บทที่ 49: สมรภูมิแห่งเหตุผล

-A A +A

บทที่ 49: สมรภูมิแห่งเหตุผล

นครหลวงดุษฎี, หนึ่งสัปดาห์หลังการออกเดินทางของทีมสำรวจอัลฟ่า...
ณ ใจกลางของมหานครที่ขับเคลื่อนด้วยตรรกะอันสมบูรณ์แบบ... ในห้องประชุมสภาสูงสุดที่ขาวสะอาดราวกับห้องผ่าตัด... ความเงียบงันที่เยือกเย็นได้เข้าปกคลุม
บนโพเดียมกลางห้อง... ดร. เอริส ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าเหล่าสภาสูงทั้งสิบสองคน เขาสวมเครื่องแบบสีขาวบริสุทธิ์ของ "นักตรรกะศาสตร์" ระดับสูงสุด... แววตาของเขาที่อยู่หลังเลนส์แว่นนั้นเฉียบคมและไร้ซึ่งอารมณ์... เขารอคอยอย่างอดทน... ปล่อยให้ความเงียบและความตึงเครียดทำงานของมันอย่างเต็มที่
"หนึ่งสัปดาห์เต็ม" เขาเริ่มต้นกล่าวในที่สุด น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่กลับก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง "เจ็ดวัน... หรือหนึ่งร้อยหกสิบแปดชั่วโมงเต็ม... ที่เราได้สูญเสียการติดต่อทั้งหมดกับทีมสำรวจอัลฟ่า... ภายใต้การนำของอดีตผู้บัญชาการโชติรส"
เขาจงใจเน้นคำว่า "อดีต"
"ตามข้อมูลสุดท้ายที่เราได้รับจากยานแรคคูนก่อนที่สัญญาณจะขาดหายไป... พวกเขาได้ละทิ้งภารกิจหลักและเคลื่อนที่เข้าไปใน 'เขตต้องห้าม'... พื้นที่ที่มีความผิดปกติทางสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในระดับอันตรายสูงสุด... เป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบการสำรวจข้อที่ 17 วรรค 3 อย่างชัดเจน"
เขาหยุดและกวาดตามองเหล่าสภาสูงทีละคน
"กระผมเข้าใจดีถึงความกล้าหาญของพวกเขา" เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะแฝงไว้ด้วยความเห็นใจ "แต่ความกล้าหาญที่ปราศจากความรอบคอบ... ก็คืออีกชื่อหนึ่งของความประมาท... และความประมาท... ก็นำมาซึ่งโศกนาฏกรรม"
เขาฉายภาพโฮโลแกรมของลีน่าและทีมของเธอขึ้นมากลางอากาศ... เป็นภาพทางการที่ดูองอาจและเต็มไปด้วยความหวัง... ก่อนที่เขาจะประทับตราสีแดงฉานลงไปบนภาพนั้น... พร้อมกับตัวอักษรที่เย็นชา... "สูญหายในปฏิบัติการ" (MIA)
"และตามกฎบัญญัติข้อที่ 42 แห่งธรรมนูญดุษฎีนคร" เขากล่าวต่อ "เมื่อผู้นำทีมสำรวจได้สูญหายไปเกินกว่าเจ็ดวัน... สภาสูงมีหน้าที่ที่จะต้องประกาศยุติภารกิจนั้นอย่างเป็นทางการ... และดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปเพื่อรักษาความมั่นคงของนคร"
บรรยากาศในห้องประชุมหนักอึ้ง... ไม่มีใครคัดค้าน... ตรรกะของ ดร. เอริส นั้นไร้ที่ติ
"โศกนาฏกรรมครั้งนี้... ไม่ใช่เหตุบังเอิญ" เขากล่าวต่อ "แต่มันคือ 'อาการ' ของปัญหาที่ใหญ่กว่า... มันคือผลลัพธ์ของนโยบายการสำรวจที่ 'อ่อนแอ' และ 'เปี่ยมด้วยอารมณ์' ของผู้บัญชาการโชติรส... นโยบายที่พยายามจะ 'ทำความเข้าใจ' กับโลกภายนอกที่ป่าเถื่อน... แทนที่จะ 'ควบคุม' มัน"
"และเพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก... เพื่อปกป้องความสมบูรณ์แบบและความปลอดภัยของพลเมืองทุกคน... กระผมจึงขอเสนอ... 'ญัตติผนึกนคร' (The Aegis Protocol)"
คำประกาศของ ดร. เอริส แขวนอยู่กลางอากาศที่เงียบงัน... มันคือข้อเสนอที่เย้ายวนใจสำหรับเหล่าสภาสูงผู้ยึดมั่นในความมั่นคงและความสมบูรณ์แบบ... มันคือการมอบยาแก้ปวดที่ชื่อว่า "ความปลอดภัย" ให้กับนครที่กำลังเริ่มรู้สึกถึงความกังวลเป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี
สมาชิกสภาส่วนใหญ่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย... ตรรกะของ ดร. เอริส นั้นไร้ที่ติ... การกระทำของลีน่าดูประมาท... และผลลัพธ์ก็คือความสูญเสีย... การปิดกั้นตัวเองจึงเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลที่สุด
ดูเหมือนว่าญัตตินี้จะผ่านไปอย่างง่ายดาย... แต่แล้ว...
"เดี๋ยวก่อน"
เสียงที่ดังขึ้นมานั้นไม่ได้ก้องกังวาน... แต่กลับเต็มไปด้วยน้ำหนักและอำนาจที่ทำให้ทุกคนต้องหันไปมอง... มันคือเสียงของ "สภาสูงวาเลริอุส"... ชายชราผู้เป็นสมาชิกสภามายาวนานที่สุด... และเป็นเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนของพ่อของลีน่าที่ยังคงมีชีวิตอยู่
วาเลริอุสลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ... ร่างกายของเขาอาจจะแก่ชรา... แต่ดวงตาของเขายังคงเฉียบคมราวกับนกอินทรี
"ท่านด็อกเตอร์เอริส..." เขากล่าว "เหตุผลของท่านไร้ที่ติ... แต่ข้อสรุปของท่าน... มันกลับรีบร้อนจนเกินไป"
ดร. เอริสหรี่ตาลงเล็กน้อย "ท่านสภาสูงกำลังจะบอกว่ากระผมทำผิดระเบียบข้อไหนรึครับ"
"เปล่าเลย" วาเลริอุสตอบ "ท่านทำตามระเบียบทุกข้อ... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... ระเบียบข้อที่ว่าด้วย 'ระยะเวลาขั้นต่ำ' ในการประกาศสถานะสูญหาย... ท่านใช้ 'ขั้นต่ำ' คือเจ็ดวัน... ในการตัดสินชะตากรรมของทีมสำรวจที่เก่งที่สุดของเรา... นั่นไม่ใช่ความรอบคอบ... แต่มันคือ ความฉวยโอกาส"
คำพูดที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้สมาชิกสภาบางคนเริ่มมีสีหน้าเปลี่ยนไป
"ท่านเรียกโศกนาฏกรรมครั้งนี้ว่า 'ความล้มเหลว' ของผู้บัญชาการโชติรส" วาเลริอุสกล่าวต่อ "แต่ข้ากลับเรียกมันว่า 'การเผชิญหน้ากับตัวแปรที่ไม่รู้จัก'... ซึ่งมันคือ 'เป้าหมาย' ที่แท้จริงของกองกำลังสำรวจ... ถ้าทุกภารกิจกลับมารายงานผลได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย... ก็แสดงว่าเราไม่ได้ส่งพวกเขาไปไกลพอต่างหาก"
"ท่านกำลังพูดถึงประวัติศาสตร์" ดร. เอริสโต้กลับอย่างเย็นชา "แต่กระผมกำลังพูดถึง 'ข้อมูล'... ข้อมูลสุดท้ายที่เราได้รับจากยานแรคคูนก่อนที่มันจะเงียบไป... คือข้อมูลของคลื่นพลังงานที่ผิดปกติและรุนแรง... มันไม่ใช่ 'ตัวแปรที่ไม่รู้จัก' ทั่วไป... แต่มันคือ 'มหาวิบัติ'... และการส่งคนของเราเข้าไปในมหาวิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า... มันไม่ใช่การสำรวจ... แต่มันคือความบ้าคลั่ง"
