บทที่ 247: ข้าอยากไปหุบเขาหมอเทวดากับพระองค์
ยามนี้ทั่วทั้งอุทยานตกอยู่ในความเงียบงัน เหล่าพระสนมไม่มีใครกล้าแสดงความรู้สึกใด ๆ ในขณะที่ไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากที่มู่ไป๋ไป่จัดการราชครูกับลี่เฟยเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่นางทูลขอจากฝ่าบาทก็คือการออกจากวังหลวงไปเพื่อศึกษาเล่าเรียน
ซึ่งสถานที่ที่นางอยากจะไปก็คือหุบเขาหมอเทวดาที่ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อมาก่อน
มันช่างเป็นเรื่องที่เหนือคาดหมายของทุกคนจริง ๆ
“ไป๋ไป่ ถ้าเจ้าอยากร่ำเรียนวิชาแพทย์ ในวังหลวงก็มีหมอหลวงที่มีความสามารถอยู่มากมาย” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตรัสขึ้นมา “เจ้าสามารถเลือกกราบหมอหลวงคนไหนเป็นอาจารย์ของเจ้าก็ได้ ทำไมเจ้าถึงคิดอยากจะไปร่ำเรียนห่างไกลถึงหุบเขาหมอเทวดาล่ะ?”
“ตัวเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหุบเขาหมอเทวดาตั้งอยู่ที่ใด”
“เจ้าคิดว่าเรากับฝ่าบาทจะสามารถวางใจปล่อยเจ้าไปได้หรือ…”
“ท่านย่าไทเฮาเพคะ หุบเขาหมอเทวดานั้นเป็นสถานที่ที่มีหมอที่เก่งกาจยิ่งนัก” มู่ไป๋ไป่สูดจมูกเบา ๆ พลางกล่าวว่า “ไป๋ไป่จะสามารถเรียนรู้ทักษะการรักษาคนที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากในวังหลวงที่หุบเขาหมอเทวดา”
“นี่…” เมื่อไทเฮาเห็นว่าพวกตนไม่อาจโน้มน้าวเด็กหญิงได้ พระนางจึงเลือกที่จะหันหน้าไปตรัสกับซูหว่าน “หว่านผิน เจ้ารีบพูดกับไป๋ไป่เร็วเข้า ตอนนี้ไม่สำคัญว่านางคิดอยากจะเรียนวิชาอะไรทั้งนั้น”
“ขอเพียงแค่นางเอ่ยปาก เราก็จะสรรหาอาจารย์ที่เก่งกาจให้นางทันที…”
“ท่านย่าไทเฮา ไป๋ไป่ตัดสินใจแล้วเพคะ” ใจจริงมู่ไป๋ไป่ไม่อยากแยกจากผู้เป็นย่า แต่เธอได้ตัดสินใจแล้ว หลังจากเกิดเรื่องราชครูขึ้น ความตั้งใจในการออกจากวังหลวงแห่งนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้น
คำพูดของหลานสาวทำให้ดวงตาของไทเฮาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แต่ทั้งมู่เทียนฉงกับซูหว่านกลับไม่ได้พูดอะไร
ท้ายที่สุดพระนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องลุกเดินออกไปด้วยความโกรธ
“ถังอี้” จู่ ๆ มู่เทียนฉงที่นิ่งเงียบมานานก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้ารู้เรื่องหุบเขาหมอเทวดามากเพียงใด?”
