บทที่ 33: ก้าวแรกสู่โลกภายนอก
เสียงกลไกที่หนักอึ้งและฝืดเฝือของประตูเมืองที่ไม่ได้ถูกใช้งานมานานนับศตวรรษค่อยๆ เงียบลง... ทิ้งไว้เพียงช่องว่างขนาดมหึมาที่เปิดออกสู่โลกภายนอก... และความเงียบงันที่เข้าครอบงำทีมสำรวจทั้งห้าคนรวมถึงฝูงชนนับพันที่ยืนมองอยู่เบื้องหลัง
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า... ไม่ใช่ดินแดนรกร้างสีน้ำตาลแดงที่แห้งแล้งอย่างที่แผนที่โบราณได้ระบุไว้ มันคือ... ป่า
มันคือมหาสมุทรสีเขียวที่แผ่ขยายไปสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้สูงใหญ่ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนแผ่กิ่งก้านสาขาราวกับต้องการจะโอบกอดท้องฟ้า ทุ่งหญ้าสูงท่วมเอวพลิ้วไหวไปตามสายลมเหมือนคลื่นในทะเล และ... กลิ่น...
กลิ่นของดินที่เปียกชื้น, กลิ่นของเกสรดอกไม้ป่า, กลิ่นของใบไม้ที่เน่าเปื่อย... มันคือกลิ่นของ "ชีวิต" ที่แท้จริง กลิ่นที่ทรงพลังและซับซ้อนจนประสาทรับกลิ่นของชาวดุษฎีนครที่ไม่เคยเจอกับอะไรนอกจากอากาศที่ผ่านการกรองมาทั้งชีวิตถึงกับประมวลผลไม่ถูก
"นี่มัน..." ดร. เอลารา นักธรณีวิทยา พึมพำออกมาเป็นคนแรก เธอทรุดตัวลงคุกเข่าที่ปากประตูอย่างลืมตัว มือของเธอแตะลงบนพื้นคอนกรีตของเมือง แต่สายตากลับจ้องมองไปยังผืนดินเบื้องหน้า "เป็นไปไม่ได้... ธรรมชาติฟื้นตัวได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?"
สำหรับดวงตาที่คุ้นเคยกับเส้นสายที่เที่ยงตรงและสมบูรณ์แบบของเมือง ที่นี่คือความโกลาหลที่งดงามที่สุด แต่สำหรับประสาทสัมผัสของบางคน มันคือการถูกจู่โจมอย่างรุนแรง
"เสียง..." โอไรออนกระซิบ เขาต้องลดระดับความไวของเซ็นเซอร์ในหูฟังลงจนเกือบจะต่ำสุด "มัน... ดังมาก... เสียงลม... เสียงใบไม้... เสียงแมลง... มันคือเสียงที่ไม่มีโน้ตที่แน่นอน มัน... วุ่นวาย... แต่มันก็... มีชีวิต"
ในขณะที่ทุกคนกำลังยืนตะลึงงัน มีเพียงคนเดียวที่เคลื่อนไหวราวกับถูกมนต์สะกด...
ดร. ศิลา ก้าวเท้าออกจากรถแรคคูนเป็นคนแรก เขาเดินช้าๆ ผ่านธรณีประตูออกไป และทันทีที่เท้าของเขาสัมผัสกับพื้นหญ้า เขาก็ทรุดตัวลงคุกเข่า เขาใช้มือเปล่าสัมผัสกับพื้นดินอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่ามันจะสลายไป จากนั้นเขาก็ค่อยๆ กำดินที่ร่วนซุยขึ้นมา... ดมกลิ่นของมัน... และน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเขาอย่างเงียบๆ
"ดินจริงๆ..." เขากระซิบกับตัวเอง "นี่คือดินจริงๆ" สำหรับเขาแล้ว นี่คือการเดินทางกลับบ้าน... การได้พบกับพระเจ้าที่แท้จริงที่เขาเคยเห็นแต่ในตำราเรียน
ไลราเดินตามลงมาอย่างช้าๆ เธอถอดรองเท้าออกแล้วปล่อยให้เท้าเปล่าของเธอสัมผัสกับผืนหญ้าที่เย็นชื้น "แรงสั่นสะเทือน..." เธอบอกกับทุกคน "มันแตกต่าง... ฉันรู้สึกถึงรากไม้ที่ชอนไชอยู่ข้างใต้... รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่กำลังเคลื่อนไหว... โลกที่นี่... มันไม่ได้ตาย"
มีเพียง ดร. เร็กซ์ ที่ไม่ได้แสดงความพิศวงออกมา สัญชาตญาณทหารของเขากำลังทำงานในระดับสูงสุด เขาก้าวออกไปยืนข้างหน้าทีมเป็นแนวป้องกัน ดวงตาของเขากวาดมองไปตามแนวป่าอย่างระแวดระวัง "ป่าทึบแบบนี้เหมาะกับการซุ่มโจมตีที่สุด" เขาพึมพำกับตัวเอง
