STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 8 สีสัน

STARCIN อุบัติมหาสงครามสตาร์คิน

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 8 สีสัน

ก่อนหน้านี้ที่ห้องประชุมของเหล่าจ้าวทะเล

“ทำไมเธอถึงเรียกประชุมกะทันหันแบบนี้?” เคนกระแทกเสียงถามเหมือนไม่พอใจขณะที่มองหน้าเมอร์ไปด้วย

“เอ่อ...” ให้ตายสิทำไมท่านหญิงถึงให้เรามาประกาศสงครามอะไรแบบนั้นด้วยล่ะเนี่ย เธอเหลือบมองเหล่าจ้าวทะเลทั้งหกที่มารายล้อมรอฟังสิ่งที่เธอต้องการจะพูด

“พูดมาเร็วสิวะ !” ชายที่มีกรามหนา ๆ และฟันอันแหลมคมเรียงกันหลายร้อยซี่ตะคอกเสียงดัง

“ใจเย็นสักหน่อยไม่ได้หรือยังไง?” ชายที่มีผิวนุ่มลื่นเหมือนเยลลี่กล่าว

“หุบปากแหยะ ๆ ของแกไปเลยไค !”

“เอาแต่ตะโกนใส่คนอื่นไปทั่วกลัวไม่รู้หรือยังไงว่าตัวเองปากเหม็นแค่ไหน?” ทั้งสองต่อปากต่อคำกันอยู่พักหนึ่ง

“ช่างพวกเขาเถอะ ตกลงเธอมีเรื่องสำคัญอะไรกันแน่?” หญิงสาวร่างยักษ์ที่มีผิวกายสีแดงสดเปล่งปลั่งราวกับเป็นอัญมณีแห่งท้องทะเลกล่าว

“คือ...เรื่องการแย่งเขตแดน ปกติพวกเราก็จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วแต่ก็แค่ส่งนักสู้ในสังกัดไปแย่งมาเฉย ๆ ข้าก็เลยคิดว่าให้มีการต่อสู้แบบจริง ๆ จัง ๆ เพื่อเอาอาณาเขตของอีกฝ่ายมาเลยดีกว่า”

คำพูดเหล่านั้นทำให้จ้าวทะเลทั้งหกตกตะลึงเหมือนตอนที่เห็นจอมมารแห่งเสียงมาปรากฏตรงหน้า

ชายผู้มีกรามหนาหัวเราะลั่น “ต้องอย่างนั้นสิ ฉันเบื่อที่ต้องเล่นเป็นเด็กเต็มทนแล้ว ถ้างั้นเราก็ซัดกันตรงนี้เลยไหมล่ะ...” ขณะที่เขากำลังบ้าดีเดือดได้ที่ก็มีฝ่ามือของหญิงสาวคนหนึ่งตบหัวทิ่มระงับอารมณ์ของชายผู้นั้นไว้

“สงบสติอารมณ์ไว้บ้างก็ดีก่อนที่ฉันจะลากนายไปที่ภูเขาไฟ” หญิงสาวในชุดคลุมคนนั้นกอดอกต่อว่าชายอารมณ์ร้อนไม่เกรงกลัวใด ๆ

“โห่...คุณพี่ริน ฉันก็แค่อยากออกกำลังกายเท่านั้นเอง”

ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะดังก้องขึ้นมา “ยังเป็นเด็กดีกับรินเหมือนเคยเลยนะแม็กซ์”

“ไม่ต้องมาพูดเลยปู่สัน คราวก่อนก็แย่งเครื่องสังเวยของฉันไปด้วย” แม็กซ์ชี้หน้าด่ากลับ

พอเห็นแม็กซ์หัวเสียเขาก็เลยยิ่งหัวเราะเยาะชอบใจเข้าไปใหญ่ “อย่าคิดมากน่า ก็แค่มะพร้าวหวาน ๆ ที่หากินได้ยากแค่นั้นเอง”

“ใช่ ๆ อย่าคิดมาก” ชายผู้มีผิวนุ่มลื่นกล่าวเสริมทำให้แม็กซ์พุ่งเข้าใส่ทั้งสองพยายามจะชกหมัดใส่แต่อีกฝั่งก็หนีไปรอบ ๆ เหมือนเด็กวิ่งไล่จับกัน

