บทที่ 401: ทั้งคู่หมดสติ
“มันกำลังปกป้องนายท่านอยู่หรือ?” ซั่วเยว่เหม่อมองแสงสีแดงที่ห่อหุ้มร่างของเซียวถังอี้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พยักหน้า “ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น…”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นแสงสีแดงปริศนาส่องสว่างออกมาจากตัวของผู้เป็นนาย จนกระทั่งตอนนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกประหลาดใด ๆ เลย
“ถูกต้อง” อวี้เซิ่งพยักหน้า “เจ้าก็รู้ดีว่าองค์หญิงหกไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป บางทีนางคงจะใช้วิธีพิเศษบางอย่างช่วยเจ้านายของเจ้าเอาไว้ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้านายของเจ้าเป็นเช่นนี้”
“สำหรับเหตุผลที่เฉพาะเจาะจง ข้าเกรงว่ามันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาจะล่วงรู้ได้”
อวี้เซิ่งเป็นคนที่มองสิ่งใดก็ทะลุปรุโปร่ง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่มู่เทียนฉงรู้สึกไว้วางใจทุกครั้งที่มีเขาอยู่ข้างกาย
“เป็นข้าน้อยที่ตื่นตระหนกเกินไป” ซั่วเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นักฆ่าหนุ่มตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินไปนั่งลงที่โต๊ะด้านข้างเตียง “เจ้าเฝ้าเขามาเกือบทั้งคืนแล้ว เจ้าออกไปพักผ่อนเถอะ”
“ไม่จำเป็นขอรับ” ซั่วเยว่ปฏิเสธออกไปทันควัน “ข้าน้อยยังไหว”
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าหวานเช่นนี้ เขาไม่ไว้ใจใครนอกจากตัวเขาเอง ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นอวี้เซิ่งก็ตาม
เมื่อนักฆ่าหนุ่มเห็นสีหน้ากังวลขององครักษ์เงา เขาก็ไม่ได้รู้สึกอารมณ์เสีย ถัดมาเขาหยิบไหสุราออกมาจากที่ใดสักแห่งแล้วยกขึ้นจิบเบา ๆ “ถ้าเจ้ายังกังวลอยู่ก็ไปนอนพักรอด้านนอกสักหน่อยเถอะ”
“ถ้าอยู่ด้านนอกมันก็ไม่ไกลจากที่นี่มาก เจ้าคงจะสัมผัสทุกความเคลื่อนไหวได้ใช่หรือไม่”
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะทนอดนอนอยู่ได้ทั้งคืน แต่พรุ่งนี้ล่ะเจ้าจะทำอย่างไร?”
“องค์หญิงหกได้บอกไปแล้วว่านายท่านของเจ้าจะไม่เป็นไร แต่นางแค่ไม่ได้บอกว่าเขาจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือว่าเจ้าจะคอยจับตาดูเขาอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ?”
ซั่วเยว่ที่ได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออกเล็กน้อย
“เจ้ารีบไปเถอะ” อวี้เซิ่งโบกมือไล่อย่างหมดความอดทนและพูดเร่งเร้าอีกฝ่าย “ไม่ต้องกังวล นายท่านของเจ้ากับข้าไม่ได้มีความแค้นฝังลึกต่อกัน ข้าไม่มีทางโจมตีเขาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้หรอก”
ซั่วเยว่รู้ว่าอวี้เซิ่งกับเซียวถังอี้เป็นสหายกันมานาน
แต่เนื่องจากสถานะก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายในฐานะนักฆ่าอันดับ 1 เขาก็ยังไม่อาจวางใจได้อยู่ดี
แต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่นักฆ่าหนุ่มพูดนั้นถูกต้อง
องครักษ์หนุ่มยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วเขาก็พยักหน้ารับ “เช่นนั้นข้าน้อยขอรบกวนฝากท่านดูแลนายท่านเป็นการชั่วคราว ข้าน้อยจะออกไปรออยู่ด้านนอก หากท่านต้องการความช่วยเหลือก็เรียกข้าน้อยได้ตลอดเวลา”
หลังจากพูดจบซั่วเยว่ก็หันหลังเดินออกไปเอนตัวลงนอนบนตั่งที่ตั้งอยู่ด้านหน้าแล้วหลับตาพักผ่อน
ทันทีที่องครักษ์เงาออกไปจากห้อง อวี้เซิ่งก็เปลี่ยนกลายเป็นคนที่ดูหยาบคายมากขึ้น เขามองสำรวจทั่วร่างของเซียวถังอี้พลางพึมพำว่า “เป็นภาพที่หาได้ยากจริง ๆ… หาได้ยากมาก…”
“ให้ตายสิ องค์หญิงหก นี่พระองค์ทำอะไรลงไปกันแน่?”