ลีน่าในฐานะผู้นำ ดึงสติของตัวเองกลับมาเป็นคนแรก เธอก้าวข้ามธรณีประตูออกไปยืนอยู่บนโลกใบใหม่ ความรู้สึกแรกที่ปะทะตัวเธอคือสายลม... สายลมที่แท้จริงที่พัดมาโดนผิวของเธอ มันไม่ได้ถูกควบคุมอุณหภูมิและความเร็ว มันทั้งเย็นและอบอุ่นในคราวเดียวกัน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รับเอากลิ่นของโลกใหม่เข้ามาเต็มปอด มันคือภาพที่สวยงาม... และน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน
เธอไม่ได้กำลังมองแค่ป่า... แต่กำลังมองไปยังความไม่แน่นอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
"เควิน... เริ่มการสแกนสภาพแวดล้อมเบื้องต้น" เธอออกคำสั่งแรกด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะให้มั่นคงที่สุด "รายงานทุกอย่างที่ผิดปกติ"
เสียงของลีน่าคือสมอเรือที่ดึงสติของทุกคนกลับมาจากภวังค์แห่งความตกตะลึง ทีมสำรวจที่เคยยืนนิ่งราวกับถูกสาป บัดนี้ได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง แต่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวอย่างรีบร้อนเพื่อเดินทางต่อ แต่เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและเปี่ยมด้วยความยำเกรง ราวกับนักบวชที่กำลังย่างเท้าเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก
"ผมเห็นในสิ่งที่พวกคุณเห็น ลีน่า" เสียงของเควินดังมาจากลำโพงในชุดของเธอ "แต่ข้อมูลจากเซ็นเซอร์มันขัดแย้งกับทุกอย่างที่เราระบุไว้ในฐานข้อมูล... ความชื้นในอากาศ, ระดับออกซิเจน, ความหลากหลายทางชีวภาพ... มันเหมือนกับว่า... โลกได้รีเซ็ตตัวเองตลอดช่วงเวลาสามร้อยกว่าปีที่เราขังตัวเองอยู่ข้างใน"
สามร้อยกว่าปี... คำพูดนั้นตอกย้ำถึงกาลเวลาที่ยาวนานจนแทบจะจินตนาการไม่ถึง
ดร. เอลารา คือคนแรกที่เริ่มทำงานตามสัญชาตญาณนักวิทยาศาสตร์ เธอดึงเครื่องสแกนธรณีวิทยาแบบพกพาออกมาจากชุดของเธอ และเริ่มสแกนพื้นดินเบื้องหน้า "เหลือเชื่อ..." เธอกระซิบขณะจ้องมองข้อมูลที่ปรากฏขึ้น "องค์ประกอบของดินมีความซับซ้อนทางชีวภาพสูงมาก มีจุลินทรีย์หลายสายพันธุ์ที่ไม่มีอยู่ในฐานข้อมูลของเราเลย... 'ดินแดนรกร้าง' ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์... มันคือเรื่องโกหกทั้งเพ"
แต่สำหรับ ดร. ศิลา เขาไม่ต้องการเครื่องมือใดๆ มายืนยันความจริงที่อยู่ตรงหน้า เขาใช้เวลาเกือบสิบนาทีเต็มคุกเข่าอยู่บนพื้นดิน ใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับรากหญ้าเล็กๆ อย่างทะนุถนอม เขาคือผู้ที่เชื่อมต่อกับโลกใบนี้ด้วยหัวใจ ไม่ใช่ด้วยข้อมูล
ส่วน ดร. เร็กซ์ สัญชาตญาณทหารของเขายังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ได้สนใจความงดงามของธรรมชาติ แต่กลับเดินสำรวจซากปรักหักพังของอารยธรรมเก่าที่อยู่ใกล้ๆ กำแพงเมือง... ซากทางด่วนที่ถูกเถาวัลย์ปกคลุมจนหมดสิ้น, โครงเหล็กของตึกระฟ้าในอดีตที่ตอนนี้กลายเป็นบ้านของนกนานาชนิด มันคือภาพที่ตอกย้ำว่าอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็สามารถล่มสลายและถูกธรรมชาติกลืนกินได้
พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสำรวจพื้นที่รอบๆ กำแพงเมืองอย่างระมัดระวัง มันคือการเรียนรู้โลกใบใหม่ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า โอไรออนบันทึกเสียงร้องของนกที่ไม่รู้จัก ไลราบอกถึงความแตกต่างของแรงสั่นสะเทือนระหว่างพื้นดินกับพื้นหิน ศิลาเก็บตัวอย่างดอกไม้ป่าที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนด้วยความตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ พวกเขาคือเด็กทารกที่เพิ่งจะได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง
จนกระทั่ง...
