STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 14 สังหรณ์

STARCIN อุบัติมหาสงครามสตาร์คิน

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 14 สังหรณ์

15 มีนาคม พ.ศ.2576

“วิ่งให้ไวกว่านี้ ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็ไม่มีทางสู้กับฉันได้หรอก” เสียงตะโกนของลักซ์ทำให้เด็กตัวน้อยกัดฟันสู้ต่อทั้ง ๆ ใบหน้าเริ่มซีดเหี่ยวเหมือนคนจะตาย

“ไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ? พวกเขาวิ่งรอบเมืองมาสิบรอบแล้วนะ” นาธาเองก็ยังสั่นกลัวเมื่อเห็นการฝึกสุดโหดที่ใช้กับทหารชั้นสูงแต่กลับเอามาใช้กับพวกคิโนริ

“พวกเขามาถูกทางแล้วในเรื่องเวทมนตร์แต่ร่างกายยังอ่อนแอเกินไป ในอนาคตเมื่อต้องใช้เวทมนตร์ระดับสูงจำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเพื่อรองรับมัน”

“เหอะ ใจร้ายชะมัดเลยเธอเนี่ย” นาธาเหลือบไปเห็นแววตาของลักซ์ที่กำลังยักคิ้วใส่พร้อมกับชี้นิ้วไปยังเด็ก ๆ พวกนั้น

“อะไร? ฉันต้องไปด้วยเหรอ” นาธายิ้มเจื่อนทำตัวไม่ถูกแต่หลังจากได้เห็นปฏิกิริยาของลักซ์คำตอบภายในใจก็ชัดเจน

โถ่เว้ย ไม่น่าพูดมากเลยเรา สุดท้ายนาธาก็ต้องวิ่งร่วมกับพวกคิโนริแต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีเพราะเลเวลของเขาไม่ขยับมานานหลายปีแล้ว

ทักษะการควบคุมมานาจนไปถึงการใช้เวทมนตร์พวกเขาต่างก็ก้าวสู่บทสุดท้ายของการฝึกก็คือความชำนาญ อีกทั้งเพราะร่างกายยังเด็กจึงไม่สามารถทนแรงต้านของพลังเวทระดับสูงได้ หากได้รับการฝึกความอดทนมากพอจนสำเร็จขั้นเดียวกับทหารชั้นพลตรีก็มีแววจะใช้เวทมนตร์ระดับทลายได้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาหกคนก็อาจจะล้มเราลงก็เป็นได้

ขณะที่คิดเช่นนั้นเธอก็วิ่งตามหลังไปด้วยคอยดูสถานการณ์อย่างสบายใจ ทั้ง ๆ ที่วิ่งไปด้วยตลอดแต่กลับไม่มีท่าทีเหนื่อยเลยสักนิด

“มองตรงไว้อย่าก้มมองพื้น ควบคุมจังหวะหายใจให้มั่นคง ออกแรงอย่างพอเหมาะและถูกจุดไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บ” การคอยพูดกระตุ้นถือเป็นตัวช่วยอย่างดีในการฝึก ในสถิติการฝึกฝนที่มันทรมานตัวเองผู้คนมักจะเลิกกลางคันแต่หากมีคนคุมหรือเพื่อนทำไปด้วยกันก็จะมีแรงจูงใจในการทำต่อ

ตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาหลังจากที่พวกคิโนริพ่ายแพ้ให้กับลักซ์มันยิ่งทำให้เกิดความคับแค้นใจ ด้วยวาจากวนประสาทท้าทายไม่หยุดทำให้เกิดการผลักดันจนต้องยอมรับจำนนให้ช่วยฝึกแต่ก็ต้องขอบคุณนาธาที่ช่วยกล่อมทุก ๆ คน

“หลังจากครบรอบนี้จะให้พักสักสิบนาทีแล้วเราจะเริ่มฝึกอาวุธต่อ”

แมรี่กระซิบคุยกับคิโนริแม้จะฝืนพูดก็ตาม “นี่เราต้อง...ทำตามอีกนานแค่ไหน?”

