจท่านจ้าวอสูรมาก และท่านจ้าวอสูรเองก็ใส่ใจนายท่านเช่นกัน แต่พวกท่านทั้ง 2 กลับทำตัวเหมือนกับว่าไม่ชอบหน้ากัน…”
ยิ่งชางหลานพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้นเท่านั้น มันสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีบางอย่างผิดปกติ
“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล” เซียวถังอี้หันไปพูดกับเหยี่ยวตัวโต “ข้าไม่ได้เกลียดนาง… ข้าจะเอาความกล้าที่ไหนไปเกลียดนางกัน”
“ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก คราวหน้าถ้าเจ้าเจอสถานการณ์แบบเดิมอีกก็ให้ทำเหมือนครั้งที่แล้ว”
ที่แท้ วันนี้ชางหลานได้ยินที่เซียวถังถังมาเรียกมู่ไป๋ไป่…
โชคดีที่เป็นเช่นนั้น เซียวถังอี้จึงสามารถไปช่วยทุกคนพร้อมกับคนของเขาได้ทันเวลา และบีบถังเป่ยเฉินให้ต้องล่าถอยออกไปได้สำเร็จ
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำขอรับ” ชางหลานยืดอกด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจหลังจากได้รับคำชมจากเจ้านาย
ทันทีที่เหยี่ยวตัวใหญ่พูดจบ จู่ ๆ ก็มีศีรษะของมนุษย์โผล่เข้ามาจากหน้าต่างและกวาดดวงตาไปทั่วห้อง จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่เซียวถังอี้ด้วยสายตาแปลกประหลาด “เขานั่งบ่นอะไรอยู่ในห้องคนเดียว?”
“หรือว่าพิษหลิวกวงทำให้สมองของเขาเสียหาย?”
ชายหนุ่มมองคนที่แอบย่องเข้ามาอย่างไร้อารมณ์ “ท่านไม่ได้กำลังต้มยาบำรุงร่างกายให้มู่ไป๋ไป่อยู่ในห้องครัวหรอกหรือ?”
“อ๋อ ข้าวานให้จื่อเฟิงคอยดูให้อยู่” อวี้เซิ่งปีนเข้ามาทางหน้าต่าง จากนั้นก็ถอดขวดน้ำเต้าที่ผูกเอาไว้ข้างเอวออกมาโบกต่อหน้าอีกฝ่าย “ท่านอยากดื่มสักหน่อยหรือไม่?”
“อ่า… ข้าลืมไป ตอนนี้ท่านดื่มสุราไม่ได้แล้ว”
เซียวถังอี้ขยับมือเล็กน้อย แล้วเข็มเงินก็ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว “อยากโดนสินะ?”
“นี่! ข้าแค่ล้อเล่น ท่านก็จริงจังไปได้” อวี้เซิ่งรีบยกมือขึ้นมาป้องกันตัวทันทีที่เห็นอาวุธของอีกฝ่าย “ข้ากลัวว่าท่านอยู่คนเดียวแล้วจะเบื่อก็เลยมาชวนท่านดื่ม”
“ดูท่านสิ ทำไมจู่ ๆ ถึงกลับมาใส่หน้ากากอีกแล้วล่ะ? ข้าเห็นว่าช่วงที่ผ่านมาท่านกับไป๋ไป่เข้ากันได้ดี แล้วท่านก็เห็นด้วยที่จะเดินทางไปที่เมืองหลวงพร้อมกับไป๋ไป่ไม่ใช่หรือ?”
“จากท่าทีของท่านตอนนี้ ท่านกำลังวางแผนให้จวงอี้หรานหายไปก่อนที่จะเข้าเมืองหลวงสินะ?”
เซียวถังอี้เดินไปนั่งลงที่โต๊ะแล้วรินชาใส่ถ้วยพลางกล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร”
“ฮี! เสแสร้งเข้าไป” อวี้เซิ่งแค่นเสียงในลำคอและพูดเยาะเย้ย “เซียวถังอี้ ข้ารู้จักท่านมากี่ปีแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะมองท่านไม่ออก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะคาดเดาอะไรไม่ได้ ยอมรับเสียเถอะว่าท่านถูกล่อลวงเข้าแล้ว”
มือของเซียวถังอี้ที่ถือถ้วยชากระชับแน่นขึ้นทันตา ในขณะที่ดวงตาคมดุที่อยู่ภายใต้หน้ากากหรี่ลงเล็กน้อย “อวี้เซิ่ง ท่านดื่มมากเกินไปแล้ว”
“ข้าไม่ได้เมา” นักฆ่าหนุ่มกลอกตามองบนใส่อีกฝ่าย “ข้าเพิ่งหยิบสุราขึ้นมาดมเอง ข้ายังไม่ได้ดื่มแม้แต่จิบเดียว ตอนนี้สติของข้าครบถ้วนมาก”
“ท่านใส่ใจเจ้าเด็กมู่ไป๋ไป่คนนั้นจริง ๆ สินะ คราวที่แล้วตอนที่อยู่บนภูเขา ท่านก็เสี่ยงที่จะถูกวางยาพิษเพื่อปกป้องนาง แล้วยังรับลูกธนูแทนนางอีกด้วย”
“เซียวถังอี้ เท่าที่ข้ารู้จักท่านมา ท่านไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้น”
“เพราะถ้าเป็นข้า ข้าจะไม่มีวันเสี่ยงชีวิตเพื่อคนอื่นนอกจากภรรยาของข้าเด็ดขาด”
อวี้เซิ่งพูดในขณะที่เดินเข้าไปหาเซียวถังอี้ แต่เขากลับถูกอีกฝ่ายส่งเข็มเงินเข้าใส่
“ทำไมท่านถึงยังคิดจะทำร้ายข้าอยู่อีก?” นักฆ่าหนุ่มกระโดดออกจากเก้าอี้เหมือนตั๊กแตน “เซียวถังอี้ อย่าคิดว่าข้าไม่ตอบโต้ท่านเพียงเพราะว่าท่านเป็นคนป่วย”
“เช่นนั้นก็มาสู้กัน” เซียวถังอี้วางแขนข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ ในขณะที่จ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาคมดุ “ถ้าท่านมาที่นี่เพื่อพูดเรื่องเหลวไหลละก็ ไม่จำเป็น”
“เซียวถังอี้ เจ้าคนดื้อรั้น” เมื่ออวี้เซิ่งเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่าย เขาก็ไม่กล้าสู้กับชายหนุ่มจริง ๆ จากนั้นเขาก็รีบพุ่งไปที่หน้าต่างแล้วหลบออกไปให้พ้นระยะการโจมตีของคนในห้อง
“ข้าอุตส่าห์หวังดีมาช่วยท่าน ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ เจ้าคนไร้สำนึก แล้วอย่ามาร้องไห้เสียใจทีหลังล่ะ”
หลังจากพูดจบเขาก็หายไปทางหน้าต่าง
“...”
