บทที่ 409: เขาได้ยินชางหลานพูด
เซียวถังอี้หันไปมองเหยี่ยวตัวโตที่โฉบลงมาเกาะอยู่ที่ริมหน้าต่างแล้วพูดขึ้นด้วยความไม่แน่ใจว่า “เมื่อกี้นี้…”
ชางหลานกะพริบตาสีเข้มพลางเอียงคอมองเจ้านาย ก่อนที่มันจะเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจเช่นกันว่า “นายท่าน… ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือขอรับ?”
“...” ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือการหยิกตัวเอง
ในไม่ช้าเขาก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาในสมอง เขาจึงแน่ใจได้ทันทีว่าตนไม่ได้ฝันไป นี่มันคือเรื่องจริง!
ไม่นานความคิดเหลวไหลและแปลกประหลาดก็ผุดขึ้นมาในใจ เซียวถังอี้กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากขณะมองดูสัตว์เลี้ยงคู่ใจของตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินเจ้า ชางหลาน”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ชางหลานกระพือปีกบินไปที่โต๊ะอาหารแล้วจ้องผู้เป็นนายตาโต “เหตุใดจู่ ๆ นายท่านถึงได้ยินเสียงของข้าล่ะ?”
“เป็นเพราะท่านจ้าวอสูรหรือ ท่านจ้าวอสูรทำอะไรกับท่าน?”
เซียวถังอี้ส่ายหัวตอบทันที “ข้าเองก็ไม่รู้… บางทีนางอาจจะให้ข้าดื่มเลือด”
นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดหลังจากที่เขาครุ่นคิดมาตลอดทั้งวัน
“เป็นไปไม่ได้” ชางหลานส่ายหัวปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเมื่อได้ยินคำตอบนี้ “เลือดของท่านจ้าวอสูรอาจจะมีผลน่าอัศจรรย์ทำให้คนตายฟื้นคืนกลับมาได้ก็จริง แต่คนธรรมดาไม่อาจทนรับเลือดของท่านจ้าวอสูรได้เลย หากพวกเขาดื่มมันเข้าไป ร่างกายของพวกเขาก็จะระเบิดตาย”
“ถ้าหากท่านจ้าวอสูรยอมให้ท่านดื่มเลือดของนางจริง ๆ นายท่านคงไม่อาจมานั่งอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้หรอกขอรับ”
คำพูดนั้นทำให้เซียวถังอี้ขมวดคิ้วแน่น
เขาไม่ได้ดื่มเลือดของนาง แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ซั่วเยว่บอกเองว่ามู่ไป๋ไป่ต้องกินยาบำรุงเลือดมาตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าของหญิงสาวก็ซีดมากในวันที่เดินออกจากห้องซึ่งมันสอดคล้องกับอาการเสียเลือดมากเกินไป
หรือว่า… ข้าจะเดาผิด
“นายท่าน นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยท่านก็ชีวิตรอดมาได้แล้ว” ชางหลานกระพือปีกบินวนรอบห้องอย่างมีความสุข แต่เนื่องจากภายในห้องมันคับแคบเกินไป เพียงไม่กี่อึดใจมันก็บินมาเกาะอยู่ที่ไหล่ของเซียวถังอี้
“นายท่านรอดพ้นภัยพิบัติครั้งใหญ่มาได้เช่นนี้ แน่นอนว่าในอนาคตท่านก็จะเจอแต่โชคดี”
ชายหนุ่มหัวเราะกับคำพูดประจบประแจงนั้น “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้ารู้มากถึงเพียงนี้”
เขาเลี้ยงดูชางหลานมาตั้งแต่เด็ก ในสายตาของเขา มันเป็นเพียงแค่สัตว์ป่าที่ถูกฝึกให้เชื่อง เขาไม่เคยปฏิบัติต่อมันในฐานะมนุษย์เลย
มันทำให้เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าเหยี่ยวตัวนี้จะรู้อะไรมากถึงเพียงนี้ หรือแม้กระทั่งมีความคิดเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม วันนี้ชายหนุ่มได้รู้แล้วว่าความคิดในอดีตของเขานั้นผิดไปมาก
“แน่นอนขอรับ” ชางหลานพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าอยู่รับใช้นายท่านมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งข้าติดตามท่านนานเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งเข้าใจเรื่องพวกนี้มากขึ้นเท่านั้น”