“ไม่รู้สิ ยังไงมันก็เหมือนกับการฝึกของพี่กิอยู่แล้วแค่เพิ่มจำนวนเท่านั้น” ในจำนวนเด็กทั้งหกคนมีเพียงคิโนริและรูบี้ที่ยังดูสบายใจยิ้มได้ ด้วยการฝึกของซึฮากิทำให้คิโนริคุ้นชินกับอะไรแบบนี้อยู่แล้วส่วนรูบี้มีความสามารถในเรื่องการวิ่งมาจากจุดเด่นของเผ่ามนุษย์กระต่าย

“จริงด้วยสิ แค่ใช้เวทมนตร์ช่วยก็สบายขึ้นเยอะเลย” แมรี่ยิ้มสบายใจเมื่อใช้เวทเสริมกำลังควบคู่กับสปีดอัพและพาวเวอร์อัพ

“อย่าคิดว่าไม่เห็นนะ” จู่ ๆ ลักซ์ก็โผล่มาข้าง ๆ และเขกหัวแมรี่ไปหนึ่งครั้งทำเอาเวทมนตร์คลายหายไปเลย

“เจ็บนะ !”

และแล้วการฝึกสุดโหดของลักซ์ก็ยังดำเนินต่อไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด มานาจะหมดก็เติมด้วยมานาสำรอง ถ้าเหนื่อยมากก็นั่งพักแล้วก็กลับไปฝึกต่อ ถ้าหิวก็กินอาหารให้อิ่มและฝึกต่อ

ขณะเดียวกันก็มีการประชุมผู้นำเผ่าของอาณาจักรอาฟเพื่อหารือเรื่องสงครามโดยมีโคและโฟลเป็นตัวแทนจากเมืองเอลโฟเรีย

“จากรายงานของซึฮากิ ตอนนี้อาณาจักรนอดมีการเตรียมฝึกทหารจำนวนมากจริงแต่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด”

“ข้อมูลยังมีน้อยนิดแต่เรียกพวกเรามาทำไม?” โซผู้นำเผ่าฮาร์พีทักท้วงด้วยใบหน้าฉงนไม่ต่างอะไรกับคนอื่น ๆ ในที่ประชุม

“จริง ๆ แล้วยังมีเรื่องอีกเรื่องที่ต้องปรึกษากัน เมื่อไม่กี่วันก่อนมีทหารของอาณาจักรเซียเข้ามาที่นี่แถมยังเป็นพวกยศใหญ่ซะด้วย”

“พวกมันอีกแล้วเหรอ ไอ้พวกศาสนจักรงี่เง่าที่มองอมนุษย์เป็นแค่สัตว์ร้าย” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของคิคิทุบโต๊ะดังระเบิดอารมณ์ชั่ววูบเพราะนึกถึงเรื่องในอดีต

“ใจเย็นก่อนทุกคน ซึฮากิเป็นคนอนุญาตให้เธออยู่ที่นี่แสดงว่ามันยังอยู่ในการคาดการณ์ของเขา” วาเลี่ยมรีบเปิดปากอธิบายก่อนที่คนอื่น ๆ จะของขึ้น

“ซึฮากิอีกแล้ว นายจะเชื่อใจซึฮากิไปถึงไหน?” แม้จะกล่าวเช่นนั้นเพราะหยิ่งในศักดิ์ศรีแต่ภายในใจลึก ๆ เขาก็รับรู้ว่าทำไมทุกคนถึงเชื่อใจซึฮากิ

“พูดมากไม่เปลี่ยนเลยนะคิคิ” นากิใช้ถ้อยคำสำเนียงหยอกล้อแต่ยังคงความสุขุมเยือกเย็นไว้ให้น่านับถือ

“ว่าแต่ชาร์ลอทยังไม่กลับมาอีกเหรอ?” วาเลี่ยมเปิดประเด็นคำถามที่ทำให้ทุกคนหยุดชะงัก

ชาร์ลอทหนึ่งในผู้นำเผ่าในอาณาจักรอาฟที่มีเลเวลเก้าซึ่งแข็งแกร่งที่สุด หลังจากที่โดนกองกำลังจากอาณาจักรนอดและอาณาจักรเซียเข้าประกบสองฝั่งทำให้เสียกำลังพลไปมากมายเกินกว่าจะตั้งตัวได้ถ้าไม่มีสนธิสัญญาสงบศึกก็คงโดนยึดแน่นอน

“นัตโตะวันนี้ทำอะไรอยู่นะ?” ขณะที่ทุกคนกำลังเป็นห่วงแต่เธอกลับเอาแต่ตามนัตโตะต้อย ๆ อย่างกับพวกโรคจิต

“คิด ๆ ดูพักนี่เราได้หยุดเยอะกว่าหน่วยอื่นมากเลยนะ จะมีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?” วานอนมองเพดานด้วยสายตาเหม่อลอยสัมผัสได้ถึงความเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง

