ปาฏิหาริย์ซาตาน 3 : สองคนบนทะเลทรายกว้างใหญ่ (Rewrite)

ปาฏิหาริย์ซาตาน

-A A +A

ปาฏิหาริย์ซาตาน 3 : สองคนบนทะเลทรายกว้างใหญ่ (Rewrite)

            หลังจากหาทางออกมาจากเมืองได้ ฟาร์เน่ก็ฉวยโอกาสตอนผู้คนกำลังชุลมุนขโมยอูฐชาวบ้านแถวนั้นรีบขี่มุ่งออกสู่ทะเลทรายเวิ้งว้างทันที  เดินทางได้ระยะหนึ่ง ท่ามกลางผืนทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เด็กสาวยังบังคับอูฐให้เร่งฝีเท้าเร็วที่สุดเพื่อหาทางออกจากทะเลทรายนี้ให้ได้ สายตามุ่งมั่นมองผ่านเปลวแดดซึ่งกำลังทวีความจ้าและร้อนขึ้นเรื่อยๆไปข้างหน้า ก่อนจะเหลือบไปสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนทรายสีทองอร่ามห่างออกไป

            ในใจเกิดความคิดหลายอย่างตีกัน เธอควรจะเข้าไปช่วยเขาดีหรือไม่ แต่ถ้าเข้าไปแล้ว กลับเป็นแผนล่อเหยื่อของพวกโจรเหมือนโลกที่เธอมา จะทำอย่างไร? หรือถ้าไม่เข้าไป เกิดเขาต้องการความช่วยเหลือจริงๆ จะแล้งน้ำใจไปหรือเปล่า? คนบนหลังอูฐกวาดสายตาไปทั่วบริเวณที่ร่างนั้นนอนนิ่งอยู่ ลานทรายยังราบเรียบเสมอกันกินบริเวณกว้าง ภูมิประเทศแบบนี้ยากที่พวกผู้ร้ายจะสามารถซุ่มตัวได้ หรือหากพวกมันทำได้ ก็มีแต่จะต้องฝังตนเองเข้าไปใต้ผืนทรายร้อนระอุเท่านั้น

            พอคิดได้อย่างนั้น ฟาร์เน่ก็รีบบังคับอูฐให้วิ่งเข้าไปใกล้ร่างแน่นิ่งบนผืนทรายนั้นทันที ฝีเท้าอูฐวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ...ก่อนจะค่อยๆชะลอลงเมื่อใกล้ถึงเป้าหมาย จนกลายเป็นย่างเดินในจังหวะปกติ อูฐหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างที่นอนสลบไสล ก่อนคนบนหลังจะบังคับให้มันย่อตัวลง

            ฟาร์เน่ขยับลงหลังอูฐ เดินเข้ามานั่งสำรวจร่างที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย ก่อนจะยื่นมือเรียวสวยออกไปสัมผัสหน้าผากของร่างดังกล่าวเบาๆ

  “ไม่ได้กาลแล้ว ตัวร้อนจี๋เลย แบบนี้ต้องนอนตากแดดมานานแล้วแน่ๆ!” เธอพูดกับตนเอง แล้วรีบลุกขึ้นไปหยิบถุงกระเพาะแกะใส่น้ำเอามาให้ร่างหมดสติดื่ม

            แต่เมื่อเปิดผ้าที่ปิดใบหน้าของคนปริศนากลางผืนทรายระอุออก ดวงตาคู่สวยก็ต้องเบิกโตด้วยความตกใจกับภาพที่เห็น

  “ดิโมล่า!!” เด็กสาวอุทาน ก่อนจะรีบประคองใบหน้าอีกฝ่ายขึ้นป้อนน้ำจากกระเพาะแกะให้ ปากแห้งแตกและใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายจึงเริ่มกลับมามีความสดชื่นอีกครั้งในเวลาไม่นาน

