บทที่๔

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๔

ที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง...ปาณัทกับชลิตามาทานข้าวด้วยกัน ทั้งสองคนเลือกโต๊ะตรงมุมห้องที่เป็นส่วนตัว และบนโต๊ะมีอาหารหลายอย่าง นับได้ประมาณสิบกว่าอย่าง ส่วนมากชลิตาจะเป็นคนสั่ง ชายหนุ่มนั้นสั่งแค่สี่อย่างสี่เมนูเท่านั้น

ปาณัทตักของโปรดที่หญิงสาวชอบทานใส่จานให้เธอ พร้อมกำชับว่า

“ลิต้าต้องทานเยอะๆ เลยนะ ดูสิ อาหารเต็มโต๊ะเลย”

“อาหารที่ลิต้าสั่งก็มีแต่ที่ลิต้าชอบทั้งนั้นแหละค่ะ...ป้องขา ป้องก็ต้องทานเยอะๆ เหมือนกันนะคะ ป้องทานอันนี้เลยค่ะ ของโปรดป้อง” แล้วชลิตาก็ตักอาหารที่ชายหนุ่มชอบใส่จานให้เขาเช่นกัน

“ขอบคุณครับลิต้า” เมื่อพูดจบเขาก็ตักอาหารเข้าปากทันที

จากนั้นทั้งสองคนก็ทานข้าวอย่างอร่อย ทานจนหมด

แล้วเมื่อทานข้าวเสร็จชลิตาก็พูดขึ้น

“ทานข้าวเสร็จแล้วไปดูหนังต่อนะคะป้อง ถือเป็นการฉลองที่คุณได้รับตำแหน่งประธานบริษัทด้วยไงคะ นะคะ...นะ ป้องขา”

“ครับ” ปาณัทตอบรับอย่างว่าง่าย เพราะเขาตามใจแฟนสาวอยู่แล้ว

“น่ารักที่สุดเลยค่ะป้อง” เธอกอดแขนและเอียงซบไหล่เขา

“น้อง...มาเก็บเงินที่โต๊ะนี้หน่อย” ปาณัทโบกมือเรียกบริกรมาเก็บเงิน

เมื่อบริกรเก็บเงินเสร็จก็เดินออกไป

ชายหนุ่มจึงหันมาบอกกับแฟนสาว

“ไปกันเถอะครับลิต้า”

“ค่ะ” ชลิตาพยักหน้ายิ้มๆ

แล้วทั้งสองคนก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านอาหารทันที

 

วันนี้เป็นเอกมาทำงานที่ร้านอาหารหรู เขาทำด้วยความขยันขันแข็ง จนผู้จัดการร้านที่ชื่อ ‘ชยุตพงศ์’ หรือ ‘พี่พงศ์’ ที่พนักงานในร้านเรียก รักและไว้ใจเขามาก ยกให้เขาเป็นน้องชายคนหนึ่ง แล้วเขาก็เคารพชยุตพงศ์เหมือนพี่ชายคนหนึ่งเช่นกัน เขาทุ่มสุดตัวกับการทำงาน และเขาหวังว่าสักวันจะได้เลื่อนขั้นเป็นเชฟ นั่นคือสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน

เมื่อถึงเวลาพักชยุตพงศ์ก็เดินมาหาเป็นเอกที่ห้องครัวหลังร้าน ซึ่งเขากำลังนั่งเช็ดจานที่เพิ่งล้างเสร็จ เขายิ้มเมื่อเห็นผู้จัดการร้านเดินมา

“อ้าว! พี่พงศ์ มีอะไรหรือเปล่าครับ วันนี้เข้ามาถึงครัวเลย”

“พี่มีเรื่องจะคุยกับนายน่ะ” ชยุตพงศ์บอก ก่อนจะไปเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ เป็นเอก

“เรื่องอะไรเหรอครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูงเท่าที่จะสูงได้ พร้อมกับถามอย่างแปลกใจ

ผู้จัดการร้านวัยกลางคนตบไหลลูกน้องหนุ่ม ก่อนจะเริ่มต้นถาม

“นายอยากเป็นเชฟใช่ไหม”

“ครับ? ” เป็นเอกเลิกคิ้วขึ้นสูงอีกครั้ง รู้สึกเหมือนตัวเองหูฝาด

“นายได้ยินไม่ผิดหรอก พี่ถามนายว่านายอยากเป็นเชฟใช่ไหม” เขาว่า

“ใช่ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ “ที่ผมเลือกเรียนสาขาอาหารและโภชนาการก็เพราะว่าผมใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟ ผมรักการทำอาหาร...ว่าแต่ ทำไมพี่พงศ์ถึงถามผมแบบนี้ล่ะครับ”