"ดร. โชติรส! มาดูนี่!" เสียงของ ดร. เร็กซ์ ดังขึ้น เขายืนอยู่ข้างๆ สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่น่าจะอยู่ตรงนั้นได้... ทางเดิน
มันไม่ใช่ทางด่วนที่พังทลาย แต่เป็นทางเดินดินที่ถูกบดอัดจนแน่นจากการใช้งานซ้ำๆ... และที่สำคัญที่สุดคือ... มันมีรอยเท้า... รอยเท้าของมนุษย์ที่ยังใหม่มาก
"มีคนอยู่ที่นี่" เร็กซ์พูดเสียงเรียบ "และพวกเขาเดินทางเป็นกลุ่ม"
หัวใจของทุกคนเต้นแรง พวกเขาเดินตามทางนั้นไปอย่างระมัดระวัง... จนกระทั่งไปพบกับ "มัน"
มันคือเสาหินขนาดใหญ่ที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายประหลาดที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน มันไม่ใช่ภาษา... ไม่ใช่สัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์... แต่มันคือศิลปะ... ศิลปะที่ดูโบราณแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเข้าใจในรูปแบบทางเรขาคณิตอย่างน่าทึ่ง
ไลราเดินเข้าไปใกล้ๆ
เธอยื่นมือออกไปสัมผัสกับผิวหินที่เย็นเฉียบ "สัมผัสของมัน..." เธอกระซิบ "มัน... เก่าแก่... แต่รอยสลักพวกนี้... มันถูกสลักทับกันมาหลายชั่วอายุคน... ... ฉันรู้สึกถึงบางอย่าง... รูปแบบข้อมูลที่แปลกประหลาด... มันไม่ใช่ดิจิทัล... แต่เป็น... อะไรสักอย่างที่คล้ายกัน"
"เควิน สแกน!" ลีน่าสั่ง
"กำลังสแกน... ผลออกมาแล้ว" เสียงของเควินเต็มไปด้วยความสับสน "องค์ประกอบของหินเป็นหินแกรนิตธรรมดา แต่... มีแร่ธาตุบางชนิดปะปนอยู่ในปริมาณที่เข้มข้นผิดปกติ... แร่ธาตุที่สามารถ... 'บันทึก' คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอ่อนๆ เอาไว้ได้... เหมือนฮาร์ดไดรฟ์ตามธรรมชาติ"
โอไรออนขมวดคิ้ว "ผมก็ได้ยิน... เสียงฮัมเบาๆ... เสียงที่เก่าแก่ยิ่งกว่าสัญญาณที่เราตามมาเสียอีก... มันถูก 'บันทึก' ไว้ในหินก้อนนี้"
คำพูดของโอไรออนและเควินเปลี่ยนทุกอย่าง มันยกระดับการค้นพบของพวกเขาจากแค่การเจออารยธรรมที่รอดชีวิต กลายเป็นการเผชิญหน้ากับเทคโนโลยีในรูปแบบที่พวกเขาไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน
"หมายความว่ายังไง... 'บันทึก'?" ดร. เร็กซ์ ถามขึ้นอย่างไม่ไว้ใจ เขาเดินเข้ามาใกล้เสาหินมากขึ้น แต่ยังคงรักษาระยะห่างอย่างระมัดระวัง "มันเป็นแคก้อนหินไม่ใช่เหรอ?"