  “ทำใจดีๆไว้นะ ฉันจะรีบพาแกไปหลบแดดที่ภูเขาทรายเดี๋ยวนี้แหละ!" พอพูดจบ สองแขนเรียวแข็งแรงก็รีบแบกร่างดิโมล่าขึ้นบนหลังอูฐทันที

            ใต้ร่มเงาของภูเขาทรายสูง ฟาร์เน่กำลังนั่งใช้ผ้าบิดน้ำหมาดๆเช็ดหน้า ซอกคอให้ดิโมล่าเพื่อดับไอร้อนในร่างกาย รวมถึงสร้างความชุ่มชื่นให้แก่เด็กสาว เนื้อตัวของพวกเธอเต็มไปด้วยเหงื่อไหลโชกทั่วร่าง ก่อนลมร้อนกรุ่นๆจะพัดมา ปลุกให้เด็กสาวที่สลบไสลไปนานเริ่มรู้สึกตัวขึ้น

  “น้าฮาซ่า!...น้าฮาซ่า!..."ฟื้นขึ้นมา ดิโมล่าก็ตะโกนเรียกหาพระพี่เลี้ยงของตนเองทันที

  “ดิม” ฟาร์เน่ทักขึ้นไม่ดังนัก ก่อนเจ้าของชื่อจะหันขวับมามองด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินใครเรียกชื่อเล่นเธอแบบนั้นในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

  “ฟาร์!” ดิโมล่าหลุดปากเรียกชื่อเพื่อนที่ไม่คิดว่าจะได้พบในเร็ววัน

  “ฟื้นสักทีนะ ดูท่าแกจะแอบเป็นลมแดดน่ะ ดีใจจังที่ได้เจอแกและที่แกฟื้น” ฟาร์เน่ส่งยิ้มสดใสมาให้

  “แล้วพระพี่เลี้ยงของฉันล่ะอยู่ที่ไหน?” ดิโมล่าถามด้วยความสงสัย ล่าสุดที่คุยกับหญิงวัยกลางคนคนนั้น เธอบอกจะออกไปหาเสบียงมาให้ สั่งเด็กสาวให้รออยู่ที่เดิม อย่าไปไหน

  “พระพี่เลี้ยงอะไรของแก เท่าที่เห็นตอนแรกก็มีแค่แกนะ ยังมีใครนอกจากแกอีกหรือ?”

  “ใช่ แกไม่เห็นใครอยู่กับฉันเลยหรือ?"

  "ก็ไม่นะ งั้นลองกลับไปตามหาดีไหม?"

  "ดีสิ งั้นรีบไปตามหากันเถอะ"

  “อาฮะ งั้นเอาของทิ้งไว้นี่ก่อนแล้วกัน เอาไปด้วยหนักอูฐ” ฟาร์เน่บอก ก่อนทั้งสองจะพากันขึ้นอูฐออกไปตามหาพระพี่เลี้ยงที่ว่า

 

            เวลาผ่านไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์กลมโตเริ่มคล้อยลงทางทิศตะวันตก ฟาร์เน่และดิโมล่าพากันขี่อูฐตามหาพระพี่เลี้ยงที่ว่าไปทั่วบริเวณทะเลทรายแถบนั้น แต่ก็ยังไม่พบตัว สีหน้าของดิโมล่าบอกถึงความเป็นห่วงคนที่ตามหาอย่างมาก

  “ดิม ตอนนี้จะเย็นแล้ว พวกเรากลับไปที่เดิมกันเถอะนะ ไปไกลกว่านี้ฉันกลัวว่าจะหลงทะเลทรายเอา” ฟาร์เน่หันไปพูดกับเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ด้านหลัง

  “ก็ได้” ดิโมล่าตอบอย่างตัดใจ เธอเห็นตามอย่างที่เพื่อนว่า ความปลอดภัยของพวกเธอในตอนนี้ต้องมาก่อน แม้ว่าจะยังห่วงพระพี่เลี้ยงคนนั้นมากเพียงใดก็ตาม