การที่ได้พูดคุยกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเซียวถังอี้
ความรู้สึกมันเหมือนกับจู่ ๆ เขาก็ได้พบสหายเก่าที่อยู่เคียงข้างกันมานานหลายปีและพูดคุยระลึกความหลังกัน
ชายหนุ่มพูดคุยกับเหยี่ยวตัวโตอยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งเขาเกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นมา
เขาไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถเข้าใจภาษาสัตว์อื่น ๆ ที่กำลังพูดอยู่ได้หรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงแค่กับชางหลาน และความสามารถนี้จะอยู่กับเขาไปนานแค่ไหน
หลังจากเจ้าเหยี่ยวตัวใหญ่ได้ยินข้อสงสัยของเจ้านาย มันก็บินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในไม่ช้ามันก็กลับมาพร้อมกับงูเผือกตัวเล็ก ๆ แล้วโยนไปต่อหน้าเซียวถังอี้
“นายท่าน ลองดูสิว่าท่านได้ยินมันพูดหรือไม่?” ชางหลานผลักงูที่กำลังขดตัวแน่นไปทางผู้เป็นนาย
ชายหนุ่มมองงูเผือกตัวน้อยและรู้สึกว่ามันดูคุ้นตาราวกับว่าเขาเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่ง แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอมันที่ไหน
“จะ-เจ้าจับข้ามาทำไม?” เสี่ยวหยินหวาดกลัวมากในขณะที่มันมองเหยี่ยวผู้สง่างามตรงหน้า “เนื้อของข้าไม่อร่อยหรอกนะ เจ้าไปจับงูตัวอื่นจะดีเสียกว่า”
ชางหลานเหลือบมองเจ้างูน้อยด้วยสายตาเอือมระอา “ใครบอกว่าข้าจะกินเจ้า ข้าไม่ได้คิดจะกินเจ้าสักหน่อย ข้าแค่อยากให้เจ้าคุยกับนายท่านของข้าเพียงเท่านั้น”
“นายท่านของเจ้า?” เสี่ยวหยินหันไปมองด้วยความสับสนก่อนจะสบเข้ากับสายตาที่สับสนพอ ๆ กันของเซียวถังอี้ ไม่นานมันก็ร้องขึ้นว่า “อ๋อ~ ข้าจำท่านได้ ท่านคือคนที่ท่านจ้าวอสูรต้องการช่วย”
“แต่ท่านจะเข้าใจคำพูดของเราได้อย่างไรกัน? คนคนเดียวในใต้หล้านี้ที่สามารถเข้าใจภาษาสัตว์มีเพียงท่านจ้าวอสูรเท่านั้น”
คำพูดของงูเผือกตัวเล็กทำให้คิ้วหนาของเซียวถังอี้ขมวดแน่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ ภายใต้สายตาประหม่าของชางหลาน “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าก็ยังฟังพวกเจ้าพูดรู้เรื่อง ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของอาเค่อใช่หรือไม่ ข้าต้องขอโทษที่ทำให้เจ้าตกใจกลัว ข้าจะให้ชางหลานส่งเจ้ากลับไป”
“นอกจากนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
ก่อนหน้านี้ชางหลานรู้สึกมีความสุขที่ได้พูดคุยกับเขาจนมันไม่ทันคิดว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเสี่ยวหยินเอาเรื่องนี้ไปบอกมู่ไป๋ไป่
ด้วยความฉลาดของผู้หญิงคนนั้น นางจะสามารถคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ทันที
ตอนนี้… มันยังไม่ถึงเวลา
“อ่า ข้ารับปาก” เสี่ยวหยินกลัวเหยี่ยวตัวโตมากเพราะทั้งคู่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของกันและกัน ดังนั้นมันจึงไม่กล้าปฏิเสธ
“นายท่าน ท่านเข้าใจภาษาสัตว์จริง ๆ หรือ!” ชางหลานเองก็รีบก้าวเดินเข้าไปใกล้เจ้านายของตนอย่างมีความสุข
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เซียวถังอี้กับชางหลานเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่ไม่อาจสื่อสารกันได้อยู่ดี