อีกฝ่ายยิ้ม เงียบไปสักพักจึงตอบคำถาม

“นายก็เป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านนี้มานานแล้วนะ อีกอย่าง นายตี๊ดเคยบอกกับพี่ว่านายเคยทำอาหารให้พนักงานในร้านทุกคนทานหลายครั้ง แล้วทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย ซึ่งพี่คิดว่า...” เขาเว้นวรรคนิดหนึ่ง “นายควรได้รับตำแหน่งเชฟประจำร้านแทนตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟ มันถึงเวลาแล้วจริงๆ”

“อย่าเพิ่งเลยครับพี่พงศ์” เป็นเอกวางจานลงเบาๆ และหันมาบอกชยุตพงศ์ ถึงแม้ว่าปากบอกว่า ‘อย่าเพิ่ง’ แต่ใจนั้นตรงข้ามกับปาก ใจเขาอยากเป็นเชฟมาก แต่ก็ปฏิเสธไปอย่างนั้นเอง

“ทำไมล่ะ ก็นายอยากเป็นเชฟไม่ใช่เหรอ พี่น่ะแอบเห็นและได้ยินนายพูดกับนายตี๊ดว่านายอยากเป็นเชฟ แล้วทำไมนายถึงปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งเชฟที่พี่มอบให้ล่ะ”

“คือผม...” ชายหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก

ผู้จัดการร้านจึงตบไหล่และถามอีกครั้ง

“พี่ขอเหตุผลหน่อยได้ไหม”

“เอ้อ คือ...ผมเกรงใจพี่น่ะครับ” เขาว่า

อีกฝ่ายถึงกับหัวเราะ

“โธ่! นึกว่าเรื่องอะไร แค่นี้เอง ถ้านายปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งเชฟที่พี่มอบให้ พี่จะโกรธนายและไม่พูดกับนายอีกเลย”

“แต่พี่พงศ์ครับ...”

“เป็นเอก...พี่น่ะสงสารนายรู้ไหม นายต้องปากกัดตีนถีบเลี้ยงตัวเองแล้วก็แม่ อีกอย่าง พี่เห็นว่านายมุ่งมั่นอยากจะเป็นเชฟ พี่ก็เลยจะมอบตำแหน่งเชฟประจำร้านให้นาย”

“แล้วพี่ชัชกับพี่ชิต เชฟประจำร้านคนเก่าล่ะครับ”

“เขาก็ทำในส่วนของเขา นายก็ทำในส่วนของนายไป แบ่งๆ กันทำ...แต่ละวันมีลูกค้าเข้ามาในร้านทีละหลายคนด้วย มีเชฟแค่สองคนทำไม่ทันหรอก”

“ก็ได้ครับ” เป็นเอกพยักหน้า “ผมเองก็กลัวว่าพี่จะโกรธและไม่พูดกับผมอีก แต่ถึงยังไงผมก็ขอบคุณพี่นะครับที่มอบตำแหน่งเชฟให้ผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมานานมาก ผมไม่รู้จะขอบคุณพี่ยังไงถึงพอ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” แล้วเขาก็หันไปกอดชยุตพงศ์ด้วยความซาบซึ้งใจ

ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้เป็นเชฟเสียที เวลานี้เขารอมานานแสนนาน แล้ววันนี้ก็มาถึง

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณพี่มากมาย พี่ทำเพื่อน้อง นายก็เหมือนน้องชายของพี่ พี่ก็ต้องทำเพื่อนายสิ แต่ว่าตอนนี้...นายปล่อยพี่ก่อน พี่หายใจไม่ออก” ผู้จัดการร้านบอก

เมื่อรู้ตัวว่ากอดอีกฝ่ายแน่นเป็นเอกก็รีบปล่อยทันที พร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษ

“ผมขอโทษครับ ผมดีใจจนลืมตัว”

“ไม่เป็นไร พี่ไม่ว่าอะไรหรอก”

“ผมขอสัญญาว่าผมจะทำให้ดีที่สุด จะไม่ให้พี่พงศ์เสียหน้าเลยครับ ให้สมกับที่พี่พงศ์ไว้วางใจมอบตำแหน่งนี้ให้ผม” เป็นเอกให้สัญญา

ชยุตพงศ์พยักหน้ายิ้มๆ และตบไหล่เบาๆ

“พี่เชื่อว่านายต้องทำได้แน่นอน”

แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“อิจฉานายเป็นเอกจังเลย ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเชฟเร็วมาก”

ทั้งสองคนจึงหันไปมองหน้าห้อง เห็นว่าตี๊ด ซึ่งเป็นพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งในร้านเดินเข้ามา

“นายก็หัดทำอาหารให้อร่อยสิ จะได้เป็นเชฟเหมือนนายเป็นเอกไง” ผู้จัดการร้านบอก

ตี๊ดหัวเราะ ก่อนจะพูดว่า

“ผมพูดเล่นครับพี่พงศ์ ผมไม่ได้อิจฉานายเป็นเอกหรอกครับ ผมรู้ตัวว่าผมสู้นายเป็นเอกไม่ได้...นายน่ะเก่ง ทำอาหารก็อร่อย ตำแหน่งเชฟเหมาะกับนายที่สุด” ประโยคท้ายหันไปพูดกับเป็นเอก

“นายก็พูดเกินไป ไม่ขนาดนั้นหรอก” เป็นเอกยังคงถ่อมตน

“พูดเกินไปที่ไหน ฉันพูดความจริง” อีกฝ่ายว่า “อีกอย่าง นายน่ะเหมาะกับการเป็นเชฟมากกว่าฉันโว้ย เพราะนายทำอาหารอร่อย พี่กรกับพี่กิตยังชมนายเหมือนฉันเลย”

“ขอบใจนะ” เป็นเอกยิ้มกว้าง ก่อนจะบอกกับชยุตพงศ์ว่า “เอ้อ พี่พงศ์ครับ ผมขอออกไปซื้อของหน่อยนะครับ ไปไม่นานหรอกครับ”

“ได้สิ!” ผู้จัดการร้านพยักหน้า

“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม” ตี๊ดถาม

เป็นเอกส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอก ฉันไปคนเดียวได้ อีกอย่าง ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะโว้ย อ้อ ฉันฝากนายเช็ดจานแทนฉันหน่อยนะ เหลือแค่ไม่กี่ใบเอง”

“ได้”

“ผมขอตัวก่อนนะครับพี่พงศ์ ผมไปไม่นานครับ” พูดจบแล้วชายหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องครัว

“เดี๋ยวพี่ไปอยู่หน้าร้านนะ” ผู้จัดการร้านบอกกับลูกน้อง ก่อนจะเดินออกไปอีกคน

ตี๊ดนั่งลงแทนที่เป็นเอก พร้อมกับบ่น

“แล้วฉันต้องมานั่งเช็ดจานแทนมัน ไอ้เป็นเอกนะไอ้เป็นเอก”

เป็นเอกเดินออกจากร้านไปเพียงแค่แป๊บเดียวก็มีผู้หญิงอายุห้าสิบกว่าๆ คนหนึ่งเดือนเข้ามาในร้าน ผู้หญิงคนนั้นก็คือพรรณนิภานั่นเอง!

เธอเดินคลาดกับลูกชายฝาแฝดอีกคน เกือบจะได้เห็นหน้ากันแต่ก็ไม่เห็น เหมือนโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ไม่ให้แม่ลูกเจอหน้ากัน

เธอเองก็ไม่รู้ว่าลูกชายฝาแฝดอีกคนทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งนี้ เมื่อเธอเดินเข้ามาในร้านผู้จัดการของร้านก็ประนมมือไหว้

“สวัสดีครับ เชิญที่โต๊ะนี้เลยครับคุณพี่ โต๊ะนี้ยังว่าง”

เขาชี้ไปยังโต๊ะหนึ่งที่ยังว่าง ไม่มีคนนั่ง ซึ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะเดินนำหญิงวัยห้าสิบกว่าๆ ไป

พรรณนิภาเดินตามอีกฝ่ายไป และหยุดที่โต๊ะๆ หนึ่ง

“เชิญนั่งรอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมให้พนักงานมารับออเดอร์” ชยุตพงศ์บอกกับลูกค้า

“ค่ะ” เธอนั่งลงและวางกระเป๋าข้างๆ

แล้วอีกฝ่ายก็เดินออกไป

สักพักก็มีบริกรเดินเข้ามา ประนมมือไหว้และยื่นหนังสือเมนูอาหารให้

“สวัสดีครับ นี่ครับหนังสือเมนูอาหาร เชิญเลือกได้เลยครับ”