“นั่นสิปกติหน่วยอื่นก็เขม่นพวกเราอยู่แล้ว พักหลังมานี่มันก็ยิ่งหนักขึ้นทุกที” แก้วเองก็กังวลใจไม่แพ้กันนั่งคิดไตร่ตรองเรื่องที่ผ่าน ๆ มา ทั้งสายตา คำพูดคำจาและการกระทำของทหารเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยการดูถูกพร้อมเหยียบย่ำ

นัตโตะนั่งนิ่งเงียบกำลังประกอบอุปกรณ์พิเศษที่ทำให้คล้ายคลึงกับโทรศัพท์มากที่สุดก่อนจะใส่พลังของตัวเองลงไป

“ช่างมันปะไร สถานการณ์ ต่อให้ไอ้งี่เง่าพวกนั้นอยากทำอะไรเรามันก็แค่การกลั่นแกล้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวันที่เราเป็นอิสระเมื่อไรค่อยแก้แค้นก็ยังไม่สาย” เขาส่งเสียงหัวเราะเยาะฉีกยิ้มเริงร่าราวกับได้รับชัยชนะก่อนจะเริ่มสงครามเสียด้วยซ้ำ

เจาเด็กหนุ่มผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดตามติดนัตโตะ ยิ่งอายุเท่ากันเวลาไปไหนมาไหนก็ยิ่งตามติดได้ง่าย ตั้งแต่เล็กจนโตเขารู้เพียงการฝึกฝนและหน้าที่ที่ได้รับถูกทำให้กลายเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่มีความคิดจนกระทั่งถูกเรียกมายังโลกแห่งนี้

“ผมว่าการแสดงจุดยืนให้ชัดเจนก็ถือเป็นเรื่องดีนะครับ ถ้าปล่อยให้คนอื่นเห็นเราเป็นแค่คนอ่อนแอไม่มีทางสู้ต่อไปก็จะถูกกดระดับให้ต่ำลงไปอีก สิทธิ์เสรีต่าง ๆ ก็จะโดนลิดรอนไปเรื่อย ๆ จนเป็นแค่ทาสในนามทหาร”

“พูดได้ดีนี่ ฉันชอบแบบนี้มากกว่าตอนเป็นบอดี้การ์ดซะอีก” นัตโตะยิ้มมุมปากชอบใจก้าวเท้าเข้าหาพร้อมกับชกหมัดเบา ๆ ไปที่หน้าอกเป็นเหมือนการส่งสัญญาณปลื้มใจ

“ขอบคุณครับ ตอนทำงานผมต้องจดจ่ออยู่กับงานที่ได้รับไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว เหมือนตอนที่นัตโตะชอบรังแกคนอื่นนั่นแหละครับผมก็ไม่ห้ามหรือทำอะไร”

“แล้วนายจะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาทำไมเนี่ย !” นัตโตะตะเบ็งเสียงแยกเขี้ยวใส่แต่ให้อารมณ์เหมือนแมวขู่เสียมากกว่าจนวาและแก้วหัวเราะเยาะ

“ไอ้พวกนั้นมันน่าหงุดหงิดนี่นา บางคนก็ชอบมองหน้า บางคนก็เถียงต่อปากต่อคำ ไหนจะเจ้านั่นอีกที่พูดจาปากหมา ๆ ได้ยินแล้วของมันขึ้น”

“หมายถึงซึฮากิเหรอ?” วาเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเพราะก่อนหน้านี้พวกเธอก็ไม่ได้สนิทกันมากนักต่างคนต่างแยกกันอยู่จึงไม่อาจรับรู้ความสัมพันธ์หรือปัญหาที่พวกเขามีได้

“เจ้านั่นมันเป็นพวกปากหมา อยากพูดอะไรก็พูดไม่ใช่แค่กับฉันหรอกคนอื่นก็โดนเหมือนกัน ผู้คนก็เลยตีตัวออกหากไม่กล้าเข้าไปคุยแต่ก็มีแค่คนเดียวที่เข้าถึงตัวซึฮากิได้”

“ฟราน...” หลังจากที่นัตโตะพูดจบก็เว้นช่องว่างไว้เหมือนให้ใครสักคนเดาว่าเป็นใครก่อนจะมีแก้วเอ่ยชื่อนั้นขึ้นมา