"ไม่ใช่แค่ก้อนหินครับ" เสียงของเควินอธิบายผ่านเครื่องสื่อสาร "จากผลสแกนแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติทางแม่เหล็กไฟฟ้า... มันทำหน้าที่คล้ายกับเทปบันทึกเสียงในยุคโบราณ แต่แทนที่จะบันทึกเสียง มันกลับบันทึก 'รูปแบบความคิด' หรือ 'เจตจำนง' ของผู้ที่มาสัมผัสมันเอาไว้... มันคือพงศาวดารที่มีชีวิต"
ลีน่ายืนนิ่ง เธอจ้องมองไปยังทางเดินดินที่ทอดยาวหายเข้าไปในป่า แล้วหันกลับมามองเสาหินตรงหน้า "คนพวกนั้น... คนที่ทิ้งรอยเท้าไว้... พวกเขาสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา"
"หรือบางที... พวกเขาอาจจะแค่เรียนรู้วิธีที่จะ 'อ่าน' มันก็ได้ค่ะ" ไลราพูดเสริม เธอค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เสาหินอีกครั้ง "ฉันอยากจะลอง... อีกสักครั้ง"
ครั้งนี้เธอไม่ได้เข้าไปคนเดียว โอไรออนเดินไปยืนอยู่ข้างๆ เธอ ในขณะที่ลีน่าและทีมที่เหลือสร้างวงล้อมป้องกันอยู่ห่างๆ
"เราจะทำไปด้วยกัน" โอไรออนกล่าว เขาหลับตาลงเพื่อเตรียม "ฟัง" ในขณะที่ไลราวางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนผิวหินที่เย็นเฉียบอีกครั้ง
"ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป" ไลรากระซิบออกมาหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง "ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกได้แค่พื้นผิว... แต่ตอนนี้ที่ฉันรู้ว่าต้องมองหาอะไร... ฉันสัมผัสได้ถึง 'ชั้น' ของข้อมูลที่ซ้อนทับกันอยู่ข้างใน... มันเหมือน... วงปีของต้นไม้ แต่ละชั้นคือความทรงจำของคนแต่ละยุคสมัยที่มาสัมผัสมัน... มันเต็มไปด้วยความรู้สึก... ความหวัง... ความกลัว... และการรอคอย"
"ผมก็ได้ยินเหมือนกัน" โอไรออนเสริม "เสียงฮัมมันไม่ได้เป็นแค่เสียงเดียว แต่มันคือเสียงประสานของความทรงจำนับพันที่ถูกเล่นพร้อมกันอย่างแผ่วเบา... แต่มีเสียงหนึ่ง... ที่ดังและชัดเจนที่สุด... เสียงของคนที่เพิ่งจะมาที่นี่ล่าสุด"
ทั้งสองคนนิ่งไปครู่ใหญ่... พวกเขากำลังร่วมมือกัน "ถอดรหัส" ความทรงจำนั้น
แล้วไลราก็ลืมตาขึ้น... "ฉันเห็น... ไม่สิ... ฉัน 'รู้สึก' ถึงภาพจางๆ" เธอบรรยาย "เป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่ง... เธอกำลังวางมือลงบนหินก้อนนี้เหมือนกับฉัน... ในใจของเธอเต็มไปด้วยความกังวล... เธอกำลังสวดภาวนา... ไม่ใช่ต่อพระเจ้า... แต่เป็นการส่งข้อความถึง 'พี่น้องที่หลับใหล' ขอให้พวกเขาตื่นขึ้นมาช่วยเหลือ... เพราะมี 'เสียงกระซิบ' ที่น่ากลัวกำลังคืบคลานเข้ามาในป่า"
"สัญญาณที่เราได้รับ..." ลีน่าพึมพำออกมา "มันคือคำสวดภาวนาของเธอนั่นเอง"
ความจริงข้อนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกทึ่งและสะเทือนใจในเวลาเดียวกัน พวกเขาไม่ได้กำลังตามหาสัญญาณขอความช่วยเหลือทางเทคนิค แต่กำลังตอบรับคำวิงวอนที่ถูกส่งผ่านมาด้วยศรัทธาและความหวัง
"เราต้องไป" ลีน่าตัดสินใจอย่างเด็ดขาด "พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากเราจริงๆ"
พวกเขาเดินทางกลับมาที่รถแรคคูน การค้นพบครั้งนี้ได้มอบ "เป้าหมาย" ที่ชัดเจนและมีความหมายยิ่งกว่าเดิมให้กับการเดินทางของพวกเขาแล้ว มันไม่ใช่แค่การสำรวจอีกต่อไป แต่มันคือภารกิจแห่งการช่วยเหลือ
รถแรคคูนเริ่มเคลื่อนตัวออกจากกำแพงเมืองเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ตีนตะขาบของมันบดขยี้พื้นดินของโลกภายนอก ทิ้งร่องรอยแรกของอารยธรรมดุษฎีนครไว้บนผืนดินที่บริสุทธิ์... มันเคลื่อนตัวไปตามทางเดินดินเส้นเล็กๆ นั้นอย่างช้าๆ... มุ่งหน้าสู่ใจกลางของป่าที่รกทึบและปริศนาที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า
การเดินทาง... ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


แสดงความคิดเห็น