“ค่ะ” พรรณนิภายิ้มกว้าง ก่อนจะก้มลงชี้เมนู บริกรก็จดลงกระดาษ จบด้วยคำว่า “ตามนี้แหละค่ะ”

“ครับ รอสักครู่นะครับ” บริกรบอก ก่อนจะผละไป

เพียงไม่นานอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ สองสามเมนู แต่ละเมนูล้วนแต่เป็นของโปรดของเธอทั้งนั้น มีข้าวสวยร้อนๆ เสิร์ฟพร้อม กลิ่นหอมกรุ่นๆ ชวนให้น้ำลายสอ เธอจึงลงมือทานอย่างเอร็ดอร่อย

เมื่อทานเสร็จเธอวางช้อนลงบนจานและใช้ผ้าเช็ดปาก ก่อนจะโบกมือเรียกบริกร

“น้องๆ มาเก็บเงินที่โต๊ะนี้หน่อยค่ะ”

แล้วบริกรก็เดินมา พร้อมกับยื่นบิลให้

“ทั้งหมดสี่ร้อยแปดสิบเก้าบาทครับ”

“ห้าร้อยบาทไม่ต้องถอน” พรรณนิภาล้วงหยิบเอาธนบัตรใบละห้าร้อยออกจากกระเป๋าหนึ่งใบและยื่นให้อีกฝ่าย

บริกรประนมมือไหว้อย่างนอบน้อม

“ขอบคุณครับ โอกาสหน้าเชิญมาทานที่ร้านของเราอีกนะครับ”

“ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นเดินออกไป ระหว่างนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอจึงล้วงหยิบในกระเป๋า ก้มล้วงกระเป๋าด้วยเดินไปด้วย แล้วก็เดินสวนกับลูกชายฝาแฝดอีกคนอีกครั้งหนึ่ง คลาดกันอีก

เป็นเอกเดินเข้ามาในร้านเมื่อซื้อของเสร็จ เขาหารู้ไม่ว่าเขาเดินสวนกับแม่ผู้บังเกิดเกล้าของเขา เขาเดินผ่านเลยไปในร้าน

แล้วพรรณนิภาก็กดรับโทรศัพท์มือถือ

“ฮัลโหล ค่ะคุณ ฉันกำลังกลับบ้านค่ะคุณ อ้อ ฉันมาทานข้าวที่ร้านอาหารน่ะค่ะ มาทานคนเดียวค่ะ...ค่ะ สวัสดีค่ะ” แล้วเธอก็วางสายเดินไปต่อ

สองคนแม่ลูกเดินคลาดกันแล้วคลาดกันอีก ไม่เจอกันเสียที แต่สักวันพวกเขาคงได้เจอกันแน่นอน ถ้าหากมีบุญวาสนาต่อกัน

 

ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เครื่องบินลำใหญ่ของสายการบินแอร์เอเชียกำลังเคลื่อนตัวลงจอดสู่พื้นขนาดกว้าง และเมื่อเครื่องบินจอดเป็นที่เรียบร้อยผู้โดยสารก็ทยอยลงจากเครื่อง

หญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างเพรียว อายุประมาณ ๒๔ ปี แล้วส่วนสูงก็คงจะประมาณ ๑๗๐ เซนติเมตร หน้าตาสวยทีเดียว เธอมีนามว่า ‘รินรดา ภิรมย์วัชรกุล’ เธอเพิ่งเรียนจบคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของประเทศลอนดอน เธอนั้นอยากเป็นคุณหมอด้านหัวใจ หรือที่เรียกกันว่าศัลยแพทย์หัวใจนั่นเอง ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นเธอจึงเลือกเรียนคณะนี้นั่นเอง

พอรินรดาเรียนจบก็บินกลับมาเมืองไทยทันที ทั้งๆ ที่ใจอยากอยู่เที่ยวต่ออีกสักหน่อย แต่ก็จำเป็นต้องบินกลับมา เพราะเธอได้สมัครงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในใจกลางกรุงเทพมหานครผ่านอีเมล เมื่อทางโรงพยาบาลนั้นตอบรับเธอจึงรีบบินมาเพื่อเตรียมตัวทำงานที่ตนเองใฝ่ฝัน

หญิงสาวใส่แว่นตาดำสนิท เดินลากกระเป๋าใบใหญ่มายังหน้าท่าอากาศยานด้วยท่าทีมั่นใจสุดๆ แล้วเมื่อเธอเดินมาถึงก็เห็นรถตู้สีขาวป้ายแดงจอดรออยู่แล้ว