เมื่อเซียวถังอี้ถูกเรียก เขาก็ค่อย ๆ วางจอกสุราลงแล้วยืนขึ้น
“เสด็จพี่ หัวหน้าหุบเขาหมอเทวดาเป็นที่รู้จักในนาม ‘หัตถาเทวาและหมอผู้มีเมตตา’ ในยุทธภพ”
“ในหุบเขาหมอเทวดามีลูกศิษย์ไม่มากนัก แต่ลูกศิษย์ทุกคนก็มีอุดมการณ์เดียวกันคือ ร่ำเรียนวิชาแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้คนในใต้หล้า”
“ท่านพ่อ…” มู่ไป๋ไป่พูดขึ้นมาทันทีหลังจากเซียวถังอี้พูดจบ “ไป๋ไป่เป็นผู้หญิง ไป๋ไป่ไม่มีความสามารถมากนักจึงไม่สามารถช่วยแบ่งเบาความกังวลของท่านพ่อได้”
“แต่การร่ำเรียนวิชาแพทย์จะเป็นหนทางที่ไป๋ไป่จะช่วยทำบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ชาวประชาได้”
“ไป๋ไป่จึงทูลขอให้ท่านพ่อได้โปรดเมตตาไป๋ไป่ด้วย”
เมื่อกล่าวจบมู่ไป๋ไป่ก็ก้มหัวคำนับให้คนเป็นพ่อ
มู่เทียนฉงมองร่างเล็ก ๆ ของลูกสาวที่แทบจะแนบอยู่กับพื้นและพยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เป็นเวลานาน จนกระทั่งในที่สุดเขาก็เอ่ยปากว่า “เป็นเรื่องที่ดีที่องค์หญิงหกมีใจที่จะช่วยเหลือราษฎรด้วยการเป็นหมอรักษาโรคภัย”
“เราจะปฏิเสธได้อย่างไร”
“หลังจากฉลองปีใหม่ เราจะจัดพิธีฝากตัวเป็นศิษย์ให้แก่เจ้า”
“ให้เจ้าฝากตัวเป็นศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดาต่อหน้าทุกคนในใต้หล้า”
หลังจากมู่ไป๋ไป่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพูด ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบกล่าวขอบคุณเขา
“นอกจากนี้ หว่านผินยังสั่งสอนบุตรีได้เป็นอย่างดี” ฮ่องเต้หนุ่มหันไปมองซูหว่านที่กำลังซับน้ำตาเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เราขอแต่งตั้งให้หว่านผินเป็นหว่านกุ้ยเฟย”
เด็กหญิงรู้สึกประหลาดใจมากกับการกระทำของมู่เทียนฉง
ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยว่าจะทำเช่นไรหากมีคนมารังแกซูหว่านในตอนที่เธอออกจากวังหลวง
แต่ตอนนี้ท่านพ่อได้เลื่อนยศให้ท่านแม่เป็นกุ้ยเฟย โดยที่นางมีมีหน้ามีตาเทียบเทียมกับหรงเฟยและคนอื่น ๆ ในวังหลัง
นอกจากไทเฮากับมู่เทียนฉงแล้ว ซูหว่านก็ไม่จำเป็นจะต้องก้มหัวให้ใครเลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเฟยของซูหว่านอาจกล่าวได้ว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่มู่ไป๋ไป่ได้รับในวันเกิดของตัวเอง
คืนนี้เด็กหญิงรู้สึกมีความสุขมาก
จากนั้นมู่เทียนฉงก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่อุทยานนานมากนัก ก่อนที่เขาจะขอตัวออกไปเนื่องจากมีงานที่รัดตัว
ทันทีที่ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนัก พระสนมที่เคยมีเรื่องกับตำหนักอิ๋งชุนก็พากันแยกย้ายไปคนละทาง เหลือเพียงมู่ไป๋ไป่กับเหล่าสหายของเธอเพียงเท่านั้น
และนี่เป็นสิ่งที่คนตัวเล็กต้องการมากที่สุด
“องค์หญิง ข้าสามารถเดินทางไปที่หุบเขาหมอเทวดากับพระองค์ได้หรือไม่?” ทันทีที่เซียวถังอี้คลายจุดให้กับเซียวถังถัง นางก็รีบพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น
“เจ้าเองก็อยากไปร่ำเรียนที่หุบเขาหมอเทวดาหรือ?” มู่ไป๋ไป่รู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ เด็กหญิงคนนี้ก็เอ่ยปากถามเช่นนี้ “ทำไมล่ะ? เจ้าเองก็อยากเรียนวิชาแพทย์เหมือนกันหรือ หรือเจ้าก็เป็นเหมือนข้าที่ไม่อยากอยู่ในวังหลวง?”
“เอ๊ะ ช้าก่อน… ไม่สิ ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในวังหลวงตลอดเวลานี่นา”
เธอไปบังเอิญรู้มาในขณะที่สนทนากับเซียวถังอี้ว่าเซียวถังถังถูกเลี้ยงดูอยู่นอกวังหลวงมาโดยตลอด
นางจึงได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป
“เป็นเพราะข้าอยากอยู่กับองค์หญิงหกต่างหาก!” เซียวถังถังคว้าแขนของมู่ไป๋ไป่แล้วกะพริบตาที่ถอดแบบมาจากเซียวถังอี้ปริบ ๆ “องค์หญิงหก พระองค์พูดเองไม่ใช่หรือว่าเราเป็นสหายกัน”
“ถ้าเราเป็นสหายกัน ข้าก็ควรจะตามไปทุกที่ที่พระองค์อยู่ใช่หรือไม่?”
“เอ่อ…” มู่ไป๋ไป่รู้สึกสับสนพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี ในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบว่าอย่างไร เด็กตรงหน้าก็ถูกมือใหญ่ของใครบางคนลากตัวไป
“เจ้าคิดจะไปร่ำเรียนที่หุบเขาหมอเทวดาหรือ?” เซียวถังอี้เหลือบมองน้องสาวของตัวเองด้วยท่าทางเหยียดหยาม “เจ้ากลับไปท่องจำอักษรให้ครบก่อนเถอะ”
“ถ้าข้าอ่านอักษรไม่ออก ข้าจะไม่สามารถไปร่ำเรียนที่หุบเขาหมอเทวดาได้หรือ?” เซียวถังถังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าไม่ไปเป็นลูกศิษย์ของที่นั่นก็ได้ ข้าจะทำงานเป็นสาวใช้ขององค์หญิงหก”
“เช่นนี้ก็ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?”