“วรยุทธของอวี้เซิ่งดูเหมือนจะดีขึ้นอีกแล้วนะขอรับ” ชางหลานกล่าวขึ้นมา “นายท่าน ในอนาคตท่านจะแต่งงานกับท่านจ้าวอสูรหรือไม่?”
“แค่ก ๆๆ!” เซียวถังอี้ตกใจกับคำพูดกะทันหันของสัตว์เลี้ยงคู่ใจจนทำให้สำลักน้ำชา
ทางด้านชางหลานไม่รู้เลยว่ามันกำลังพูดเรื่องที่น่าตกใจออกมา หลังจากได้ยินสิ่งที่อวี้เซิ่งเพิ่งพูดไป มันก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็คิดเช่นเดียวกับมัน
นี่ไม่ใช่ความรู้สึกรักที่นายท่านของมันกับท่านจ้าวอสูรมีต่อกันตามตำนานที่มนุษย์ได้กล่าวเอาไว้หรอกหรือ?
แม้ว่ามันจะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์มันก็ไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด
“นายท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะแต่งงานกับท่านจ้าวอสูรที่มีตำแหน่งสูงส่งกว่าท่าน แต่ท่านก็อย่าได้ดูถูกตัวเองมากเกินไป” ชางหลานเข้าใจปฏิกิริยาของเซียวถังอี้ผิด มันจึงพูดปลอบใจอีกฝ่ายออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านเป็นคนที่แข็งแกร่งซึ่งหาได้ยากในหมู่มวลมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็คู่ควรกับท่านจ้าวอสูร”
“ชางหลาน เจ้าเองก็เป็นไปกับอวี้เซิ่งด้วยหรือ อยากจะโดนไล่ออกไปด้วยหรืออย่างไร?” ชายหนุ่มกัดฟันแน่น “ข้าปกป้องไป๋ไป่เพราะว่านางคือองค์หญิงลำดับที่ 6 ของเป่ยหลง”
“ทั้งหมดมีเพียงเท่านั้น ตั้งแต่ที่ข้าถูกอดีตฮ่องเต้พาตัวกลับมาที่วังหลวง ข้าก็สาบานเอาไว้แล้วว่าจะใช้ชีวิตนี้เพื่อปกป้องราชวงศ์ของเป่ยหลงให้มั่นคง”
คำทำนายของอดีตฮ่องเต้ทำให้เขาได้อยู่ในสถานะที่เคารพนับถือจากคนทั่วแคว้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเหมือนพันธนาการที่ผูกมัดเขาเอาไว้เช่นกัน
“เจ้าอย่าได้เอาคำพูดเหลวไหลพวกนั้นไปพูดต่อหน้าไป๋ไป่เสียล่ะ” เซียวถังอี้เอ่ยเตือนพร้อมกับถอดหน้ากากเงินบนใบหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวที่ยังคงหล่อเหลาของเขา
นั่นคือใบหน้าของจวงอี้หรานที่มู่ไป๋ไป่ได้เห็นตลอดเวลาที่ผ่านมา
แต่ในเวลานี้เซียวถังอี้ดูแตกต่างไปจากจวงอี้หรานเล็กน้อย
“เจ้าเข้าใจหรือไม่?” เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าสัตว์เลี้ยงของตนไม่ยอมตอบ เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาตุบ ๆ
เนื่องจากปัจจุบันเขาได้ยินสิ่งที่สัตว์พูดเหมือนกับมู่ไป๋ไป่ เขาจึงรู้ว่าสัตว์เองก็มีนิสัยขี้นินทาไม่แพ้กับมนุษย์
หากชางหลานไม่ระวังและพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าหญิงสาวไป ผลที่ตามมาอาจจะเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้
เหยี่ยวตัวโตเอียงคอคล้ายกับว่ามันกำลังคิดเกี่ยวกับคำสั่งของเซียวถังอี้อย่างจริงจัง หลังจากผ่านไปสักพักมันก็พยักหน้าตอบว่า “ขอรับนายท่าน”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: อวี้เซิ่งพลีชีพมาก แล้วชางหลานก็พูดตรงได้ใจจริง ๆ 5555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 219
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น