แล้วประตูรถก็เปิดออกอัตโนมัติ มีชายหญิงวัยประมาณห้าสิบกว่าๆ ก้าวลงจากรถ ทั้งสองคนมีนามว่า ‘ชัชรินทร์ ภิรมย์วัชรกุล’ และ ‘รวัลยา ภิรมย์วัชรกุล' เป็นพ่อกับแม่ของรินรดานั่นเอง

“สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่” หญิงสาวประนมมือไหว้พ่อกับแม่

รวัลยาอ้าแขนและบอกกับลูกสาวว่า

“มาให้แม่กอดให้หายคิดถึงหน่อยซิ”

“ค่ะ” เธอเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ “รินคิดถึงคุณแม่เหมือนกันค่ะ คิดถึงที่สุด”

“แล้วไม่คิดถึงพ่อบ้างเหรอ” ชัชรินทร์แกล้งทำเป็นงอนลูกสาว

รินรดารีบคลายอ้อมกอดจากแม่ แล้วก็ไปกอดพ่อบ้าง

“คุณพ่องอนรินเหรอคะ รินก็คิดถึงคุณพ่อเหมือนกันนั่นแหละค่ะ อย่างอนรินเลยนะคะ”

แล้วผู้เป็นพ่อก็หัวเราะ

“พ่อล้อเล่นน่า พ่อไม่ได้งอนสักหน่อย”

“อ้าว! ถ้างั้นคุณพ่อแกล้งรินเหรอคะ”

“ใช่!” เขาหัวเราะอีกครั้ง “เอาละ กลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวไปคุยกันต่อที่บ้าน...นะ”

“ค่ะ คุณพ่อ รินก็มีเรื่องจะเม้าท์มอยให้คุณพ่อคุณแม่ฟังตั้งมากมายเลยค่ะ” รินรดาบอกยิ้มๆ

“ถ้างั้นก็ขึ้นรถกันเลย” ชัชรินทร์ว่า

แล้วทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็ขึ้นไปนั่งบน จากนั้นนายพันแสง ซึ่งเป็นคนขับรถประจำบ้านรีบสตาร์ทรถขับออกไปทันที

 

รถตู้คันสีขาวแล่นผ่านประตูใหญ่เข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์สามชั้นหลังใหญ่ราวกับพระราชวังก็ไม่ปาน

หน้าคฤหาสน์ปลูกไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด ทำให้ดูสวยงามอร่ามตาและร่มเย็นทีเดียว

แล้วประตูรถก็เปิดออกอัตโนมัติ ทั้งสามคนลงมารถ รินรดามองไปรอบๆ บ้านแล้วยิ้ม

“บ้านเราสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะคะ รินไปเรียนที่เมืองนอกแค่สิบกว่าปี พอกลับมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหมือนเดิมทุกอย่าง” หญิงสาวพูดกับพ่อแม่

“ต้นกุหลาบที่ลูกปลูกไว้ก็ยังอยู่นะ ออกดอกทุกปี พ่อสั่งให้นายพันรดน้ำทุกวันเลย” ชัชรินทร์กับลูกสาว

อีกฝ่ายยิ้มดีใจ

“จริงเหรอคะ คุณพ่อ ถ้างั้นรินจะไป...”

“พ่อว่าลูกมาเหนื่อยๆ ก็ควรพักผ่อนก่อน พ่อสั่งน้ำหวานจัดห้องนอนให้ลูกแล้ว”

“พ่อเขาสั่งน้ำหวานให้จัดห้องให้ลูกตั้งแต่สองวันที่แล้ว เพราะรู้ว่าลูกกำลังจะบินกลับไทย” รวัลยาบอกกับลูกสาว

เธอรักลูกสาวคนนี้มาก เพราะเธอมีลูกสาวคนนี้แค่คนเดียว เลี้ยงมาอย่างทะนุถนอม ชนิดที่ยุงไม่ไตไรไม่ให้ตอม แต่เธอกับสามีก็เลี้ยงลูกด้วยความรัก ไม่ใช่เลี้ยงด้วยเงิน จึงทำให้รินรดามีนิสัยดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น

ผู้เป็นลูกสาวรีบสวมกอดพ่อ พร้อมกับหอมแก้มและพูดว่า

“จริงเหรอคะ คุณพ่อ คุณพ่อน่ารักที่สุดเลยค่ะ รินรักคุณพ่อนะคะ”