อะไรวะเนี่ย นึกว่าจะมีคนไม่พอใจแล้วเข้ามาทำอะไรเราเสียอีก แต่ทำไมทุกคนดูไม่กังวลหรือทุกข์ร้อนอะไรเลยล่ะ

“นี่เรากำลังจะเริ่มสงครามกันแล้วนะคะ...” แม้เมอร์จะกล่าวเช่นนั้นแต่ทุกคนก็ไม่สนใจไยดีเธอเลย

“ข้าพูดจริงจังนะคะ ! หลังจากนี้ข้าจะไล่กวาดล้างอาณาเขตอื่นให้หมดจนกว่าทุกที่จะเป็นของข้า” เมอร์ตะเบ็งเสียงหนักแน่นทำให้ทุกคนหันมาสนใจ

“เหอะ ที่เธอกล้าทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้ก็คงเพราะมีจอมมารหนุนหลังอยู่สิท่า ถ้าไม่มีนางนั่นเธอก็แค่ผู้สืบทอดที่ล้มเหลวเท่านั้นแหละ” แม็กซ์ตะคอกกลับแถมยังดูถูกดูแคลนจนเมอร์ไม่กล้าสบตา

“อย่ามาลามปามนะเว้ย !” เธอจ้องหน้าแม็กซ์ด้วยความกล้าทั้งหมด

“กล้านักนะ” แม็กซ์เหวี่ยงหมัดชกเข้าที่หน้าของเมอร์เต็ม ๆ จนเธอกระเด็นข้ามไปอีกฝั่งของห้องประชุม

พอเห็นเมอร์ลุกขึ้นมาได้เขาก็ตรงดิ่งไปหาเพื่อซ้ำเติมอีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะได้ออกหมัดเคนก็เข้ามาขวางเสียก่อน

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ฉันจะกลับแล้ว” พูดจบเขาก็ว่ายน้ำกลับอาณาเขตตนเองทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่นั่นก็ทำให้แม็กซ์หยุดทำร้ายเมอร์ได้

“เอาเป็นว่าหลังจากนี้ฉันจะไปหาเธออย่างที่ต้องการก็แล้วกัน” คำพูดทิ้งท้ายของแม็กซ์ทำให้เมอร์จ้องเขม็งราวกับจะบอกว่าพร้อมเสมอ

หลังจากทุกคนแยกย้ายก็เหลือเพียงเมอร์ที่นั่งคิดไม่ตกอยู่ในห้องประชุม

ถ้าจะสู้กับแม็กซ์เราคงต้องใช้กองกำลังทั้งหมดเพื่อลดมานาของเขาก่อน แต่ถ้าอีกฝ่ายเอาพวกมาด้วยล่ะ

“ยังไม่กลับอีกเหรอ?” รินเดินกลับมาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“อย่ามองข้าด้วยสายตาสงสารแบบนั้น แค่นี้ข้าก็สมเพชตัวเองพอแล้ว”

“เมอร์...เธอไม่ต้องทำเป็นเข้มแข็งก็ได้ ฉันเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก ๆ เธอเป็นคนที่รักสนุกและชอบไปเที่ยวชมในสถานที่ต่าง ๆ เธอไม่ใช่คนหัวรุนแรงหรือกระหายสงครามเหมือนเจ้าแม็กซ์หรอก” รินโอบกอดเมอร์จากด้านหลังก่อนจะกล่าวต่อ

“บอกฉันมาเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

ท่าทางสั่นกลัวของเมอร์ค่อย ๆ หายไป จากนั้นเธอก็หันกลับมาสบตากับรินพร้อมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกเมอร์ ถ้าเธอมาเข้าร่วมกับทางเราฉันสัญญาว่าจะไม่ให้ใครมาแตะต้องเธอได้อีก”

“จริงเหรอคะพี่ริน?”