            ฟาร์เน่จึงหันหัวอูฐวิ่งกลับไปที่พักเดิม 

  “โชคดีนะเนี่ยที่ของยังอยู่ครบ” ฟาร์เน่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นข้าวของที่ตนเองทิ้งไว้ใต้ร่มภูเขาทราย ก่อนจะบังคับอูฐเดินเข้าไปใกล้ แล้วสั่งมันให้นั่งลง

  “เก็บของกันก่อนนะ เดี๋ยวเราจะพากันไปหาที่พักที่อื่น” ฟาร์เน่บอกขณะก้มเก็บของทุกอย่างกลับไปไว้บนหลังอูฐ

  “ทำไมไม่พักกันที่นี่เลยล่ะ จะเสียเวลาไปหาที่พักใหม่ทำไม?” ดิโมล่าถามด้วยความสงสัย เพราะสำหรับเธอพักที่นี่ก็ได้อยู่แล้ว

  “ไม่รู้สิ เคยอ่านในนิยายอะ เห็นฉากทะเลทรายตัวละครชอบไปตั้งแค้มป์บนเนินทรายน่ะ"

  "เหตุผลแค่เนี้ยนะ" ดิโมล่าไม่อยากเชื่อหู

            หลังจากเก็บของเสร็จ สองสาวก็พากันเดินทางต่ออีกระยะหนึ่ง จนหาที่เหมาะสำหรับตั้งแค้มป์พักแรมได้ ก็ตกลงปักหลักกันที่นั่น

  “ฉันไปหาอะไรมาทำฟืนก่อไฟก่อนนะ ส่วนเธอช่วยจัดของให้ด้วยละกัน ฮิๆๆ” ฟาร์เน่หัวเราะอย่างมีเลศนัย ก่อนดิโมล่าที่นั่งอยู่จะเงยหน้าขึ้นมอง “มองหน้าทำไม?” เธอแกล้งตีหน้าไร้เดียงสาถามออกไป

  "คิดจะหลอกให้ฉันจัดของให้ล่ะสิ" ดิโมล่าว่าอย่างรู้ทัน

  “โถ่ นิดเดียว..อยู่นนี่ล่ะ เดี๋ยวมา"ฟาร์เน่ยังยิ้มหน้าระรื่น

  "ให้ได้อย่างนี้สิ" ดิโมล่าบ่น ก่อนฟาร์เน่จะหัวเราะชอบใจเดินออกไป

  “นี่เสบียงก็ใกล้จะหมดแล้วอะ ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะมีอะไรให้พวกเราเอามาทำอาหารหรือเปล่านะ” ฟาร์เน่พูดพลางยกถุงกระเพาะแกะขึ้นมาดื่มน้ำ

  "หาอะไรได้ก็กินๆไปเถอะ" ดิโมล่าบอกอย่างปัดรำคาญ

  "แล้วถ้าที่หาได้มันกินไม่ได้ล่ะ แกก็จะกินใช่มะ" ฟาร์เน่พูดหน้าตาเฉย พอเห็นเพื่อนง้างมือขึ้น ก็รีบหลบทันที

  "ก็หาอะไรที่มันกินได้สิยะหล่อน"ดิโมล่าสะบัดเสียงใส่

  “อากาศในทะเลทรายตอนกลางคืนหนาวอย่างที่เขาบอกจริงๆนะ” จู่ๆฟาร์เน่ก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปเฉยๆ

  "อื้อ" ดิโมล่าพยักหน้ารับ สองมือก็ยังจับอาหารเข้าปากไม่หยุด

  “ท้องฟ้าตอนกลางคืนก็ส๊วยสวย ดูสิ” เพื่อนสาวข้างๆพูดต่อ สายตาจับอยู่ที่ภาพท้องฟ้าพร่างพรายอย่างชื่นชม

            ดิโมล่าได้ยินที่ฟาร์เน่พูดจึงเงยหน้ามองตาม ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายว่า

  “นั่นสิ ดวงจันทร์ก็สวยนะ ที่นี่เห็นชัดมาก"