“นอกจากพระองค์จะพาเซียวถังอี้กลับมาจากปรโลกแล้ว พระองค์ยังมอบชีวิตใหม่ให้กับเขาด้วย”
เป็นเรื่องปกติที่ชายหนุ่มซึ่งยังหมดสติจะไม่ได้ยินคำพูดของอวี้เซิ่ง ในเวลานี้จิตใต้สำนึกของเขาดูเหมือนจะถูกดึงเข้าสู่ความโกลาหล
เขารู้สึกราง ๆ ว่าพิษในร่างกายของเขากำลังจางหายไป และมีบางอย่างเข้ามาแทนที่
แต่พอเซียวถังอี้สำรวจอย่างละเอียด สมองของเขาก็ว่างเปล่า
ขณะเดียวกัน ในอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ยามนี้ใบหน้าของเจียงเหยาเคร่งเครียดในขณะที่นางมองผ้าพันแผลบนแขนของมู่ไป๋ไป่ที่ยังคงชุ่มไปด้วยเลือด
เซียวถังถังที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงเช่นกัน “ไป๋ไป่ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมท่านถึงไม่บอกเรา?”
หลัวเซียวเซียวเองก็ขมวดคิ้วแน่น “ก่อนหน้านี้ตอนที่หม่อมฉันเห็นแขนขององค์หญิง ตอนนั้นมันยังอยู่ในสภาพดีอยู่เลย”
“คืนนี้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น…”
พอพูดถึงเรื่องนี้นางก็ดูเหมือนหายใจติดขัด
“เกิดอะไรขึ้น?” เซียวถังถังเห็นท่าทางแปลกประหลาดของหลัวเซียวเซียว นางจึงรีบเข้าไปถามอีกฝ่าย “เซียวเซียว เจ้าจำตอนที่ไป๋ไป่ได้รับบาดแผลพวกนี้มาได้หรือไม่?”
หลัวเซียวเซียวเหลือบมองท่านเจ้าหุบเขาเจียงด้วยสายตาซับซ้อนแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อไป
พอเซียวถังถังเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ตอบ นางก็ยิ่งเป็นกังวลและอยากจะจี้ถามมากยิ่งขึ้น แต่เจียงเหยาก็ขัดจังหวะนางไว้ก่อน “เงียบ! ตอนนี้ร่างกายของไป๋ไป่อ่อนแอมาก นางจำเป็นต้องพักผ่อน”
เซียวถังถังรีบหุบปากอย่างรวดเร็ว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็ลดเสียงลงพูดว่า “ท่านอาจารย์ ในตอนที่ไป๋ไป่ออกมาจากห้องของจวงอี้หรานเมื่อกี้นี้ ที่ใบหน้าของนางซีดมากนั่นก็เพราะเสียเลือดมากเกินไปใช่หรือไม่?”
เจียงเหยาพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ช้าก่อน… จวงอี้หราน…” หญิงสาวเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ไม่ว่าสมองของนางจะเชื่องช้ามากเพียงใดก็ตาม “ไอ้สารเลวจวงอี้หรานเป็นคนทำให้ไป๋ไป่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“ท่านไม่ได้บอกว่าไอ้สารเลวนั่นหมดสติไปแล้วหรือ ทำไมทั้งที่หมดสติไปแล้ว เขาถึงยังทำร้ายไป๋ไป่ได้อีก?”
“ไอ้คนเนรคุณ ข้าจะไปชำระแค้นให้กับไป๋ไป่!”
ในระหว่างที่เซียวถังถังพูด นางก็สาวเท้าตรงไปที่ห้องของชายคนนั้นด้วยความโมโห
“ท่านหญิง ไม่ใช่แบบนั้นเพคะ!” หลัวเซียวเซียวตกใจกับความหุนหันพลันแล่นของอีกฝ่ายจึงรีบไปขวางนางเอาไว้ “องค์หญิงน่าจะเป็นคนสร้างบาดแผลนี้ด้วยตัวเอง”
“ทำตัวเอง?” เซียวถังถังหยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามาขวางทางตน “เซียวเซียว เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?”