“จริงสิเมอร์ตัวน้อย เดี๋ยวฉันจะไปจัดการแม็กซ์ให้จะได้ไม่ไปยุ่มย่ามกับเธออีก”

กลับมาที่ปัจจุบันที่ยามผิวน้ำทั้งสามคนได้ขึ้นมาบนเรือเพื่อพูดคุยและกินอาหารแปลกตามากมายอร่อยจนหยุดปากไม่ได้

“จ้าวทะเลทั้งเจ็ดคนมีนิสัยอย่างนี้เองสินะ ถ้าเป็นบันทึกของคนบนแผ่นดินคงหาข้อมูลดี ๆ แบบนี้ไม่ได้แน่นอน”

“อย่าหาว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ แต่พวกนายเตรียมอ่างสำหรับมนุษย์เงือกมาด้วยเนี่ยนะ อย่าบอกนะว่าตั้งใจจะพาใครสักคนขึ้นมาอยู่แล้ว” ลูกพี่ของยามผิวน้ำกล่าว

“ถ้ามีการเจรจาขึ้นมาก็ต้องมีการไปมาหาสู่กันบ้างอยู่แล้ว ว่าแต่…พวกนายดูผ่อนคลายมากเลยนะทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักพวกเราแท้ ๆ”

“งั้นเหรอ อาจเพราะงานยามผิวน้ำมันน่าเบื่อเกินไปจนไม่ค่อยมีเป้าหมายในชีวิตสักเท่าไร ถ้าได้ลองอะไรใหม่ ๆ ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มสีสันในการใช้ชีวิตไปด้วย”

“อืม แล้วมียามคนอื่นอีกไหม?”

“มีสิแต่พวกเราจะดูแลกันคนละเขต”

“แล้วมีหลักการแบ่งเขตกันยังไง?”

ทั้งสองถามตอบกันไปมานานถึงครึ่งชั่วโมงจนพวกเซนเข้ามาหาด้วยความสงสัย พอเห็นว่าเป็นมนุษย์เงือกเซนก็เกือบร่ายเวทมนตร์ซัดไปแล้วถ้าไม่ห้ามไว้ก่อน

“โธ่...ก็เล่นไม่บอกแผนอะไรเลย แล้วพวกเราต้องทำอะไรบ้างล่ะ?”

“ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวพอถึงเวลาก็จะรู้เอง”

เซนทำหน้าเซ็งนั่งลงที่เก้าอี้ไม่ห่างจากซึฮากิและสามมนุษย์เงือกนัก

“ถ้างั้นมาต่อกันดีกว่า พวกนายใช้ทุ่นลอยในการแบ่งเขตการดูแลซึ่งบริเวณนี้จะไม่มียามผิวน้ำคนอื่นโผล่มาจนกว่าจะมีใครเรียกใช่ไหม?”

“ถูกต้อง นายนี่เข้าใจอะไรง่ายดีนะ”

ซึฮากิหยิบเอาแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศมาเพื่อคำนวณระยะของเขตการดูแล จากนั้นไม่นานเขาก็ได้ตำแหน่งของเขตการดูแลในน่านน้ำแห่งนี้

“มีสิบห้าเขตถูกไหม?”

ลูกพี่ของพวกเขาหยิบกระดาษไปดูบ้างแต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแผนที่เท่าไร

“ถูกต้อง มันมีสิบห้าเขตแต่ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าเขตไหนอยู่ตรงไหนเพราะพวกเราก็ดูแลแค่ที่แห่งนี้มาตลอด”

“ข้อมูลแค่นั้นก็ดีแล้ว ก่อนอื่นทางเราจะเตรียมเครื่องบรรณาการชุดใหญ่ไว้ให้ ก่อนจะถึงเวลานั้นพวกนายจะเที่ยวเล่นในเรือรอก็ได้เพราะยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่”

“ฟังดูน่าสนใจจริง ๆ” หนึ่งในมนุษย์เงือกยิ้มฉีกกว้างเห็นความสนุกตรงหน้ามากกว่าหน้าที่ที่น่าเบื่อของตนเอง

ลูกพี่ของพวกเขาหัวเราะในลำคอหลังจากปฏิกิริยาของทั้งสองคน “เอาสิ โอกาสที่จะได้เปลี่ยนบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ หรอก”

“ถ้างั้นฉันจะให้พวกเซนพาไปนะ” ซึฮากิหันกลับมามองหน้าเซนเป็นสัญญาณให้ลากอ่างของมนุษย์เงือกไป

แม้จะดูไม่เต็มใจแต่สุดท้ายเซนก็พาพวกเขาเข้าไปเที่ยวชมห้องต่าง ๆ โดยที่ซึฮากิยังคงทำงานอยู่ในห้องต่อไป

“ที่ยังไม่เอาเรือออกไปไหนไกลเพราะเรื่องความปลอดภัยสินะ” ฟรานนั่งลงข้าง ๆ เฝ้ามองการจดบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ไม่หยุดมือ