  "จะทำอะไรน่ะ?" ฟาร์เน่ถามขึ้นเมื่อเห็นดิโมล่ายื่นมือออกไปบนฟ้า

  "แกนี่ไม่รู้อะไรซะเลย" ดิโมล่าบ่น "ฉันก็จะทำแบบนี้ไง" เธอทำท่าเหมือนจับดาวไว้กลางอากาศให้เพื่อนสาวดู

  "เหมือนจับได้จริงๆเลยอะ ไหนๆ ทำด้วยๆ" แล้วฟาร์เน่ก็นึกสนุกทำอย่างที่ดิโมล่าทำบ้าง ตอนนี้ในมือเธอคล้ายจับดาวดวงน้อยไว้ได้จริงอย่างไรอย่างนั้น

  "วันนี้คงหลับฝันดีแน่เลยสิ" ดิโมล่ามองดาวในมือพลางยิ้ม

   "นั่นสิ ได้นอนกลางท้องฟ้าสวยขนาดนี้เลยนี่นะ"

   "จะว่าไป ฟาร์ แกคิดว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน?" ดิโมล่าวางมือลงตักพลางหันมาถาม

            ถึงตรงนี้ฟาร์เน่ก็สีหน้าเปลี่ยนทันที คำพูดส่งท้ายของผู้ชายคนนั้นยังติดหูเธอไม่เคยลืม

  “ในหนังสือประหลาดนั่น” เด็กสาวรำพึงออกมา

  “หลังจากไตร่ตรองทุกอย่างดีๆแล้ว ฉันก็คิดอย่างนั้น ล่าสุดพวกเราเขียนลงในหนังสือบ้านั่นว่าขอคุณปู่คืน แล้วก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจประจำวัน ก่อนหน้าจะมาโผล่ที่นี่ ฉันจำได้ว่าตัวเองเพิ่งเข้านอน” พอดิโมล่าพูดจบ ขนบนตัวทั้งคู่ก็ลุกชันด้วยความพิศวงทันที

 

            ไกลออกไปในอีกน่านทะเลทรายหนึ่ง บนเนินทรายสูง มีชายหญิงสองคนและอูฐอีกสองตัว กำลังพักดื่มน้ำ กินเสบียงกันอยู่ ทว่าดูเหมือนจะมีเพียงชายหนุ่มผู้นำขบวนเท่านั้นที่ได้กิน ปล่อยทาสสาวนั่งมองตาขวางอยู่ด้านหลังด้วยความไม่พอใจ

  “อะแฮ่มๆ” เด็กสาวทำเสียงค่อกแค่กในลำคอ แลสายตาไปทางชายหนุ่ม ซึ่งทำตัวเหมือนไม่รู้ร้อนอะไรสักอย่าง “อะแฮ่มๆ...อะแฮ่มๆ” เสียงที่ออกมาแต่ละครั้งดูเหมือนมันจะพยายามดังขึ้นเรื่อยๆเพื่อดึงความสนใจจากอีกฝ่าย ทว่าสิ่งที่แวมไพร์ได้รับก็คือความเฉยเมยกลับมาเท่านั้น

  “นี่..เป็นคนอยู่คนเดียวหรือไง!” แวมไพร์อดรนทนไม่ได้ก็โพล่งขึ้น เป็นผลให้คนที่กำลังกินอยู่ปรายตามองดุๆทันที

            หากเป็นคนอื่นเห็นอย่างนั้นก็คงยอมสงบเสงี่ยมด้วยความหวาดกลัว แต่นั่น..ไม่ใช่แวมไพร์

  “ทาสควรปล่อยให้นายมันอิ่มก่อนหรือไม่” น้ำเสียงเรียบเย็นกล่าวอย่างไร้เยื่อใย จนแวมไพร์ถึงกับอึ้ง เพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครกล้าทำกับเธอแบบนี้

  “แล้วถ้าเจ้านายกินหมดล่ะ...คะ...ทาสอย่างฉันจะได้แตะหรือ” น้ำเสียงไม่ยอมแพ้ พูดเน้นแต่ละคำหนักแน่น แววตาวิบวับด้วยความโมโห