"ความบ้าคลั่ง... หรือความกล้าหาญ... มันก็เป็นเพียงเส้นบางๆ ที่คั่นอยู่เท่านั้น" วาเลริอุสกล่าว "และประวัติศาสตร์ก็ได้สอนเรามานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า... การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด... มักจะเกิดมาจากความบ้าคลั่งที่ประสบความสำเร็จ"
"ท่านกำลังจะเอาอนาคตของนครทั้งนคร... ไปแขวนไว้บน 'ความหวัง'ลมๆ แล้งๆ งั้นรึ ท่านสภาสูง" ดร. เอริสถามกลับ "ในขณะที่ 'ญัตติผนึกนคร' ของกระผม... คือการรับประกัน 'ความปลอดภัย' ที่จับต้องได้ 100%"
"ไม่มีอะไรที่เรียกว่าความปลอดภัย 100%" วาเลริอุสสวนกลับทันที "มันเป็นแคภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเอง! บรรพบุรุษของเราไม่ได้สร้างกำแพงนี้ขึ้นมาเพื่อ 'ขัง' ตัวเอง... แต่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็น 'ฐานที่มั่น'... เพื่อรอวันที่จะแข็งแกร่งพอที่จะก้าวออกไปอีกครั้ง... แต่นโยบายของท่าน... คือการเปลี่ยนป้อมปราการให้กลายเป็นสุสาน!"
คำพูดที่เฉียบคมราวกับดาบของวาเลริอุส... ทำให้ห้องประชุมที่เคยเยือกเย็น... บัดนี้กลับร้อนระอุขึ้นมาทันที! สมาชิกสภาหลายคนเริ่มส่งเสียงพึมพำ... กำแพงแห่งตรรกะที่ ดร. เอริส สร้างขึ้นอย่างสวยหรู... บัดนี้ได้ปรากฏรอยร้าวขึ้นมาแล้ว
แต่ก่อนที่วาเลริอุสจะได้พูดอะไรต่อ... สมาชิกสภาอีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน... เธอคือ "ดร. อันยา"... ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมสังคมและทฤษฎีระบบ... แววตาของเธอเย็นชาและว่างเปล่าราวกับดวงตาของตุ๊กตาแก้ว
"ท่านสภาสูงวาเลริอุสกำลังอ้างอิงถึง 'ปรัชญา'" เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ "แต่ดิฉัน... ขออนุญาตอ้างอิงถึง 'คณิตศาสตร์'"
เธอฉายภาพโฮโลแกรมใหม่ขึ้นมา... มันคือสมการที่ซับซ้อนและน่าปวดหัว... "ทฤษฎีเอนโทรปีประยุกต์สำหรับระบบปิด" (Applied Entropy Theory for Closed Systems)
"ดุษฎีนคร... คือระบบปิดที่สมบูรณ์แบบ" เธอเริ่มต้นอธิบาย "ตามกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์แล้ว... ระบบปิดทุกระบบในจักรวาล... จะเคลื่อนที่จากสภาวะโกลาหล... ไปสู่สภาวะที่มีเสถียรภาพและมีความเป็นระเบียบสูงสุด... ซึ่งก็คือ 'ดุลยภาพ'... หรือในกรณีของเรา... คือ 'ความปลอดภัย'"
"สิ่งที่ท่านวาเลริอุสเรียกว่า 'การก้าวออกไป'... แท้จริงแล้วมันคือการนำ 'ตัวแปรแห่งความโกลาหล' (Chaotic Variable) จากภายนอก... ซึ่งก็คือทีมสำรวจที่ 'ปนเปื้อน' แล้ว... กลับเข้ามาสู่ระบบที่สมบูรณ์แบบของเรา" เธอกล่าวพลางชี้ไปยังสมการ "และการกระทำเช่นนั้น... จะไม่ได้แค่สร้างความเสี่ยง... แต่มันจะ 'เร่ง' อัตราเอนโทรปีของทั้งระบบ... นำไปสู่การล่มสลายที่รวดเร็วและไม่อาจย้อนกลับได้!"