“อือ พวกเขาจะมีกองกำลังภายในที่เตรียมความพร้อมออกมารบและยามผิวน้ำที่จะเป็นด้านหน้าในการตรวจสอบและเรียกกำลังพลเหล่านั้น ถ้าหากออกไปที่เขตอื่นจนยามผิวน้ำเรียกกำลังพลเมื่อไรก็จะยิ่งเจรจาได้ยากขึ้นไปอีก ครั้งนี้ก็ถือว่าโชคดีมากที่พวกเขาสามคนคุยกันง่ายหน่อย”

“อืม นายคิดว่าการเจรจากับจ้าวทะเลจะสำเร็จไหม?”

“ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่าจะสำเร็จ แต่ดูจากที่อีกฝ่ายรู้ตัวตนของทางเราแล้วแต่เลือกที่จะไม่ไล่ก็สามารถคิดได้ว่าเขาไม่ใช่พวกเคร่งขัดขนาดนั้น หรืออาจจะมีแผนลอบจับโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้แต่ยามผิวน้ำพวกนั้นก็ไม่ได้โกหกเรื่องไหนเลย หรืออาจจะมีการวางแผนโดยที่ไม่บอกยามผิวน้ำเพื่อความปลอดภัยแต่ที่แน่ ๆ เลยก็คือท่านเคนของพวกเขามีฝีมือเป็นที่ประจักษ์ทั่วน่านน้ำ และนั่นอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เขาไม่เกรงกลัวพวกเราเลยแม้แต่น้อยก็แค่ปล่อยให้พวกมดปลวกได้ว่ายน้ำเล่นรอไปก่อน...”

“พอก่อน ๆ กิจัง ฉันฟังไม่ทันแล้ว” ฟรานถึงกับต้องพูดขัดเสียก่อนที่ซึฮากิจะเล่านิสัยที่วิเคราะห์ได้ให้ฟังต่อ

“พูดเยอะไปอีกแล้วสินะ” น้ำเสียงอันเรียบนิ่งของเขาที่เปลี่ยนไปจากครั้งก่อน ๆ เหมือนกำลังน้อยใจอะไรบางอย่าง

“ไม่ ๆ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันก็แค่ฟังไม่ทันเท่านั้นเอง”

“แน่ใจนะ?” ซึฮากิเหลือบมองหน้าหลังจากเอาแต่จดบันทึกอยู่นาน

“แน่สิ เรื่องที่นายพูดมีแต่เรื่องสำคัญทั้งนั้นแต่ช่วยพูดช้า ๆ สักหน่อยนะ”

“อืม ก็ได้”

สุดท้ายฟรานก็นั่งฟังการวิเคราะห์ของซึฮากิอยู่นานเป็นชั่วโมงโดยมีปุยและแฟรงค์นอนอยู่ข้าง ๆ

“เอาสิวะ !” ขณะเดียวกันเซนก็ดันไปสนิทกับมนุษย์เงือกทั้งสามเสียแล้ว หลังจากสอนการเล่นไพ่ให้กับเหล่ามนุษย์เงือกจนเล่นเป็น ตั้งแต่ตอนนั้นพวกเขาก็ยังเล่นมาตลอดหนึ่งชั่วโมงไม่มีพักเหมือนพวกผีพนันเข้าไปทุกที

“ฉันชนะอีกแล้ว” เสียงหัวเราะลั่นมาจากลูกพี่มนุษย์เงือกซึ่งชนะติดกันมาหลายตาแล้วทำให้เซนเริ่มหัวเสียและท้าแข่งใหม่เรื่อย ๆ

“พวกผู้ชายเป็นอย่างนี้กันหมดเลยหรือยังไง?” คานะนั่งบ่นกับพวกแคทเทอรีนหลังจากเล่นไพ่จนเอียน

“หมายถึงอะไร? เรื่องบ้าดีเดือดหรือชอบแหกปาก” แคทเทอรีนถามกลับ

“ทั้งคู่นั่นแหละ ดูพวกเขาสิตะโกนโหวกเหวกโวยวายเหมือนได้รางวัลที่หนึ่งอย่างไรอย่างนั้นเลย”