“ฟราน เลสเทีย ลูกสาวบุญธรรมของตระกูลเลสเทียที่ร่ำรวยติดอันดับโลก ตั้งแต่เด็กเธอก็ได้รับการฝึกฝนมาหลากหลายไม่ว่าจะเรื่องภาษา เครื่องดนตรีหรือแม้แต่ศิลปะการต่อสู้”

“เป็นคนที่เพียบพร้อมทุกอย่างแต่ดันมาหลงเด็กกำพร้าที่แม้แต่ชื่อตระกูลก็ยังไม่มี เป็นใครก็สงสัยไม่ต่างกันให้อารมณ์เหมือนกับนางฟ้าที่โบยบินอยู่บนเมฆสีขาวกับสุนัขที่คอยอาหารจากผู้ใจบุญ” แววตาสับสนของวามองไปยังนัตโตะที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง

“ตั้งแต่ตอนเปิดเทอมฉันก็เห็นฟรานเข้าหาซึฮากิเหมือนรู้จักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน พอมาวิเคราะห์ดูก็เลยสมมุติฐานฟรานเป็นลูกบุญธรรมที่บ้านเลสเทียรับมาเลี้ยงและซึฮากิที่อาศัยอยู่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้วยความสงสัยฉันจึงค้นข้อมูลที่ที่ซึฮากิอยู่จึงได้รู้ว่าฟรานมาจากที่นั่นเหมือนกัน พวกเขาคงสนิทกันมากตอนอยู่ที่นั่นแต่ทำไมซึฮากิถึงดูทำตัวห่างเหินเช่นนั้นหรือจะเป็นนิสัยของหมอนั่นอยู่แล้วฉันก็ไม่รู้”

“แสดงว่าพวกเขาสนิทกันมานานแล้วหรือเราจะเข้าใจซึฮากิผิด นั่นอาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวก็ได้ที่ดูหยิ่ง ๆ ไม่สนใจใคร จริง ๆ ก็อาจจะอยากคุยกับคนอื่นเหมือนกันก็ได้” ขณะที่ฟังนัตโตะอธิบายวาก็พยายามคิดภาพตามจนเธอปรบมือเสียงดังเหมือนเป็นการเรียกสติตัวเอง

“เธอคิดตื้นเกินไป เราคาดเดาความคิดหมอนั่นไม่ได้หรอก” รอยยิ้มเยาะฉีกออกราวกับคนบ้า นัตโตะหวนรำลึกถึงการเจรจาพูดคุยแผนการตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ไม่ว่าวิเคราะห์ยังไงก็ไม่อาจคาดการณ์ชายที่มีชื่อว่าซึฮากิได้ ทั้งความสามารถทางกายและมันสมองที่เหมือนกับหุ่นยนต์คำนวณสิ่งต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้ารวมทั้งแผนที่จะทำให้พวกเขาเป็นอิสระในอนาคต

ตายแล้วเหมือนจะได้ยินอะไรดี ๆ ด้วยสิ ภูตตัวจิ๋วที่ทุกคนขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์แต่กลับทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หลังตู้เสื้อผ้าแอบมองดูหนุ่มสาวคุยกันใครมาเห็นก็คงได้เรื่องไว้ล้ออีกนาน

ฟรานผู้กล้าที่ได้อัญเชิญมาจากอีกโลกกับซึฮากิที่เป็นกบฏที่หนีไปยังอาณาจักรอาฟ แถมพวกกบฎสองคนก็บรรลุเลเวลเจ็ดก่อนคนที่กินอยู่สบายเสียอีก

เธอเอาแต่เฝ้ามองนัตโตะตลอดจนลืมภารกิจสำคัญของตนเองและเรื่องกบฏที่หนีไปอาณาจักรอาฟมันก็ทำให้เธอนึกขึ้นมาได้

กลับไปดูสถานการณ์ที่บ้านบ้างดีไหม เรื่องข้อมูลเราก็พอมีอยู่แถมการจะหาแหล่งข้อมูลใหม่ก็ยากเสียเหลือเกิน

“พวกนายเตรียมตัวให้พร้อมในสิบนาที เราจะซ้อมใหญ่อีกครั้ง” เสียงคมเข้มของนายทหารยศสูงตะโกนข้ามประตูมาจากด้านนอก

“รับทราบ !” พวกเขาตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

โถ่พวกเขาต้องไปเล่นอะไรบ้า ๆ อีกแล้วเหรอ น่าเบื่อจริง ๆ เลยหรือเราจะไปหาข้อมูลเพิ่มดีไหม