  “อืม..ข้าลืมไปว่าเจ้าก็เป็นคน”

  “ข้า เป็น ทาส ก็จริงนะ..แต่ ทาส ก็ เป็นคน อยู่...ไม่ใช่สิ เป็นมนุษย์อยู่ค่ะ เจ้านาย”

            เพราะมนุษย์เป็นได้ด้วยใจสูง เหมือนหนึ่งยูงมีดีที่แววขน ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แค่เพียงคนไงล่ะ ฮ่าๆๆ

  “ข้าจะให้เจ้ากินน้ำสองอึก ปล่อยเจ้าตายตอนนี้ เหรียญทองคำที่เสียไปคงสูญเปล่า”

            สองอึก ช่างเป็นพระคุณจริงๆ ฮึ่ย ฉันอยากจะฆ่ามานนนนน

  “หึ ยังดีนะที่อีตานี่มันยังมีที่นอนและอาหารให้เรากิน ไม่ได้ใจดำอำมะหิตอย่างที่คิด ไม่งั้นฉันไม่เอาไว้แน่” แวมไพร์นั่งจัดหมอนและที่นอนพลางบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว “แต่ติดที่ฉันจะต้องมานั่งจัดให้ตานั่นด้วยเนี่ยสิ”

  “คงจัดเสร็จก่อนพ้นคืนนี้นะ” เสียงทุ้มเท่ดังมาจากด้านหลังห่างออกไปสามสี่เมตร เด็กสาวที่กำลังจัดที่นอนอยู่จึงรีบสวนกลับไปทันที

  ”ได้นอนแน่ค้าเจ้านาย...เสร็จแล้วค้าเชิญเจ้านายบรรทมได้เลยค้า” แวมไพร์ทำเสียงประชดใส่ด้วยความหมั่นไส้

  “ข้าลืมไปอย่างหนึ่ง” จู่ๆชายหนุ่มที่เพิ่งล้มตัวนอนก็เอ่ยขึ้น

  “อะไร..คะ?” เด็กสาวยังมิวายทำน้ำเสียงกวนอวัยวะเบื้องล่างใส่

  “ข้ายังไม่ได้ถามชื่อเจ้าเลยน่ะสิ”

  “อ๋อ...ยังอยากจะรู้จักชื่อข้าอยู่อีกหรือคะ”

  “รีบบอกมาตอนนี้ ได้เวลาพักผ่อนของข้าแล้ว” เสียงเรียบดุนิ่งๆ

  “ชื่อแวมไพร์..ข้าชื่อ แวมไพร์ ค่ะเจ้านาย” แวมไพร์เน้นคำว่า เจ้านาย อย่างไม่ประสบอารมณ์ พอได้ยินแค่นั้น ชายหนุ่มก็ทำท่าเหมือนหลับไปทันที

  “อย่าให้ได้ทีฉันนะ” เธอแสยะปากอย่างอำมหิต ก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง

            แต่พยายามข่มตาหลับให้ตายอย่างไรก็ยังข่มใจหลับไม่ลงสักที เด็กสาวจึงได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ที่เป็นอย่างนี้ คงเพราะแปลกที่สำหรับเธอ  ขณะนอนๆอยู่ เธอก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย จนไปหยุดตรงความคิดอยากจะหนีจากการเป็นทาส ร่างสมส่วนขยับตัวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มเพื่อดูว่าเจ้านายสุดโหดของเธอหลับสนิทดีหรือยัง แต่ใจจริงคิดว่า เขาตายหรือยังมากกว่า

            เมื่อทดสอบขั้นที่หนึ่งผ่านไป เธอจึงใช้วิธีที่สอง โดยการโบกมือตรงหน้าชายหนุ่ม หึๆ ตายแล้วจริงๆด้วย เอาล่ะ ฉันกำลังจะหนีนายไปแล้วนะ คิดดังนั้นแวมไพร์จึงดันตัวเองลุกขึ้นเบาๆ ค่อยๆย่างเท้าออกมาให้เงียบเชียบที่สุด...เมื่อเห็นว่าออกห่างจากจุดอันตรายมาพอสมควรแล้ว ก็เริ่มสับขาวิ่งทันที