"ดังนั้น... 'ความปลอดภัย' ที่ท่านเอริสเสนอ... จึงไม่ใช่ 'ภาพลวงตา'" เธอกล่าวสรุป "แต่มันคือ ความจำเป็นทางคณิตศาสตร์... เพื่อความอยู่รอดของอารยธรรมของเรา... การกำจัดหรือแยกตัวแปรแห่งความโกลาหลออกไป... จึงเป็นทางเลือกเดียวที่สมเหตุสมผล"
ตรรกะที่เย็นชาและสมบูรณ์แบบของ ดร. อันยา ทำให้กระแสลมในห้องประชุมตีกลับมาเข้าข้าง ดร. เอริส อีกครั้ง!
วาเลริอุสกลับส่ายหน้าช้าๆ... รอยยิ้มที่มุมปากของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความสมเพช
"คณิตศาสตร์ของท่านมันช่างงดงาม... ดร. อันยา" เขากล่าว "ท่านลืมไปอย่างหนึ่ง... ว่าเราไม่ใช่อนุภาคในกล่องทดลอง... แต่เราคือ สิ่งมีชีวิต"
"และสิ่งมีชีวิต... ไม่ได้อยู่รอดได้ด้วย 'เสถียรภาพ'... แต่อยู่รอดได้ด้วย 'การวิวัฒนาการ'"
"ท่านกำลังพูดถึง 'ความปลอดภัย' ของจานเพาะเชื้อ... สะอาด... ถูกควบคุม... แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ 'ปราศจากเชื้อ'... และปราศจากอนาคต" เขากล่าว "ประวัติศาสตร์ของโลกเก่าได้พิสูจน์ให้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า... อารยธรรมที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก... อารยธรรมที่ไม่ยอมรับข้อมูลใหม่ๆ... แม้ว่าข้อมูลนั้นจะดู 'โกลาหล' เพียงใดก็ตาม... สุดท้ายแล้วก็จะ 'หยุดนิ่ง'... และ 'สูญพันธุ์' ไปในที่สุด"
"การอยู่รอดที่แท้จริง... ไม่ได้มาจากการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง... แต่มันมาจากการ 'ปรับตัว' ให้เข้ากับความเสี่ยงต่างหาก!"
คำพูดของวาเลริอุสที่เปรียบเสมือนการประกาศสงครามทางปรัชญา... ทำให้ห้องประชุมที่เคยเยือกเย็น... บัดนี้ได้กลายเป็นสมรภูมิแห่งเหตุผลอย่างแท้จริง! สมาชิกสภาที่เคยนิ่งเงียบ... บัดนี้ต่างเริ่มแสดงความคิดเห็นของตัวเอง... แต่ละคนต่างยกทฤษฎีและหลักการที่ตนเองเชี่ยวชาญขึ้นมาเพื่อสนับสนุนหรือโต้แย้งญัตติของ ดร. เอริส
แต่แล้ว... เสียงที่สามที่ดังขึ้นมา... ก็ทำให้การถกเถียงทั้งหมดต้องหยุดชะงัก...