เธอบินไปทั่วกรมทหารอย่างกับสนามเด็กเล่นซ่อนตัวตนจากการตรวจจับได้เกือบสมบูรณ์แต่ต่อให้จับได้ก็ยากที่จะต่อกรกับผู้มีเลเวลเก้ายกเว้นจอมพลโกโด้ เขาอาจเป็นคนเดียวที่รับมือกับชาร์ลอทได้และเพราะเธอรู้เช่นนั้นจึงพยายามหลบเลี่ยงไม่ปะทะ

“เพราะท่านโอบานั่นแหละเราเลยเสียกำลังพลชั้นยอดไป คิดสิถ้าเกิดมีการบุกรุกของฝั่งปีศาจแล้วไม่มีพลเอกลักซ์เราจะสู้ไหวเหรอ?”

“คิดมากน่าเรายังมีท่านผู้นั้นอยู่ ท่านเป็นคนที่ทำให้อาณาจักรเซียรุ่งโรจน์มาถึงทุกวันนี้เชียวนะแถมจอมมารก็ยังต้องหนีหัวซุกหัวซุนเมื่อต้องเจอกับท่าน”

การสนทนาของทหารชั้นสูงที่เป็นถึงผู้ฝึกสอนกำลังนินทาพระราชาของตนเอง พวกเขาต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าโอบาเป็นแค่ราชาไร้ความสามารถเก่งแต่การเที่ยวเล่นไม่เหมือนกับราชินีที่เก่งรอบด้านจนผู้ชายทุกคนใฝ่ฝันอยากได้เป็นคู่ครอง

“ท่านผู้นั้นใช้คนเดียวกับเมื่อก่อนหรือเปล่า...อาจจะเป็นคนละคนแล้วพลังอ่อนแอกว่าก็ได้ ใครจะเชื่อมนุษย์ว่าสามารถมีชีวิตได้หลายร้อยปียกเว้นจะเป็นอมนุษย์สักเผ่า”

“ก็เป็นไปได้ ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะเป็นอมนุษย์หรืออาจจะเป็นมนุษย์ที่มีการสืบทอดตำแหน่งรุ่นต่อรุ่นแต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรเราก็ต้องเชื่อมั่นใจตัวท่าน นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนได้รับการปลูกฝังมาทุกยุคทุกสมัยไม่อย่างนั้นท่านคงไม่สนิทกับราชวงศ์ขนาดนั้นหรอก”

“เฮ้ย ! ยังจัดแถวกันไม่เสร็จอีกเหรอวะ” พอเหลือบตามองไปยังกลุ่มทหารฝึกหัดเขาก็ตะคอกเสียงดังไม่มีการเกรงใจทั้งสิ้น

การซ้อมยังคงดำเนินต่อไปภายใต้การสังเกตการณ์ของผู้คุมฝึกหลายคนเพื่อวิเคราะห์หาจุดเด่นจุดด้อยรวมทั้งแนวทางการพัฒนาฝีมือต่อไป แม้จะเป็นทหารฝึกหัดแต่พวกเขาก็แข็งแกร่งกว่าทหารทั่ว ๆ ไปหลายเท่าทั้งการฝึกและอุปกรณ์ก็ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาล

เฉกเช่นเดียวกับโรงเรียนหลวงที่พยายามเร่งกระบวนการเรียนเพื่อสร้างประชากรคุณภาพส่งออกตลาดแรงงานแต่สำหรับชั้นเรียนเขตเวทมนตร์นั้นต่างออกไป พวกเขาส่วนใหญ่มีเป้าหมายมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ไม่ว่าจะทหาร นักผจญภัยหรือครูสอนเวทมนตร์ ขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียดกับคะแนนการสอบเวทมนตร์แต่ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งที่ปลีกตัวออกจากเขตเวทมนตร์และไปตะลอนเขตอื่น ๆ

“หนูฟรานนี่เก่งไปหมดเลยนะ” หญิงสาวสูงวัยกล่าวด้วยถ้อยคำนุ่มนวลพร้อมด้วยการฉีกยิ้มพึงพอใจ

“ขอบคุณค่ะ ฟรานต้องขยันให้มากกว่าคนอื่นเพื่อให้สมกับที่ทุกคนตั้งความคาดหวัง” เธอยิ้มตอบกลับอย่างเป็นมิตรแม้จะมีความเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง

“ได้ข่าวว่าเมื่อวานไปเขตการเกษตรมาใช่ไหมคะ? วันนี้มาที่เขตอุตสาหกรรมแล้วพรุ่งนี้หนูฟรานจะไปที่ไหนต่อ?” เขตอุตสาหกรรมถูกแบ่งส่วนไปอีกหลายส่วนทั้งด้านหัตถกรรม สินค้าอุปโภคบริโภคหรือของใช้ทั่วไปแต่แยกกับเขตอุตสาหกรรมเครื่องยนต์

“พอดีว่าที่นี่มีอะไรให้เรียนเยอะฟรานเลยมาค่อนข้างบ่อยและคาดว่าจะมาอีก ส่วนพรุ่งนี้มีแผนจะไปที่เขตมอนสเตอร์ค่ะ” ภายใต้ใบหน้ายิ้มร่าเริงกลับเต็มไปด้วยคำถามที่รอคำตอบไม่มีที่สิ้นสุด แววตาแข็งกระด้างเหมือนคนโหมงานหนักจนง่วงนอนแล้วพยายามจะเพ่งตาตื่นทั้ง ๆ ที่ร่างกายของเธอยังสุขภาพดีแท้ ๆ

ให้ตายสิอยากนอนจังเลย ความคิดสั้น ๆ ภายในใจของฟรานผุดขึ้นมาแต่แทนที่มันจะหายไปกลับก้องอยู่ในหัวไม่หยุด

นอนดีไหม? ไม่สิเรานอนไปแล้วแต่มันรู้สึกหน่วง ๆ เหมือนจะหลับ เราก็นอนครบชั่วโมงไปแล้วทำไมยังง่วงอยู่อีกแต่ถ้ามันชั่วโมงครบร่างกายก็ไม่น่ามีปัญหามั้ง

“หนูฟราน !”

เธอเอาแต่หมกมุ่นครุ่นคิดกับตัวเองเสียจนไม่ทันรู้ตัวว่าร่างกายที่สมบูรณ์เพียบพร้อมไหลลงไปกองกับพื้นแล้ว ทั้งนักเรียนและอาจารย์ที่ประจำอยู่ที่นั่นต่างก็วุ่นวายกับการส่งเธอไปยังห้องพยาบาลและให้หมอที่เก่งที่สุดก็คืออาเกลียแพทย์แห่งการเกิดใหม่เป็นคนดูแล

“เท่าที่ดูอัตราการเต้นหัวใจ ปริมาณออกซิเจน สภาพร่างกายไม่ว่าจะอะไรก็ยังปกติอยู่ เธออาจจะมีอาการเหนื่อยล้าจากความเครียดสั่งสม” เสียงถอนหายใจสั้น ๆ ราวกับรู้ว่าสาเหตุมาจากอะไรแต่ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้

“คุณอาเกลียมีวิธีช่วยไหมคะ?” ไม่เพียงแค่อาจารย์ในชั้นเรียนแต่เพื่อน ๆ ของเธอก็มาเยี่ยมทันทีที่รู้ข่าว

“ถึงจะไม่ได้ยืนยันแต่ฉันก็พอจะคาดการณ์ได้บ้าง ด้วยตำแหน่งผู้กล้าที่เธอได้รับทั้งคำชมเชยมากมายจากชาวบ้านชาวเมืองมันก็ยิ่งทำให้เธอตื่นตัว ต้องทำให้ได้อย่างที่คนอื่นหวังแม้เธอจะมีร่างกายแข็งแรงแต่จิตใจก็ค่อย ๆ เสื่อมสภาพได้หากไม่ได้รับการฟื้นฟู”

“ถ้านอนพักจะช่วยไหมครับ?” ซากิเอ่ยถามท่ามกลางความเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นทุกคนห่อเหี่ยวหน้าซีดไม่ใช่แค่จะโดนองค์ราชาดุด่าแต่อาจจะทำให้เสียผู้กล้าไปก็ได้

“อาจจะช่วยได้ชั่วคราวแต่วิธีที่ได้ผลคงต้องให้เธอเป็นคนบอกความต้องการเอง บางคนอาจจะชอบการท่องเที่ยว บางคนก็ชอบล่าสัตว์ ในเมื่อแต่ละคนมีสิ่งที่เติมเต็มพลังใจไม่เหมือนกัน แล้วจากรายงานเธอเอาแต่หางานทำในหลาย ๆ เขตทุกวันนั่นอาจจะเป็นที่มาของความเครียดเพราะฉะนั้นให้เธอหยุดทำกิจกรรมเหล่านั้นก่อน”