  “หึ ฉันหวังว่าเธอจะหนีไปไกลพอนะ” รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และนึกสนุกปรากฏบนหน้าหล่อนั้น

            แวมไพร์พยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุด เพื่อคนที่อาจจะตามมาจะได้ตามไม่ทัน การที่ชอบเล่นกีฬา ทำให้เธอมีแรงวิ่งได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยมากนัก

  “นายไม่มีวันตามฉันทันหรอก ฮึๆ” น้ำเสียงพูดแสดงความเย้ยหยันปนสะใจอย่างปิดไม่มิด

  “วิ่งได้เร็วแค่นี้หรือ” เสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งดังมาไกลๆ

            เด็กสาวหันหน้าไปตามทิศทางที่ได้ยิน ก่อนจะเห็นร่างสูงควบอูฐวิ่งใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก..ก็วิ่งแซงหน้าเธอไปจนฝุ่นตลบอบอวนไปหมด

  “แค่กๆๆ” แวมไพร์ไอเพราะละอองฝุ่นที่ปลิวเข้าปาก “นี่นายโกงนี่ ฉันวิ่งแต่นายขี่อูฐ!” เธอชี้หน้าโวยอย่างไม่ประสบอารมณ์ แต่เป็นเพราะคำพูดประโยคนี้ จึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะกิดใจ ฉัน / นาย งั้นหรือ?

  “หึ..รำไม่ดี ก็ไม่ควรโทษปี่ โทษกลอง”

  “ฉัน เออะ ข้าไม่ได้โทษปี่ โทษกลอง โทษขลุ่ย โทษสะล้ออะไรทั้งนั้นแหละ แต่เห็นๆอยู่ว่า..ว่า..เอ่อ ท่านน่ะโกงจริงๆ” เอาเถอะ คิดคำไม่ออกจะเรียกอะไร เรียกส่งเดชไปก่อนละกัน ถึงมันจะดูเหมือนฉันยกย่องนายมากก็ตามเถอะ

  “ต่อให้แล้วหนิ ให้เจ้าวิ่งนำมาก่อนตั้งหลายนาที...แต่เจ้าวิ่งออกมาทำไม คงไม่ได้คิดจะหนีหรอกนะ เพราะคงรู้ว่าทาสที่คิดหนีต้องเจอกับอะไรบ้าง”

  “อ้อเปล๊า ไม่เล้ย ไม่ได้คิด ข้ารู้สึกว่าร่างกายมันอ่อนแอน่ะ เลยมาวิ่งออกกำลังกาย”

  “ร่างกายอ่อนแอ..อยากออกกำลัง..อ้อ นี่บอกว่าเลี้ยงเจ้าดีไปสินะ งั้นต่อจากนี้ข้าจะเพิ่มหน้าที่ให้เจ้าเป็นสองเท่า ถ้ายังไม่พอ ข้าก็จะเพิ่มให้เจ้าอีกเรื่อยๆ” เขาบอกหน้าตาเฉย

หา! เพิ่มหน้าที่ จะบ้ารึไง

  “ข้า..”

  “ห้ามปฏิเสธ ให้แล้วก็ต้องรับ...” ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้ม แล้วพูดต่อไป “ไหนๆเจ้าก็เริ่มออกตัวมาขนาดนี้ ก็เดินทางต่อเลยแล้วกัน”

  “อะไรนะ! ข้ายังไม่ได้พักเลยนะ!”

  “เวลาพักข้าให้เจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ใช้มันให้คุ้มเอง”

            เออ นี่ฉันผิดใช่มะ ได้ อย่าให้ถึงทีฉันนะ!

#ผู้แต่ง ครองใจ เมตต์พิรุณ & Vampire

#ขอบคุณหัวใจ ของเธอ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.