มันคือเสียงของ "ดร. โคริน"... หัวหน้าฝ่ายจิตวิเคราะห์และพฤติกรรมศาสตร์... ชายผู้มีแววตาที่อ่อนโยนแต่กลับมองทะลุเข้าไปถึงจิตใจของผู้คน... เขาไม่ได้ลุกขึ้นยืน... แต่กลับนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ... ราวกับว่าเขากำลังนั่งชมละครที่น่าสนใจอยู่
"พวกท่านทุกคน... กำลังพูดถึง 'ระบบ' " เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่กลับดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ "ดร. อันยาพูดถึง 'ระบบทางเทอร์โมไดนามิกส์'... ท่านสภาสูงวาเลริอุสพูดถึง 'ระบบทางชีวภาพ'... แต่พวกท่านทุกคน... กลับลืมพูดถึงระบบที่สำคัญที่สุด... และเปราะบางที่สุดไป"
เขาหยุด... ปล่อยให้คำพูดของเขาแขวนอยู่กลางอากาศ
"...นั่นคือ 'ระบบนิเวศทางจิต' (The Psychic Ecosystem) ของพลเมืองของเรา"
ดร. โครินฉายภาพโฮโลแกรมใหม่ขึ้นมา... มันไม่ใช่สมการหรือแผนภูมิ... แต่เป็นภาพจำลองของสมองมนุษย์ที่กำลังส่องแสง... และมีเส้นใยพลังงานเชื่อมต่อไปยังสมองของคนอื่นๆ นับล้าน... ก่อตัวขึ้นเป็นโครงข่ายที่ซับซ้อน
"พวกท่านกำลังถกเถียงกันว่าจะ 'เปิด' หรือ 'ปิด' ประตูเมือง... แต่พวกท่านลืมไปว่า... 'กำแพง' ที่แท้จริง... มันไม่ได้สร้างขึ้นจากเหล็กกล้า... แต่มันสร้างขึ้นจาก 'ความกลัว'"
"ตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมา... เราได้สร้าง 'ภูมิคุ้มกันทางจิต' (Mental Immunity) ให้กับพลเมืองของเราอย่างสมบูรณ์แบบ... เราสอนให้พวกเขาเชื่อในตรรกะ... สอนให้พวกเขาปฏิเสธความโกลาหล... และสอนให้พวกเขาหวาดกลัวทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกกำแพง... มันคือ 'วัคซีน' ที่ปกป้องอารยธรรมของเราให้ปลอดภัยมาโดยตลอด"
เขาซูมเข้าไปที่ภาพจำลอง... "แต่ตอนนี้... ทีมสำรวจของลีน่า... ได้กลายเป็น 'เชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่' ที่ภูมิคุ้มกันของเราไม่เคยรู้จัก... พวกเขาไม่ได้นำกลับมาแค่ 'ข้อมูล'... แต่นำกลับมาซึ่ง 'ความสงสัย'... 'ความไม่แน่นอน'... และที่อันตรายที่สุด... คือ 'ความจริง' ที่ขัดแย้งกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยเชื่อมา"
"ถ้าเราปล่อยให้พวกเขาเข้ามา... แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพิษภัยทางกายภาพเลยก็ตาม... 'ข้อมูล' ที่พวกเขานำกลับมา... จะแพร่กระจายเข้าไปใน 'ระบบนิเวศทางจิต' ของเรา... เหมือนกับไวรัส... มันจะทำลาย 'ความเชื่อ' ที่เป็นรากฐานของสังคมเรา... มันจะสร้าง 'ความกลัว' ในรูปแบบใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิม... และสุดท้าย... มันจะนำไปสู่การล่มสลายจากภายใน... ไม่ใช่เพราะความโกลาหลจากภายนอก... แต่เพราะ 'วิกฤตศรัทธา' ที่เกิดขึ้นในจิตใจของพลเมืองทุกคน"
"ญัตติของท่านเอริส... จึงไม่ใช่แค่การ 'ปิด' ประตูเมือง" ดร. โครินกล่าวสรุป "แต่มันคือการ 'กักกัน' (Quarantine)... คือการปกป้องจิตใจที่เปราะบางของพลเมืองนับล้าน... จาก 'ความจริง' ที่อันตรายเกินกว่าที่พวกเขาจะรับไหว"
ตรรกะที่เย็นชาแต่กลับสมเหตุสมผลอย่างน่าขนลุกของ ดร. โคริน... ได้กลายเป็นหมัดฮุคสุดท้ายที่น็อคเอาท์ฝ่ายคัดค้านจนแทบจะสิ้นสภาพ...