ปัจจุบันชายหนุ่มสามารถเข้าใจคำพูดของมันได้แล้ว ในอนาคตพวกเขาจะสามารถสื่อสารกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
พอชางหลานคิดถึงจุดนี้ มันก็อยากจะบินออกไปบนท้องฟ้ากว้างเพื่อคลายความตื่นเต้นของตัวเองสัก 2-3 รอบ
ทางด้านเซียวถังอี้พยักหน้า แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางหายไปแทนที่ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างเข้าใจยาก “ชางหลาน เจ้าพางูน้อยตัวนี้ไปส่งคืนเจ้าของของมันก่อนเถอะ แล้วก็ระวังอย่าให้ใครพบเจ้าด้วย”
ชางหลานมีคำถามอยู่ในใจมากมาย แต่มันรู้ว่ายังไม่ควรถามตอนที่มีเสี่ยวหยินอยู่ที่นี่ ดังนั้นมันจึงพยักหน้าตอบตกลงแล้วคว้างูเผือกบินออกไปอีกครั้ง
หลังจากที่เจ้าเหยี่ยวตัวโตบินออกไป ไหล่ที่ตึงเครียดของเซียวถังอี้ก็ดูผ่อนคลายลง
ที่แท้การพูดคุยกับสัตว์ทุกชนิดได้มันรู้สึกเช่นนี้นี่เอง
…
ที่ชั้นล่าง อาเค่อพบว่าเสี่ยวหยินหายไป เขากำลังจะไปหามู่ไป๋ไป่เพื่อถามว่านางเห็นมันหรือไม่ แต่พอเขาหันกลับมาอีกครั้งก็เห็นเจ้างูน้อยปรากฏตัวอยู่ที่หน้าต่าง
ชายหนุ่มจึงรีบยื่นมือให้สหายของตนเลื้อยพันรอบแขนตัวเองพลางถามว่า “เจ้าเลื้อยไปไหนมา?”
บัดนี้เสี่ยวหยินดูเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ มันชูคอขึ้นก่อนจะมุดเข้าไปในแขนเสื้อของอาเค่อโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป
แปลกยิ่งนักที่จะมีคนอีก 1 คนที่สามารถเข้าใจภาษาสัตว์ได้นอกจากท่านจ้าวอสูร
เรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เสี่ยวหยินตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง มันน่าตกใจมากจนทำให้มันเหม่อลอยอยู่แบบนั้นไปครึ่งวัน
ในคืนนั้นเซียวถังอี้นอนไม่หลับทั้งคืน แต่ทางด้านมู่ไป๋ไป่กลับนอนหลับสบาย
ยามที่เธอลืมตาตื่น เธอก็เห็นบางสิ่งอยู่ข้างเตียง
“นี่…” หญิงสาวแตะกระดาษที่เปื้อนน้ำมันซึ่งส่งกลิ่นหอมอบอวลแล้วสัมผัสได้ว่ามันยังร้อนอยู่
เธออนุมานได้ทันทีว่าคนที่เอาของสิ่งนี้มาวางให้คงเพิ่งจะออกไป
มู่ไป๋ไป่ขยับจมูกเข้าไปดมใกล้ ๆ แล้วพบว่าคนที่เลือกซื้อของมาให้นี้รู้จักความชอบของเธอเป็นอย่างดี เพราะอีกฝ่ายซื้อของที่เธอชอบมาทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมียาสมุนไพรอีกหลายห่อ
ถัดมา มู่ไป๋ไป่เปิดห่อสมุนไพรมาดมกลิ่นข้างในดู ก่อนจะพบว่าทั้งหมดนั้นเป็นยาบำรุงร่างกาย
เธอค่อย ๆ นิ่งคิดแล้วเดาว่าเป็นพวกเซียวถังถังที่ซื้อมาฝากเธอในตอนที่ออกไปเดินเล่นข้างนอก
พวกนางคงเห็นว่าเธอนอนหลับสนิทจึงเอาของวางไว้เงียบ ๆ โดยไม่รบกวนเธอ
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาเสร็จ เธอก็เปิดถุงกระดาษที่เปื้อนน้ำมันออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะกินเจียนปิ่ง*ที่ยังร้อน ๆ อยู่
*เจียนปิ่ง (煎饼) คืออาหารที่มีลักษณะคล้ายกับเครป มักจะนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า
เนื้อสับที่อยู่ด้านในนั้นชุ่มฉ่ำทำให้หญิงสาวนึกถึงสมัยเด็ก
ในตอนนั้นเธอติดตามไทเฮาไปขอพรที่วัดฮู่กั๋ว แต่เธอหลงทางขณะที่ออกไปตามหาเจ้าส้มจนได้บังเอิญพบกับเซียวถังอี้
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ว้าววว เซียวถังอี้ฟังภาษาสัตว์ออกเหมือนไป๋ไป่ด้วย งานนี้ล่ะบันเทิงแน่!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 194
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น