แคทเทอรีนหัวเราะคิกคักเมื่อได้เห็นท่าทางของคานะ

“ผู้ชายส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตเรียบง่าย พวกเขาสามารถปรับตัวกับคนอื่นได้ไม่ยากแต่ก็เหมือนเป็นข้อเสียด้วย ถ้าเอากล้วยไปให้เขากินเขาก็จะกิน แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็มักจะคิดถึงอารมณ์หรือเหตุผลที่อีกฝ่ายเอามาให้ก่อนว่าให้มาทำไม แต่ก็แล้วแต่คนด้วยแหละ”

“ดูรู้เยอะจริง ๆ เลย” ทีโอน่าเหลือบมองด้วยหางตา

“แน่นอน ฉันเป็นถึงจอมพลที่ไต่เต้ามาตั้งแต่เป็นพลทหารตัวน้อย ๆ เชียวนะ ตอนนั้นฉันต้องอาศัยอยู่กับผู้คนหลากหลายเลยได้เห็นพฤติกรรมทั้งดีและไม่ดีมามากมาย”

“ปรบมือเลย ๆ ท่านจอมพลผู้มากประสบการณ์ได้แบ่งปันความรู้ให้ถือว่าเป็นเกียรติจริง ๆ” พอทีโอน่าเริ่มปรบมือทุกคนก็ทำตามโดยไม่รู้ว่าทำไม

“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ หรือจะให้ฉันเล่าเรื่องของเธอตอนประจำการอยู่ที่ค่ายล่ะ?”

“เฮ้ย ! อย่าพูดเชียวนะ”

แคทเทอรีนหัวเราะเยาะชอบใจ “เรื่องแรกเอาเป็น...” ทีโอน่าวิ่งไล่ไม่หยุดแต่แคทเทอรีนก็วิ่งหนีหายไปเสียก่อน

“เหอะ สองคนนั้นสนิทกันมากกว่าคำว่าคนรับใช้อีกนะ” คานะยังคงนั่งมองพวกเซนเล่นไพ่ต่อไปจนถึงเวลามื้อเย็น

ในห้องครัวจะมีโต๊ะอาหารตั้งตระหง่านอยู่มุมห้อง เมื่อถึงเวลาอาหารซึฮากิก็เป็นคนพาพวกเขาไปที่นั่นพร้อมกับกล่องใส่ของขนาดใหญ่

“ไหน ๆ ก็มีแขกมาเพิ่มก็เลยเอาอาหารมื้อใหญ่มาให้กินเลยดีกว่า” ซึฮากิเปิดกล่องหยิบอาหารที่ใส่ถุงสุญญากาศไว้ทำให้พวกมนุษย์เงือกสงสัยว่ามันคืออะไร

“ถุง ๆ พวกนี้เหรอคืออาหาร?” ลูกพี่มนุษย์เงือกถาม

“อย่าใจร้อนสิ เดี๋ยวพวกนายจะได้เห็นอะไรดี ๆ เอง” เซนนั่งยิ้มแก้มปริตั้งหน้าตั้งตารออาหารที่ซึฮากิกำลังทำ พอพวกเขาเห็นเช่นนั้นจึงคาดหวังไว้สูงยิ่งกว่าการเลื่อนตำแหน่งเสียอีก

จากถุงแปลก ๆ กลับกลายเป็นอาหารร้อน ๆ วางเต็มโต๊ะ แค่กลิ่นก็ทำให้พวกเขาไม่มีวันลืม แค่ได้เห็นก็ไม่อาจละสายตาได้อีก แค่จินตนาการก็ทำเอาน้ำลายไหลยิ่งกว่าการกินอาหารมื้อไหน ๆ

“ทำไมแค่เห็นถึงได้รู้สึกว่ามันอร่อยไปแล้วล่ะเนี่ย” สายตาของพวกเขาทั้งสามจับจ้องอาหารทีละจานเพื่อเลือกจานที่ต้องการลิ้มรสก่อน แต่ก็เลือกไม่ได้เพราะไม่ว่าจานไหนก็อยากกินทั้งนั้น

“ตามสบายเลย ส่วนฉันจะไปให้อาหารปุยกับแฟรงค์ก่อน” ซึฮากิเดินแยกตัวออกไปคนเดียวปล่อยให้พวกเขาได้บรรเลงมื้ออาหารตามใจนึกพร้อมกับเปิดเพลงเบา ๆ ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้เพลิดเพลินเข้าไปอีก