กระแสลมในห้องประชุมตีกลับไปเข้าข้าง ดร. เอริส อย่างสมบูรณ์แบบ... สมาชิกสภาส่วนใหญ่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย... มันคือทางออกที่เจ็บปวด... แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นทางออกเดียวที่ "ปลอดภัย" ที่สุดสำหรับทุกคน...
แต่ท่ามกลางความพ่ายแพ้ที่ใกล้จะมาถึงนั้น... วาเลริอุสกลับหัวเราะออกมาเบาๆ...
มันคือเสียงหัวเราะที่แหบแห้ง... แต่กลับทรงพลังพอที่จะทำให้ทุกคนต้องหันไปมอง
"ยอดเยี่ยม... ยอดเยี่ยมมาก" เขากล่าวชื่นชม "พวกท่าน... ด็อกเตอร์รุ่นใหม่... ช่างหลักแหลมและเฉียบคมจริงๆ ทั้งทฤษฎีเอนโทรปีของ ดร. อันยา... และทฤษฎีระบบนิเวศทางจิตของ ดร. โคริน... ทั้งหมดล้วนแต่ไร้ที่ติ... ในทางทฤษฎี"
เขาหยุด... แววตาของเขากวาดมองไปที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองคน "แต่พวกท่าน... กำลังวิเคราะห์ 'ผู้ป่วย' ผิดคน"
"ผู้ป่วยที่แท้จริง... ไม่ใช่ทีมสำรวจของลีน่า... แต่คือ ดุษฎีนคร ของเราต่างหาก!"
"ท่าน ดร. โคริน... ท่านพูดถึง 'ภูมิคุ้มกันทางจิต' ที่เราสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ" วาเลริอุสกล่าวต่อ "แต่ท่านเคยได้ยินเรื่อง 'ทฤษฎีสุขอนามัยที่มากเกินไป' (Hygiene Hypothesis) หรือไม่? มันคือทฤษฎีที่ว่าด้วยระบบภูมิคุ้มกันที่ถูก 'ปกป้อง' มากเกินไปจนไม่เคยเจอกับเชื้อโรคจริงๆ... สุดท้ายแล้วมันก็จะอ่อนแอลง... และเริ่ม 'โจมตีตัวเอง'... มันคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับนครของเรา! เราสร้างสังคมที่ปลอดเชื้อทางความคิด... จนกระทั่งพลเมืองของเราสูญเสียความสามารถในการรับมือกับ 'ความจริง' ที่ไม่ตรงกับตำราไปแล้ว!"
" 'ความจริง' ที่ลีน่านำกลับมา... อาจจะเป็น 'ไวรัส' อย่างที่ท่านว่า... การกักกัน' ไม่ใช่การรักษา! มันเป็นแค่การประวิงเวลา! การรักษาที่แท้จริงคือการสร้าง 'วัคซีน'... คือการค่อยๆ นำ 'ความจริง' ที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลงแล้ว... เข้ามาสู่ระบบ... เพื่อให้สังคมของเราได้สร้าง 'ภูมิคุ้มกันทางปัญญา' (Intellectual Antibodies) ขึ้นมาด้วยตัวเอง! เพื่อให้เราแข็งแกร่งขึ้น! ไม่ใช่เปราะบางลง!"