“ครับ พวกเราจะพยายาม” ซากิตอบรับพลางมองใบหน้าอันงดงามที่กำลังหลับไหลอยู่บนเตียงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แม้พักหลังมานี้ฟรานจะทำตัวห่างเหินแต่พวกเขาก็เข้าใจและยังเป็นห่วงเป็นใยอยู่เสมอ ตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียนถ้าฟรานอยากทำอะไรเธอมักจะแยกตัวไปทำคนเดียวไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนหรือเสียเวลาด้วยอาจจะเป็นนิสัยหัวรั้นที่ได้มาจากครอบครัวก็ได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากด้วยล่ะ หมอจะไปดูคนไข้คนอื่นต่อ” อาเกลียปล่อยให้เพื่อนได้อยู่กันตามลำพังบางทีก็อาจจะคิดหาวิธีกันได้ด้วยความสนิทสนม

ในบางกรณีคนไข้จะไม่กล้าบอกอาการจริง ๆ ให้หมอฟัง อาจจะมีเหตุผลส่วนตัวอะไรสักอย่างแต่มักจะเล่าให้เพื่อนสนิทฟังแทน ในเมื่อร่างกายยังปกติอยู่ก็ไม่ต้องเร่งรีบรักษาก็ได้ ด้วยประสบการณ์และสายตาของอาเกลียเธอสามารถวิเคราะห์สภาพร่างกายรวมทั้งอุปนิสัยได้ด้วยการพูดคุยและต่อให้เธอไม่มีพลังเดอะก็ยังเป็นหมอที่เชี่ยวชาญจนผู้คนยอมรับอยู่ดี

“ฟรานคงจะเครียดมากอย่างที่หมอบอก ปกติเธอมักจะยิ้มร่าเริงตอบโต้กับพวกเราตลอดแล้วมาดูตอนนี้สิ” ซันนี่กุมมือที่หยาบกร้านเหมือนคนงานก่อสร้างไม่มีผิดนั่นยิ่งทำให้เธอตระหนักว่าฟรานพยายามมากแค่ไหน

“ฉันไม่เข้าใจเลยทำไมเธอต้องไปทำงานที่โน่นที่นี่” ชาญเอนหลังนั่งเก้าอี้ท่าทางไม่สบอารมณ์เพราะไม่อาจเข้าใจความคิดของฟรานได้

“อืม...แล้วพีชไม่มาเหรอ?” ชาญเดาะลิ้นถามกวาดสายตามองไปรอบ ๆ

“เธอไม่มาหรอก เดิมทีพีชก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเราอยู่แล้ว...ปล่อยไปเถอะ” น้ำเสียงแข็งกระด้างของซากิช่างต่างกับตอนคุยกับฟรานเสียเหลือเกิน แววตาดุดันราวกับกำลังมองศัตรูที่แค้นเคืองมาตั้งแต่ชาติปางก่อนยังดีที่เขาหันหลังให้กับเพื่อน ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงกลัวจนถอยห่างเป็นแน่

เมื่อซากิเห็นปฏิกิริยาของฟรานก็เปลี่ยนท่าทางจากใบหน้าตึงเครียดกลายเป็นรอยยิ้มอันเบิกบานมองด้วยสายตาอ่อนโยน

“พวกนาย...ฉันหลับไปสินะ” ฟรานยันตัวเองนั่งขณะที่ตายังสะลึมสะลือแต่ก็ยังพยายามกวาดมองไปรอบ ๆ

“เธอหมดสติตอนกำลังเย็บผ้าแต่หมอบอกว่าร่างกายไม่เป็นอะไร เพียงแต่...” ซากิหยุดพูดก่อนเหมือนลังเลอะไรสักอย่าง

“แต่อะไร?”