เด็กหญิงรู้สึกว่าความคิดของนางยอดเยี่ยมมาก และนางก็แสดงท่าทางภาคภูมิใจ
“ท่านหญิง…” หลัวเซียวเซียวพูดขึ้นมาเบา ๆ “ให้หม่อมฉันดูแลองค์หญิงเถิดเพคะ…”
องค์หญิงหกของนางนั้นเก่งกาจมากจนทำให้ท่านหญิงผู้นี้ยังพยายามแย่งชิงตำแหน่งคนรับใช้ของนาง
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้” เซียวถังถังพูดขึ้นมาอย่างเป็นกังวล “องค์หญิงหกเป็นถึงองค์หญิง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีคนรับใช้อยู่ข้างกายมากกว่าคนอื่นเพื่อเป็นการบ่งบอกสถานะที่ยิ่งใหญ่ของนาง”
“ยังมีข้าด้วย” จื่อเฟิงที่กำลังเคี้ยวขาหมูที่เขาไปหยิบมาจากที่ไหนสักแห่งจนทำให้ปากของเขาเปื้อนน้ำมัน “องค์หญิงหกมีข้ากับหลัวเซียวเซียวอยู่ข้างกายนาง”
เซียวถังถังหันไปมองหลัวเซียวเซียว จากนั้นก็มองจื่อเฟิงด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ข้า… ข้าไม่สนใจ อย่างไรเสียข้าก็จะต้องไปที่หุบเขาหมอเทวดาพร้อมกับองค์หญิง”
“ถ้าพระองค์ไม่พาข้าไปด้วย ข้าก็จะแอบเข้าไปเอง”
“ไม่มีใครสามารถขวางข้าได้หรอก!”
“เซียวถังถัง!!” เซียวถังอี้ขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยเตือน “อย่าได้พูดจาไร้สาระอีก”
“ฮืออออ! ท่านพี่ ท่านใจร้ายกับข้าจริง ๆ” เซียวถังถังเบะปากทำหน้าบึ้งตึง ในขณะที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ไหนบอกว่าท่านจะไม่ทำข้าเจ็บอีก! ท่านไม่เคยตะโกนใส่ข้าเช่นนี้มาก่อน”
“ฮือ ๆๆๆ! ท่านไม่รักน้องสาวคนนี้แล้ว โฮฮฮฮ!!!”
“...” คนเป็นพี่ชายถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ภาพเช่นนี้เป็นภาพที่หาได้ยากมาก มู่ไป๋ไป่ที่ยืนมองอยู่ด้านข้างรู้สึกว่ามันแปลกมาก
แต่ในไม่ช้าเธอก็ต้องตกใจกับเสียงร้องไห้ของเซียวถังถัง
ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมเซียวถังอี้ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงนางร้องไห้
ที่แท้เขากลัวเซียวถังถังนี่เอง
เพราะเสียงร้องไห้ของนางสามารถอธิบายได้เพียงคำว่า ‘ฟ้าดินสั่นสะเทือน’
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นว่าเซียวถังถังร้องไห้หนักมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็เข้าไปปลอบโยนนางโดยบอกว่าถ้านางได้รับอนุญาตจากเจียงเหยา เธอก็จะพานางเดินทางไปยังหุบเขาหมอเทวดากับเธอ
“จริงหรือ?” เด็กหญิงมองอีกฝ่ายทั้งที่ยังสะอื้นไห้ “องค์หญิงหก พระองค์ไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่ได้โกหกเจ้า” คนตัวเล็กแอบขอโทษว่าที่อาจารย์ของตัวเองในใจ “เจ้าเช็ดหน้าเช็ดตาสักหน่อย แล้วข้าจะบอกเรื่องว่าที่อาจารย์ของข้าให้เจ้าฟัง”
“เพียงเท่านี้ เจ้าก็จะสามารถไปขออนุญาตจากนางได้”
“ตกลง!” เซียวถังถังรีบผละออกจากมือพี่ชายและเดินไปพร้อมกับมู่ไป๋ไป่
ทางด้านเซียวถังอี้ได้แต่มองเด็กแสบ 2 คนเดินจากไปด้วยสีหน้าซับซ้อนอยู่ชั่วขณะ
ในเวลาเดียวกัน ชิงหานที่ติดตามผู้เป็นนายมาโดยตลอดอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “องค์หญิงหกเป็นคนที่น่าทึ่งมาก คุณหนูไม่เคยหยุดร้องไห้เร็วขนาดนี้มาก่อนเลยขอรับ”


แสดงความคิดเห็น