บทที่ 241: ลี่เฟยกับราชครูสมรู้ร่วมคิดกัน
“ท่านจ้าวอสูร ท่านมีอะไรอยากจะสอบถามเพิ่มเติมหรือไม่?” งูดำศีรษะโอนเอนไปมาราวกับว่ามันใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อเล่าเรื่องเมื่อครู่นี้ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ท่านให้เรากลับไปนอนต่อได้หรือไม่?”
งูตัวอื่นก็ทำตาปรือหมดเรี่ยวหมดแรง คล้ายกับว่าพวกมันจะผล็อยหลับตรงนั้นได้ทุกเมื่อ เนื่องจากพวกมันอยู่ในฤดูจำศีล พวกมันจึงนอนอยู่ในรูตลอดทั้งวัน
“ไม่มี ไม่มีอะไรแล้ว” มู่ไป๋ไป่ปรบมือ “พวกเจ้าไปเถอะ”
“ขอรับ” งูดำพยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นประหนึ่งว่ามันนึกอะไรบางอย่างได้ ก่อนที่มันจะเอ่ยปากถามว่า “ท่านจ้าวอสูร ท่านให้คนรับใช้ของท่านส่งพวกเรากลับไปได้หรือไม่?”
“ข้างนอกอากาศหนาว...”
“...”
นี่เป็นฤดูที่งูจำศีลจริง ๆ สินะ
ในเมื่อเธอเป็นคนนำพวกงูมาสอบปากคำที่นี่ ดังนั้นเธอก็ควรจะพาพวกมันกลับไปส่งที่บ้าน เธอจึงเรียกเจี่ยอีซึ่งรออยู่ที่ประตูให้เข้ามา และสั่งให้เขานำงูกลับไปที่อุทยานหลวงดังเดิม
“องค์หญิงสอบถามแล้วหรือยังเพคะ?” หลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงที่รอองครักษ์หนุ่มออกไปเดินเข้ามาถามอย่างสงสัย “ได้คำตอบอะไรหรือไม่เพคะ?”
“แน่นอนว่าต้องได้สิ” มู่ไป๋ไป่เดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วแกว่งขาสั้น ๆ ไปมาในอากาศพลางพูดว่า “แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ข้ายังไม่เข้าใจ”
“หา?” หลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงหันมามองหน้ากัน ทั้งคู่รู้ว่าหัวสมองน้อย ๆ ของพวกเขาคงไม่สามารถช่วยองค์หญิงหกแก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงแนะนำอีกฝ่ายไปว่า “องค์หญิง เหตุใดพระองค์ถึงไม่ถามท่านอ๋องล่ะเพคะ?”
“ท่านอ๋องสัญญาว่าจะช่วยพวกเราไม่ใช่หรือ?”
“ในเมื่อเขารับปากว่าจะช่วย ถ้าพระองค์คิดอะไรไม่ออกก็น่าจะไปถามเขาได้”
คำแนะนำนั้นทำให้ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกายทันที “เจ้าพูดถูก! ข้าต้องไปถามเซียวถังอี้เกี่ยวกับสถานการณ์ของท่านพ่อ”
หลังจากที่คนตัวเล็กพูดจบ เธอก็วิ่งไปที่ตำหนักของเจ้าสัตว์ประหลาดโดยมีแมวอ้วนตัวสีส้มอยู่ในอ้อมแขน
เจ้าส้มผู้น่าสงสารถูกลมหนาวพัดขนปลิวว่อนจนมันต้องโวยวายขึ้นมาว่า “แง้ววว! มู่ไป๋ไป่ นี่เจ้าคิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ? นี่มันจะหนาวเกินไปแล้วนะ!”
“เจ้ารีบพาแมวตัวนี้กลับเข้าไปในห้องอุ่น ๆ บัดเดี๋ยวนี้”
“ไม่อย่างนั้น ข้าจะฝากยันต์ 5 แถวไว้บนหน้าเจ้า!”
“นี่เจ้าส้ม เจ้าอย่าเอาแต่นอนอุตุอยู่ในห้องตลอดเวลาสิ ช่วงนี้น้ำหนักเจ้าขึ้นเยอะเกินไปแล้ว” มู่ไป๋ไป่ลูบขนเรียบ ๆ ของอีกฝ่ายแล้วพูดเกลี้ยกล่อมมัน “ปกติท่านแม่ดีกับเจ้ามาก ตอนนี้นางเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เจ้าต้องทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่?”
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับว่านางทำดีกับข้าหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าอยากเจอเซียวถังอี้ ทำไมเจ้าต้องพาข้าไปด้วย!” เจ้าส้มประท้วงออกมา “หรือว่าเจ้ากลัวเขา?”