“เหตุใดไป๋ไป่จึงต้องทำให้ตัวเองบาดเจ็บด้วยล่ะ? นางไม่ได้โง่สักหน่อย เจ้าอย่ามาโกหกข้า”
“หม่อมฉันไม่ได้โกหกท่าน” หลัวเซียวเซียวถอนหายใจแล้วชี้ไปที่มือของมู่ไป๋ไป่ก่อนจะพูดว่า “ดูสิเพคะ บาดแผลขององค์หญิงอยู่ที่แขนซ้าย”
“ถ้าจอมยุทธ์จวงโจมตีองค์หญิง มันก็เป็นไปไม่ได้ที่บาดแผลนั้นจะเกิดขึ้นที่แขนเพียงข้างเดียว”
“ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาจากท่าทางขององค์หญิงเมื่อครู่นี้ บาดแผลพวกนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการล้างพิษในร่างกายของจอมยุทธ์จวง”
เมื่อมาถึงจุดนี้ เซียวถังถังก็ดูเหมือนจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น
“ดังนั้นวิธีการที่ไป๋ไป่พูดถึงก่อนหน้านี้ก็คือการใช้เลือดของนางเอง…” หญิงสาวคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แล้วนางก็กัดริมฝีปากตัวเองในขณะที่ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ “เพราะเหตุใดไป๋ไป่ถึงทำเช่นนี้?”
“นางเพียงแค่บังเอิญพบจวงอี้หรานเพียงเท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมให้ไป๋ไป่ตรวจชีพจรของเขาด้วยซ้ำ”
“ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วไป๋ไป่จะไม่ออกหน้าช่วยเขา แต่เขาก็โทษนางไม่ได้อยู่ดี มันไม่มีเหตุผลเลยที่ไป๋ไป่จะทำเช่นนี้…”
“เอาล่ะ เลิกพูดได้แล้ว” เจียงเหยาพูดขัดจังหวะเสียงพึมพำกับตัวเองของลูกศิษย์ หากพูดถึงเรื่องความเสียใจ นางเองก็รู้สึกไม่สบายใจไม่น้อยไปกว่าคนอื่น ๆ
ความจริงพอนางเห็นลูกศิษย์คนโตอยู่ในสภาพนี้ นางก็รู้สึกผิดไม่น้อย
มู่ไป๋ไป่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นเป่ยหลง
บางทีนางไม่ควรสอนไป๋ไป่ให้ทำตามกฎของหุบเขาหมอเทวดาอย่างเข้มงวดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
หากไป๋ไป่ไม่เอาแต่ยึดมั่นทำตามกฎของหุบเขาหมอเทวดา นางคงไม่เลือกทำร้ายตัวเองเพื่อช่วยชีวิตคนอื่นแบบนี้
พอเจียงเหยาคิดถึงเรื่องดังกล่าว นางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะไปต้มยาให้ไป๋ไป่ หลังจากนางกินยาแล้ว นางก็จะดีขึ้น” หมอสาวพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถังถัง เจ้าไปที่ห้องของข้าแล้วเอายามาให้ข้า จากนั้นเจ้าก็มาพันแผลให้ไป๋ไป่ใหม่”
เซียวถังถังพยักหน้าซ้ำ ๆ จนผมกระจายแล้วรีบวิ่งออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ท่านเจ้าหุบเขา ท่านคิดจะแจ้งองค์ชายรองเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บขององค์หญิงหรือไม่เจ้าคะ?” หลัวเซียวเซียวพยายามระวังคำพูดของตัวเองมากขึ้น เมื่อคิดว่ามู่จวินเซิ่งยังคงรออยู่ที่นอกประตู นางจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายเบา ๆ
เจียงเหยายังคงมองดูมู่ไป๋ไป่ที่กำลังหลับอยู่เงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นานนางก็พูดว่า “เจ้าคิดว่าไป๋ไป่จะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้?”
หลัวเซียวเซียวคิดอยู่ 2-3 อึดใจแล้วตอบว่า “ถ้าเป็นองค์หญิงหก พระองค์คงไม่กล้าบอกองค์ชายรองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้องค์ชายรองต้องเป็นกังวลเรื่องของพระองค์”
“องค์หญิงหกมักจะเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ พระองค์เอาแต่คิดถึงผู้อื่น”
หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองพร้อมกับรู้สึกแสบร้อนที่ดวงตา
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 169
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น