เขาหันไปทาง ดร. อันยา "และท่าน ดร. อันยา... 'ระบบปิด' ของท่าน... มันก็มีจุดบกพร่องที่ร้ายแรงที่สุดอยู่... คือท่านลืมไปว่า... ระบบของเรามันไม่ได้ปิดอย่างสมบูรณ์แบบ... มันต้องการ 'พลังงาน' จากภายนอกเพื่อดำรงอยู่!"
"เตาปฏิกรณ์ของเราต้องใช้แร่ยูเรเนียมที่ขุดมาจากใต้ดิน... เครื่องรีไซเคิลของเรามีประสิทธิภาพ 99.9%... แต่การสูญเสีย 0.1% ที่สะสมมาตลอดสามร้อยปีมันไม่ได้หายไปไหน! เรากำลัง 'กิน' ดาวเคราะห์ดวงนี้... และในขณะเดียวกัน... เราก็กำลัง 'กิน' ตัวเองอย่างช้าๆ!"
" 'เสถียรภาพ' ที่ท่านพูดถึง... มันคือเสถียรภาพของดวงดาวที่เชื้อเพลิงใกล้จะหมด... มันคือการล่มสลายอย่างช้าๆ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้! 'ตัวแปรแห่งความโกลาหล' ที่ท่านหวาดกลัว... โลกภายนอก... การสำรวจ... มันไม่ใช่ภัยคุกคาม! แต่มันคือ 'ความหวัง' เดียวของเรา! คือแหล่งพลังงานใหม่... คือทรัพยากรใหม่... คือข้อมูลใหม่... คือสิ่งเดียวที่จะย้อนกลับกระบวนการเอนโทรปีที่กำลังจะฆ่าเราทุกคนได้!"
..."การอยู่รอดที่แท้จริง... ไม่ได้มาจากการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง... แต่มันมาจากการ 'ปรับตัว' ให้เข้ากับความเสี่ยงต่างหาก!"
วาทศิลป์ที่ทรงพลังของวาเลริอุสได้สั่นคลอนรากฐานทางความคิดของสภาสูงอย่างรุนแรง... ทฤษฎีที่เคยดูสมบูรณ์แบบของฝ่าย ดร. เอริส บัดนี้กลับเต็มไปด้วยช่องโหว่ทางปรัชญาที่วาเลริอุสได้ชี้ให้เห็น... ความแน่นอนที่เคยมีอยู่... บัดนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยความลังเล
ดร. เอริส ยืนนิ่งอยู่บนโพเดียม... เขารู้ดีว่าเขากำลังจะพ่ายแพ้ในสมรภูมินี้... แต่เขายังมีไพ่ใบสุดท้าย... ไพ่ที่ไม่ได้มีไว้เพื่อ "โน้มน้าว"... แต่มีไว้เพื่อ "ทำลาย"
"ท่านสภาสูงวาเลริอุสช่างพูดได้น่าประทับใจ" เอริสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา "วาทศิลป์ของท่านช่างงดงาม... แต่ทั้งหมดนั่น... ก็เป็นเพียง 'ทฤษฎี' ที่ว่างเปล่า... ในขณะที่กระผม... มี 'หลักฐาน' ที่จับต้องได้... หลักฐานที่มาจากปากของอดีตผู้บัญชาการโชติรสเอง"
เขาสั่งการไปที่คอนโซล... และภาพโฮโลแกรมของลีน่าก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง... แต่คราวนี้... มันคือเสียงที่ถูกบันทึกไว้จากการสื่อสารครั้งสุดท้าย
[เสียงซ่า]... 'เราถูกล้อม!... ไม่ทราบจำนวน!... มัน... พระเจ้า... มันใหญ่มาก!' [เสียงกรีดร้อง] 'ถอย! ถอยไปที่ถ้ำ! สัญญาณกำลังจะขาดแล้ว! เควิน! ถ้าเราไม่รอด... จงส่งข้อมูลทั้งหมดกลับไปที่...' [เสียงขาดหายไป]
มันคือเสียงบันทึกที่ถูกตัดต่อมาอย่างจงใจ... นำเสนอเฉพาะช่วงเวลาที่ลีน่าดูตื่นตระหนกและสิ้นหวังที่สุด...