“ใครบอกว่าข้ากลัวเขา!” มู่ไป๋ไป่โต้กลับทันควัน “ข้าแค่คิดว่าการไปพบเขาเพียงลำพังมันดูจะน่าอายไปสักหน่อย”
“พาเจ้าไปด้วยอย่างน้อยข้าก็มีเพื่อน”
“ใครเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว” แมวตัวโตที่ได้ยินข้ออ้างของเจ้าตัวเล็กกลอกตามองบน ก่อนที่มันจะพูดว่า “เมื่อก่อนเจ้ายังไปที่ตำหนักของเซียวถังอี้อยู่ทุกวัน ทำไมข้าไม่เห็นรู้สึกว่าเจ้าอายตรงไหนเลย”
เด็กหญิงยิ้มแห้ง ๆ พลางเกาปลายจมูกตัวเอง
เจ้าส้มพูดถูก
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไปพบเซียวถังอี้แบบจริงจังหลังจากที่วิ่งวุ่นสืบสวนเหตุการณ์ระหว่างซูหว่านกับลี่เฟย
ตามปกติแล้วเธอชอบทำตัววุ่นวายอยู่ต่อหน้าเจ้าสัตว์ประหลาด แต่เธอก็ไม่คุ้นเคยกับการทำอะไรที่เป็นทางการเช่นนี้
ถึงกระนั้นเธอก็ยังโชคดี เพราะเมื่อเธอมาถึงตำหนักของอีกฝ่าย เขาก็กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่
นอกจากนี้ ช่างหาได้ยากที่เซียวถังอี้จะสวมชุดสีเงินซึ่งมันเข้ากันได้ดีกับหน้ากากสีเงินบนใบหน้าของเขา
“หา วันนี้เป็นวันอะไรกัน?” มู่ไป๋ไป่มองชายตรงหน้าแล้วพูดติดตลกว่า “ปกติแล้วท่านชอบใส่ชุดสีดำทำให้ดูลึกลับไม่ใช่หรือ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นใส่เสื้อผ้าสีสว่างสักที”
“หรือท่านจงใจเปลี่ยนชุดเพื่อไปพบใครบางคน?”
เด็กหนุ่มวางถ้วยและตะเกียบในมือลง จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดปากที่องครักษ์ด้านข้างส่งมาเช็ดปากเบา ๆ ก่อนจะถามว่า “มีอะไรหรือ?”
“เอ่อ…” เด็กหญิงสอดสายตามองไปรอบ ๆ เธอเห็นว่าอาหารเช้าพร่องไปน้อยมาก เธอจึงหยิบขนม 2 ชิ้นมายัดเข้าปากแล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในอุทยานหลวง แต่ข้ายังคงมีเรื่องสงสัยอยู่”
“ท่านแม่ของข้าไม่ปฏิเสธคำกล่าวหาของลี่เฟย ทั้งที่ความจริงแล้วนางกลัวงูจึงสะดุดล้มลงไป”
เซียวถังอี้เลิกคิ้วขึ้นเงียบ ๆ “แล้ว?”
“ดังนั้น ตอนนี้ข้าสงสัยว่าลี่เฟยกับราชครูมีความสัมพันธ์กันอย่างไร” มู่ไป๋ไป่ตอบคร่าว ๆ “แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐาน แต่สัญชาตญาณของข้าบอกว่ามันเป็นเช่นนั้น”
ระหว่างที่เธอเดินมาที่นี่ เธอก็คิดถึงสิ่งที่ทำให้ลี่เฟยมั่นใจว่าท่านแม่ของเธอจะไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหา
หลังจากคนตัวเล็กคิดไตร่ตรองอยู่นาน มันก็มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือเรื่องนี้ลี่เฟยกับราชวงศ์ร่วมมือกัน ดังนั้นซูหว่านจึงกังวลว่าเธออาจจะเป็น ‘ต้นเหตุภัยพิบัติ’ ที่ถูกกล่าวถึง นางจึงยอมรับข้อกล่าวหาและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเธอ
ลี่เฟยจึงฉวยโอกาสนี้ใส่ร้ายท่านแม่โดยที่อีกฝ่ายไม่อาจทำอะไรได้
แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจว่าลี่เฟยได้คิดเอาไว้ล่วงหน้าเรื่องการสูญเสียบุตรของตัวเองหรือไม่
ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง เธอก็อยากถอนหายใจหนัก ๆ สักที เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ช่างโหดร้ายทารุณมากจริง ๆ แม้แต่ชีวิตของเด็กคนหนึ่งนางก็ยังกล้าทำได้ลงคอ นี่นางยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่หรือไม่?