ซึฮากิเดินขึ้นไปที่ลานเครื่องบินซึ่งกว้างพอให้แฟรงค์และปุยวิ่งเล่นได้

โชคดีที่พวกร่างโคลนสามารถเติมพลังงานได้ด้วยมานาของเจ้าของ แต่จะกินดื่มตามปกติก็ได้เช่นกันแถมยังคงอยู่ได้นานเป็นเดือนถ้าไม่มีเรื่องให้ใช้มานามาก ๆ

ระหว่างที่คิดเรื่องอื่นเขาก็ยังเทอาหารให้ทั้งสองตัวแต่ทันใดนั้นแฟรงค์ก็บินไปโฉบเอาปลาตัวใหญ่กลับมากินหน้าตาเฉย ไม่รู้ว่ามันไม่อยากกินอาหารของซึฮากิหรือแค่จะช่วยประหยัดกันแน่

“นกของนายนี่เก่งไม่เบาเลยนะ” ฟรานยกจานอาหารมาสองจานแล้วนั่งลงข้าง ๆ

“ตอนแรกมันก็แค่สัตว์อสูรตัวหนึ่งแต่พอฝึกหลาย ๆ อย่างให้มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ” ระหว่างนั้นฟรานก็ยื่นจานข้าวให้และซึฮากิก็รับไว้ไม่ได้สงสัยหรือถามอะไร

“โห่ ไปฝึกอะไรให้มันกันแน่เนี่ย?” ฟรานขมวดคิ้วสงสัยแถมยังดูสั่นกลัวไปด้วย

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” สุดท้ายเขาก็ไม่บอกอะไรและตักอาหารเข้าปาก

ทั้งสองนั่งกินอาหารด้วยกันท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังตกดินพร้อมกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองที่พอกินเสร็จก็วิ่งไล่กันเหมือนเดิม

6 มิถุนายน พ.ศ.2576

เรือเกรย์เอลโฟเรียก็ยังคงลอยนิ่งอยู่ที่เดิมแต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือมีคนเพิ่มขึ้นมา

“ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะมาหาไวขนาดนี้”

พวกเขาทั้งหมดต่างก็มานั่งหมกตัวกันอยู่ในห้องประชุมจนเหมือนห้องมันเล็กไปด้วยซ้ำและยังมีชายสูงสามเมตรตัวเปียกแฉะทำให้ห้องดูเลอะ ๆ ไม่น่าอยู่เสียเท่าไร

“ไม่เห็นต้องรอนาน ๆ เลย แถม...ไม่รู้ว่าประชดหรือเปล่าแต่เครื่องบรรณาการชุดหลัง ๆ เริ่มให้มาเยอะจนน่ากลัวแล้วสิ”

“ไม่หรอกครับ พวกเราก็แค่อยากให้เยอะ ๆ แค่นั้นเอง” รอยยิ้มบางของทั้งสองที่ส่งให้กันเหมือนกำลังท้าประลองอย่างลับ ๆ โดยมีพรรคพวกนั่งมองตาปริบ ๆ ไม่กล้าปริปากขัดอะไร

พอซึฮากิพูดจบก็มีเพียงความเงียบสงัดเหมือนรอจังหวะโต้ตอบกันอยู่

“สุดยอด ไม่คิดเลยว่าจะมีมนุษย์ที่รอดพ้นไปจากมานาของฉันได้” เคนกล่าวด้วยรอยยิ้มแสยะ

“คุณคงอยู่เลเวลเก้าสินะครับ เพราะในนี้คนที่ตอบโต้มานาของผมได้ก็มีแค่แคทเทอรีนที่นั่งอยู่ตรงนั้นกับคุณอีกหนึ่งคน”

“อืม...ใช่แล้วฉันอยู่เลเวลเก้ารวมถึงเธอคนนั้นก็ด้วยแต่นายนั่นแหละที่แปลก เลเวลแค่เจ็ดแต่สเตตัสทุกอย่างสูงมากจนเหมือนเลเวลแปดไปแล้ว ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ได้เลยว่านายแข็งแกร่งขนาดไหน”

“เฮ้ ๆ พวกเขาคุยอะไรกันน่ะ” เซนกระซิบคุยกับคานะ

“ฉันก็ไม่รู้”