"นี่คือ 'ความกล้าหาญ' ที่ท่านวาเลริอุสพูดถึงรึ" เอริสกล่าว "นี่คือ 'การปรับตัว' งั้นรึ? ไม่เลย... นี่คือเสียงของความล้มเหลว... คือเสียงของคนที่รู้ตัวว่าตัวเองได้นำพาลูกทีมไปสู่ความตาย! เราจะเอาอนาคตของนครไปฝากไว้กับคนที่ตัดสินใจผิดพลาดและเต็มไปด้วยอารมณ์แบบนี้ได้อย่างไร!"
มันคือการโจมตีที่โหดร้ายและได้ผลชะงัด! การใช้คำพูดของลีน่าเองมาเป็นอาวุธทำลายความน่าเชื่อถือของเธอ!
วาเลริอุสหน้าซีดเผือด... เขาโกรธจนตัวสั่น...
"เจ้า... เจ้ามันคนขี้ขลาด..." เขากระซิบออกมา "เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้คำพูดสุดท้ายของวีรบุรุษมาบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง!"
กระผมไม่ได้บิดเบือน" เอริสตอบ "กระผมแค่กำลังนำเสนอ 'ข้อมูล' ที่เกิดขึ้นจริง... ท่านต่างหาก... ที่กำลังปล่อยให้ 'ความรู้สึกส่วนตัว' มาบดบังการตัดสินใจ"
วาเลริอุสหลับตาลง... เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถสู้กับเล่ห์เหลี่ยมของเอริสได้อีกต่อไปแล้ว...
"พอได้แล้ว" ประธานสภากล่าวขึ้น "การถกเถียงได้สิ้นสุดลงแล้ว... สภาสูง... ได้เวลาลงมติใน 'ญัตติผนึกนคร' แล้ว"
ความเงียบที่น่าสะพรึงกลัวเข้าปกคลุมไปทั่วห้องประชุม... สมาชิกสภาแต่ละคนต่างจ้องมองไปยังแป้นลงคะแนนที่อยู่เบื้องหน้าของตนเอง... มันคือการตัดสินใจที่หนักอึ้งที่สุด... ระหว่าง "ความปลอดภัย" ที่น่าอึดอัด... กับ "อิสรภาพ" ที่อันตราย...
วาเลริอุส... กด "ไม่เห็นด้วย"
ดร. เอริส, ดร. อันยา, ดร. โคริน... กด "เห็นด้วย"
ผลคะแนนค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนจอภาพหลัก... 6 ต่อ 6...
เหลือเพียงเสียงสุดท้าย... คือเสียงของประธานสภาเอง...
เวลาผ่านไปราวกับชั่วนิรันดร์... ก่อนที่คะแนนสุดท้ายจะปรากฏขึ้น...
"ไม่เห็นด้วย"
ผลการลงมติ: ไม่เห็นด้วย 7 เสียง... เห็นด้วย 6 เสียง...
...ญัตติผนึกนคร... ถูกตีตกไป...
วาเลริอุสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก... แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีใจ... มันคือชัยชนะที่ฉิวเฉียด... และเต็มไปด้วยรอยร้าว
ดร. เอริส ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา... เขาเพียงแค่ปรับแว่นของตัวเอง... แล้วโค้งคำนับให้สภาอย่างสง่างาม... แต่แววตาที่อยู่หลังเลนส์นั้น... มันเต็มไปด้วยความเย็นชาและอาฆาต...
"เมื่อเป็นเช่นนั้น" ประธานสภากล่าว "ในเมื่อญัตติถูกตีตกไป... สภาสูงจึงมีคำสั่งให้จัดตั้ง 'ภารกิจค้นหาและกู้ภัย' เพื่อตรวจสอบชะตากรรมของทีมสำรวจอัลฟ่าโดยทันที"

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.