“พ่อก็รักลูกเหมือนกัน” ชัชรินทร์ว่า

“แล้วลูกไม่รักแม่บ้างเหรอ” ผู้เป็นแม่แกล้งถามลูกสาว

รินรดาคลายอ้อมกอดจากพ่อแล้วไปกอดแม่บ้าง เมื่อเห็นว่าท่านทำหน้าน้อยใจ

“รักสิคะ...รินน่ะรักทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ตอนไปอยู่ที่เมืองนอกรินก็คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ทุกวันเลยค่ะ อย่าน้อยใจรินเลยนะคะ”

“แม่ไม่ได้น้อยใจหรอก แม่แค่แกล้งลูกเล่นๆ ก็เท่านั้นแหละ” รวัลยาหลุดหัวเราะเมื่อลูกสาวปล่อยเธอแล้ว

“คุณแม่น่ะ” เธอแกล้งงอนแม่บ้าง

อีกฝ่ายจึงถาม

“งอนแม่เหรอจ๊ะ”

“เปล่าค่ะ รินก็แค่แกล้งคุณแม่เล่นเหมือนกันค่ะ” หญิงสาวหลุดหัวเราะก๊าก

“เรานี่นะ” ส่งค้อนให้ลูกสาววงใหญ่ๆ

ชัชรินทร์โบกมือไปมาเมื่อเห็นว่าภรรยากับลูกสาวมัวแต่พูดคุยหยอกล้อกันอยู่

“จะพากันยืนอยู่ตรงนี้เหรอ สองคนแม่ลูก”

“เข้าบ้านสิคะ คุณสามี” ผู้เป็นภรรยาตอบ

“น้ำหวานๆ น้ำหวานอยู่ไหน มาเอากระเป๋าคุณรินขึ้นไปไว้บนห้องที” เขาเรียกหาสาวใช้

เพียงไม่นานน้ำหวานก็วิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากข้างในบ้าน

“น้ำหวานมาแล้วค่ะ คุณผู้ชาย”

“เอากระเป๋าคุณรินขึ้นไปไว้บนห้องด้วย” เขาสั่งอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำภรรยากับลูกสาวเข้าไปข้างในบ้าน โดยต้องเดินขึ้นบันไดห้าขั้นหน้าบ้าน

เมื่อเข้ามาข้างในบ้านแล้วชัชรินทร์ก็ถามลูกสาวว่า

“เอ้อ แล้วนี่ลูกจะเริ่มทำงานเมื่อไหร่ล่ะ”

“ประมาณอาทิตย์หน้าค่ะ คุณพ่อ...ทางโรงพยาบาลส่งอีเมลตอบกลับมาแล้ว” รินรดาตอบผู้เป็นพ่อยิ้มๆ

“พ่อขออวยพรให้ลูกประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นหมอก็ต้องมีหน้าที่ดูแลรักษาคนไข้ และที่สำคัญ ต้องมีจรรยาบรรณด้วย” ผู้เป็นพ่ออวยพรลูกสาว

รวัลยาก็อวยพรลูกสาวเช่นกัน

“แม่ก็ขออวยพรให้ลูกประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ตั้งใจทำงาน ช่วยเหลือและรักษาคนไข้ อย่าใช้อารมณ์กับคนไข้นะลูก”

“คุณแม่ก็รู้นี่คะว่ารินไม่เคยใช้อารมณ์เหนือกว่าเหตุผล” ผู้เป็นลูกสาวว่า

“นั่นแหละ แม่รู้...แม่แค่บอกลูกไว้เฉยๆ”

“ขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่มากนะคะที่อวยพรริน รินขอสัญญาว่ารินจะตั้งใจทำงานที่ตัวเองใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก ที่สำคัญ รินจะคิดว่าคนไข้เปรียบเสมือนคนในครอบครัว รินจะรักษาเขาให้ดีให้สุดความสามารถค่ะ”

“พ่อภูมิใจในตัวลูกรู้ไหม” ชัชรินทร์จับหัวลูกสาวเขย่าเบาๆ อย่างเอ็นดู

“แม่ก็ภูมิใจในตัวลูกสาวของแม่คนนี้เหมือนกันจ้ะ ทำมันให้ดีที่สุดนะลูก” ผู้เป็นแม่ยิ้มกว้าง

รินรดาอ้าแขนและพูดว่า

“ขอรินกอดคุณพ่อกับคุณแม่หน่อยนะคะ”

“ได้สิลูก” ทั้งพ่อและแม่ตอบพร้อมกัน

แล้วสามคนพ่อแม่ลูกก็กอดกันแน่นหนาด้วยความรัก ช่างเป็นภาพที่อบอุ่นเสียจริงๆ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.