“มันคือมานา” ฟรานช่วยตอบความสงสัยของพวกเขาให้แต่ดูเหมือนยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“เอาเป็นว่าเมื่อกี้มนุษย์เงือกคนนั้นปล่อยมานาออกมารอบตัวและพุ่งเข้าจู่โจมคนอื่นแต่ก็หยุดไว้ก่อน ฉันเห็นก็จริงแต่ตอบสนองไม่ทันก็เลยมีแค่ซึฮากิกับแคทเทอรีนที่ใช้มานาปะทะกับเขาตรง ๆ ได้”

“ให้ตายสิทำไมถึงต้องทำอะไรยุ่งยากกันขนาดนั้นด้วยนะ? ถ้าจะสู้กันทำไมไม่ซัดกันไปเลย” เซนชกลมซ้อมมือไว้ก่อนแต่พอเห็นเคนจ้องตาเขม็งเขาก็เลยหยุดทันที

“อยากลองไหมล่ะ?” เคนส่งยิ้มแสยะให้เหมือนกำลังท้าทายความห้าวหาญของเซน

“ก็มาสิครับ !” เซนตอบรับคำท้าลุกพรวดพราดพร้อมกระโจนใส่

“ทั้งคู่หยุดก่อนเถอะ จะไปซัดกันที่ไหนก็เชิญแต่ขอคุยธุระสำคัญให้เสร็จก่อน” ซึฮากิพูดขัดเสียก่อนที่เซนจะกระโดดขึ้นโต๊ะประชุม

“นั่นสินะ เรื่องสำคัญต้องมาก่อนแล้วค่อยหาอะไรบันเทิงทำ”

“เดี๋ยวก็รู้ว่าใครกันแน่ที่จะบันเทิง” เซนแยกเขี้ยวขู่ตอบรับแววตาเยาะเย้ยของเคน

สุดท้ายก็ต้องแยกพวกเซนออกไปข้างนอกเหลือไว้แค่ผู้นำของแต่ละฝั่งเท่านั้น

“ทำไมถึงอยากเดินทางทางทะเลนักล่ะ?” ระหว่างนั้นก็มีของว่างเป็นผลไม้หวาน ๆ วางไว้ซึ่งเคนมักจะหยิบกินไม่หยุดเลย

“ต้องบอกว่ามีการขนส่งทางไหนที่จะดีไปกว่าทางทะเลต่างหาก ลองนึกภาพที่ต้องส่งสินค้าหนักหนึ่งหมื่นตันดูสิ ถ้าเป็นจำนวนน้อย ๆ ก็ส่งทางอื่นได้อยู่หรอกแต่มันคนละเรื่องถ้าเป็นในระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และยังต้องส่งข้ามอาณาจักรอย่างนี้อีก”

“ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยทำอะไรอย่างนั้น”

“เอาเป็นว่าทางเราอยากใช้เส้นทางในการลำเลียงสินค้าไปยังอาณาจักรนอดและอาณาจักรคา ในเมื่อคุณก็รู้จุดประสงค์ของเราอยู่แล้วดังนั้นก็คงไม่ต้องพิธีรีตองอะไรให้มากความ” ซึฮากิยื่นหนังสือสัญญาให้แต่เพราะร่างกายแฉะ ๆ ของเคนจึงทำได้แค่มองไกล ๆ

“ภาษาอาณาจักรอาฟสินะ สัญญาเรื่องเงินหรืออะไรพวกนั้นฉันไม่สนใจหรอก...แต่ขอเป็นเครื่องบรรณาการแบบก่อนหน้านี้แทนก็แล้วกัน”

“ไม่มีปัญหา เราสามารถแก้ไขและตกลงสัญญาที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝั่งได้” ซึฮากิเตรียมเอกสารมาจำนวนมากพร้อมเขียนใหม่ได้ทุกเมื่อ หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยเรื่องจำนวนเครื่องบรรณาการและการใช้เรืออยู่หลายนาทีจนได้ข้อสรุปถึงจะออกมาจากห้องประชุม

“ฉันยังมีเรื่องอยากถามอยู่” ขณะที่เดินออกมาเคนก็เอ่ยถามอีกครั้ง

“ผมก็มีเหมือนกัน” ทั้งสองมองหน้ากันและกันทำให้บรรยากาศอันตึงเครียดเข้าปกคลุมแทน

มานาของทั้งสองเข้าประชันความเร็วกันโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ขยับไปไหน การต่อสู้ที่เหมือนแค่ยืนเฉย ๆ แต่กลับแฝงไปด้วยความปั่นป่วนของมานารอบ ๆ ข้าวของเครื่องใช้ค่อย ๆ กระจัดกระจายไปทั่วราวกับมีพายุมาบังเกิดในที่แห่งนี้

“ขอถามก่อนเลยแล้วกัน พวกนายทำตามคำสั่งใคร?”