“เธอมีความเครียดสั่งสมถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่ออาจจะลามไปยันโรคร้ายแรงได้”

เมื่อฟรานได้ยินเช่นนั้นเธอก็ถอนหายใจนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“เครียดสินะ คงเพราะใช้พลังเดอะมากไป” เธอลุกเดินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยืดเส้นยืดสายทำอย่างกับจะออกไปวิ่ง

“เธอต้องพักเรื่องที่ทำก่อนแล้วไปหาอะไรผ่อนคลายแทน” ด้วยความเป็นห่วงซันนี่จึงเข้าประชิดพร้อมประคองได้ทุกเมื่อ

“ถ้าอย่างนั้น ฉันอยากไปว่ายน้ำ ตกปลา ล่ามอนสเตอร์ เยี่ยมน้อง ๆ ที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า ประลองในสนาม กินหมูกระทะ ออกกำลังกาย เที่ยวทะเล อยากเจอกิ...” ซวยแล้วเผลอหลุดปากไป

“อยากเจออะไรนะ?” ซันนี่ถามกลับทันทีที่ฟรานหยุดชะงัก

“กีตาร์ ! อยากเจอกีตาร์ไว้เล่นเพลง”

“ร้านดนตรีเหรอ? จริงด้วยฉันก็พึ่งนึกได้ว่าโลกนี้ยังไม่มีเครื่องดนตรีแบบทันสมัยเลยกีตาร์ก็มีแต่รุ่นเก่า ๆ ไหน ๆ ก็มีไฟฟ้าอยู่แล้วเรามาลองทำเครื่องดนตรีไฟฟ้าไหม?”

“น่าสนใจเหมือนกัน” ฟรานเออออตามเพื่อกลบเกลื่อนคำพูดที่หลุดออกมาแม้ซันนี่จะไม่คิดมากแต่ไม่ใช่กับซากิ

อยากเจอกับซึฮากิสินะ เวรเอ๊ยมันมีดีอะไรเธอถึงต้องสนใจมันขนาดนั้น เราพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบเพื่อให้เหมาะสมกับผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบแต่ทำไมถึง

“ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ” ซากิเดินกำหมัดตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปขมวดคิ้วมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาแสดงออกชัดเจนว่าโกรธขนาดไหน

“บัดซบเอ๊ย !” แม้จะโกรธเท่าไรแต่เขาก็ไม่ได้อาละวาดหรือทำร้ายข้าวของ เพียงแค่ส่งเสียงระบายมันออกมาพร้อมกับใช้เวทมนตร์สร้างกำแพงป้องกันประตูห้องน้ำไว้เพื่อไม่ให้ใครได้ยิน

“ขนาดมันไม่อยู่ที่นี่ยังรังควานใจไม่เลิกอีก คอยดูเถอะถ้าเจอแกเมื่อไรจะฆ่าให้ตายเลย”

เมื่อระบายออกมาจนหมดเขาก็ปั้นหน้ายิ้มเหมือนเดิมกลับไปหาเพื่อนพ้อง ถึงจะปั้นรอยยิ้มได้ดีแค่ไหนแต่อารมณ์เหล่านั้นมันสามารถส่งต่อให้กับคนรอบข้างได้ง่ายกว่าที่คิดแต่เพราะรู้นิสัยของซากิอยู่แล้วจึงไม่มีใครถาม

“ก่อนอื่นเราไปหาอะไรกินกันเถอะ”

“เอาสิเนื้อย่างดีไหมล่ะ?”

ขณะที่ฟรานอยู่กับเพื่อน ๆ เธอก็ยังนึกถึงการฝึกซ้อมทำงานด้านต่าง ๆ อยู่ตลอดและแล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง

อยากคุยกับกิจังอีกจังเลยแต่ถ้านัตโตะอยากได้เงินเราก็ต้องเก็บให้ถึงก่อน

17 มีนาคม พ.ศ.2576

“ถึงเวลาแล้วใช่ไหม?” ยูกิยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงสีหน้าของแคทเทอรีนเวลากินอาหารของตนเอง

“เออ ได้เวลาสนุกกันแล้ว” ซึฮากิเองก็เผลอยิ้มมุมปากคล้อยตามยูกิ เมื่อแคทเทอรีนหมดความอดทนจนต้องขอร้องอ้อนวอนคาร์เตอร์ให้ช่วยติดต่อพ่อครัวลึกลับให้มันก็ได้เวลาดำเนินตามแผนที่วางไว้

“ทำไมรู้สึกว่าพวกเขาเหมือนตัวร้ายเข้าไปทุกทีแล้ว” เซนกระซิบคุยกับสมาชิกกลุ่มที่ได้แต่นั่งคอยไม่มีหน้าที่ให้ทำ

“พึ่งรู้ตัวหรือยังไง” คานะตอบรับท่าทางเป็นกังวลของเซนด้วยการตบหลังเบา ๆ แต่ถ้ายูกิกับคูเปอร์โดนก็คงร้องโอ๊ย

“เริ่มการติดต่อได้เลย...คูเปอร์”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.