“นี่ ๆๆ เจ้าอย่าเอาแต่กินคนเดียวสิ” เจ้าส้มที่อยู่ในอ้อมแขนของมู่ไป๋ไป่เริ่มโวยวายขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่กินอยู่ฝ่ายเดียวไม่ยอมแบ่งมันกินด้วย “เอามาให้ข้าด้วย ข้าอยากกินซาลาเปาไส้เนื้อ”
มู่ไป๋ไป่แบ่งอาหารที่เธอเพิ่งหยิบออกมาครึ่งหนึ่งแล้วส่งให้แมวจอมตะกละ ก่อนจะหันไปมองเซียวถังอี้ที่ยังนิ่งเงียบอยู่ “ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ขณะเดียวกัน ชิงหานที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลือบมองเจ้านายของตัวเองเงียบ ๆ เขารู้สึกว่าการคาดเดาขององค์หญิงหกนั้นไม่มีเหตุผลเลย มันฟังดูเหมือนเป็นการจินตนาการขึ้นมาเองเท่านั้น อีกทั้งไม่มีคนอื่นอยู่ในเหตุการณ์เลยนอกจากคู่กรณีทั้ง 2
“มีความเป็นไปได้” เซียวถังอี้พยักหน้าเห็นด้วย “ช่วงเวลาที่ราชครูปรากฏตัวนั้นมันบังเอิญเกินไป ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่าเขาได้ติดต่อกับคนในวังหลังหรือไม่ แต่ข้าไม่ได้สงสัยลี่เฟย”
“...” ชิงหานนิ่งอึ้งมองผู้เป็นนาย เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคล้อยตามไปกับคำพูดขององค์หญิงหก
“แล้วในตอนแรกท่านสงสัยใคร?” มู่ไป๋ไป่เลิกคิ้วถาม
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเด็กหญิงแล้วตอบว่า “หรงเฟย”
จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าหรงเฟยต้องการจะฆ่าเธอตอนอยู่ที่วัดฮู่กั๋ว ซึ่งมันมีความเป็นไปได้สูงมากที่นางอาจจะสมรู้ร่วมคิดกับบุคคลภายนอกเพื่อกล่าวโทษเธอ
“แต่ฟังจากสิ่งที่เจ้าเพิ่งพูด ข้าคิดว่าลี่เฟยมีแนวโน้มมากกว่า” เซียวถังอี้วางผ้าเช็ดหน้าลงแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมลี่เฟยจึงไม่มีทายาทหลังจากที่เข้ามาอยู่ในวังหลังหลายปี”
คนตัวเล็กสะดุ้งตกใจก่อนจะส่ายหัว
เธออายุเพียง 4 ขวบย่างเข้า 5 ขวบ เธอจะรู้ความลับเช่นนี้ของคนในวังหลังได้อย่างไร
ในไม่ช้าเซียวถังอี้ก็ให้คำตอบกับเธอ
“เพราะลี่เฟยไม่สามารถมีบุตรได้”
“อะไรนะ!” มู่ไป๋ไป่อ้าปากค้างเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด “แต่นางเพิ่งสูญเสียบุตรไปเอง! หรือว่าหมอหลวงทุกคนถูกนางซื้อตัวไปหมดแล้ว?”
ทันใดนั้นความเป็นไปได้มากมายก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ ซึ่งแต่ละความคิดนั้นทำให้เธอหวาดหวั่นมาก
“ก็ไม่แน่เสมอไป” เด็กหนุ่มส่ายหัวก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ข้าส่งคนไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เรื่องที่ลี่เฟยสูญเสียบุตรในครั้งนี้ไม่มีการติดสินบนใด ๆ”
“ถ้าเช่นนั้น… ภาวะมีบุตรยากครั้งก่อนคือการวินิจฉัยผิดพลาดหรือ?” มู่ไป๋ไป่เกาหัวเบา ๆ “แต่ว่าลี่เฟยสามารถมีบุตรได้หรือไม่นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการที่นางสมรู้ร่วมคิดกับราชครูอย่างนั้นหรือ?”
เซียวถังอี้แตะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “ข้าไม่รู้ แต่สัญชาตญาณบอกข้าว่าทั้ง 2 มีความเกี่ยวข้องกัน”
“...”
นี่มันแทบจะเหมือนกับคำตอบของเธอก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
ขณะที่เด็กหญิงกำลังจะพูดบางสิ่งเพิ่มเติม เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 241
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น