“คำสั่งของผมเอง”

“จะจริงหรือเปล่า ขนาดอาณาจักรเซียที่ยิ่งใหญ่กว่ายังไม่กล้าแหกสนธิสัญญาเลยแท้ ๆ แต่ทำไมอาณาจักรอาฟที่ไม่มีกำลังรบเลยถึงกล้าทำล่ะ?”

“นี่คุณไม่รู้เหรอว่าอาณาจักรเซียก็มีการตกลงลับ ๆ กับคนที่คุมน่านน้ำอีกฝั่งเหมือนกัน”

“หมายความว่ายังไง?”

ทันใดนั้นก็มีพวกมนุษย์เงือกว่ายน้ำตรงมาอย่างรวดเร็วและพวกเขาทั้งสองก็สัมผัสได้ก่อนใคร

“นั่นเรือพวกชาวแผ่นดิน จมมันซะ !” กองทัพมนุษย์เงือกจู่โจมทันทีที่อยู่ในระยะหวังผลแต่เหล่าร่างโคลนของซึฮากิก็มาช่วยกันร่ายบาเรียป้องกันไว้ได้

“นี่คือแผนของคุณเหรอ?”

“เปล่าซะหน่อย ฉันไม่ทำอะไรลับหลังอย่างนั้นหรอก” ทั้งสองเตรียมตัวเข้าปะทะกันแต่ก็ยังคงใจเย็นรอฟังเหตุผลก่อน

“แล้วที่พวกนั้นมาโจมตีเรือจะบอกว่าพวกเขามากันเองใช่ไหม?”

“นั่นน่ะสิ ปกติถ้ายามผิวน้ำไม่เรียกพวกทหารก็จะไม่ออกมาหรอก แถมยามผิวน้ำก็อยู่กับเราไม่ไปไหนสักหน่อย” เคนตัดสินใจพุ่งออกไปนอกเรือเพื่อพูดคุยกับทหารของตนเองก่อน

ตอนคุยกันก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้โกหกอะไรเลย หรือความสามารถจับเท็จของเราจะผิดพลาดอีกแล้ว ซึฮากิวิ่งไปแจ้งเพื่อน ๆ ทุกคนก่อนจะตามไปสมทบกับเหล่าร่างโคลน

อยู่ตรงนั้นไง เขากำลังคุยกับพวกมนุษย์เงือกจริง ๆ ด้วย ซึฮากิใช้สายตาร่วมกับแฟรงค์มองจากมุมสูง

เคนพยายามพูดคุยปรับความเข้าใจกับทหารของตน แม้จะมีความเคลือบแคลงใจแต่ก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้งผู้เป็นนายเลยสักคน

“ถ้าเข้าใจแล้วก็กลับไปพักผ่อนกันได้ ส่วนฉันจะไปคุยกับพวกชาวแผ่นดินต่อ”

“คะครับ !”

สถานการณ์คลี่คลายไปได้ด้วยดีเกือบจะได้มีการนองเลือดกันเสียแล้ว พอเห็นว่าพวกทหารกลับไปหมดแล้วเคนจึงขึ้นมาบนเรืออีกครั้งเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดก่อนจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้

“ปกติจะมีการย้ายเขตการดูแลไหม?” ซึฮากิถาม

“ก็ไม่นะ ฉันสงสัยเหมือนกันว่าพวกเขารู้ได้ยังไงหรือว่าจะมีคนที่มีตรวจจับระดับสูง”

“เป็นคนของคุณแท้ ๆ แต่ไม่ตรวจสอบสักหน่อยเลยเหรอครับ แต่เอาเถอะในเมื่อคุณยังยืนยันที่จะทำสัญญาผมก็จะไม่ติดใจเอาความ”

“อืม แล้วคำถามที่นายอยากถามล่ะ?”

ซึฮากิเหลือบมองสีหน้าเย็นชาของเคน “ชอบเครื่องบรรณาการขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เคนพยักหน้าเป็นคำตอบแต่แค่นั้นก็ทำให้ซึฮากิพึงพอใจแล้ว

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.