บทที่ 42: ประตูแห่งชีวิต
...นี่คือหัวใจของโลกใบนี้
คำพูดนั้นไม่ได้ถูกเอ่ยออกมา แต่เป็นความรู้สึกร่วมกันที่ก่อตัวขึ้นในใจของทีมเดินทางเท้าทั้งหกคน พวกเขายืนนิ่งอยู่ตรงชายขอบของป่าที่เงียบสงัด แหงนหน้ามอง "ต้นไม้โลก" ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะหยั่งถึง มันคือภาพที่ทั้งงดงามและน่ายำเกรงจนทำให้พวกเขารู้สึกตัวเล็กจ้อยราวกับเป็นเพียงธุลีดิน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ ในที่สุด ลีน่าก็เป็นคนแรกที่ได้สติกลับคืนมา "เราต้องเข้าไปใกล้กว่านี้" เธอกล่าวเสียงเบา "เราต้องหาทางเข้า"
ครามพยักหน้าเห็นด้วย เขาไม่ได้นำทางด้วยความรวดเร็วเหมือนเคย แต่กลับเดินอย่างเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความเคารพ ทุกย่างก้าวที่ย่ำลงไปบนพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยมอสสีเงินเรืองแสงนั้นเงียบกริบ
การเดินเท้าจากชายป่าเข้าไปสู่ฐานของลำต้นยักษ์นั้นใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเต็ม มันคือการเดินทางผ่านภูมิประเทศที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเจอ รากไม้ขนาดมหึมาที่ใหญ่กว่ารถแรคคูนทั้งคันชอนไชไปทั่วพื้นดิน ก่อตัวเป็นเนินเขาและหุบเหวขนาดย่อม อากาศที่นี่เย็นและบริสุทธิ์อย่างน่าประหลาด มีกลิ่นหอมจางๆ เหมือนกลิ่นของโอโซนหลังฝนตกผสมกับกลิ่นของยางไม้โบราณ
"ผม... ไม่ได้ยินเสียงหัวใจของมันแล้ว" โอไรออนกระซิบขึ้นเมื่อพวกเขาเข้ามาอยู่ใต้ร่มเงาของกิ่งก้านสาขาที่ใหญ่ที่สุด "แต่ผมได้ยินเสียงอื่นแทน... เสียงที่เหมือน... กระแสไฟฟ้าที่ไหลเวียนอย่างช้าๆ... อยู่ในเปลือกไม้นั่น"
"ฉันก็รู้สึกค่ะ" ไลราตอบ เธอเดินพลางใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามเปลือกไม้สีเทาขาวที่เรียบเนียนราวกับหินอ่อนขัดมัน "มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่หลับใหล... แรงสั่นสะเทือนของมันสงบนิ่งและยิ่งใหญ่มาก"
เร็กซ์ยังคงทำหน้าที่ระวังหลังโดยสัญชาตญาณ เขามองขึ้นไปเบื้องบน ที่ซึ่งใบไม้ขนาดมหึมาแต่ละใบใหญ่พอๆ กับลานจอดพ็อดในดุษฎีนคร บดบังแสงแดดจนหมดสิ้น เหลือเพียงแสงสีเงินนวลที่ลอดผ่านลงมา ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนอยู่ในวิหารใต้ทะเลลึก
"ถ้ามีอะไรซ่อนอยู่บนนั้น..." เขาพึมพำกับตัวเอง "...เราจะไม่มีวันมองเห็นมันแน่"
ในที่สุด พวกเขาก็เดินทางมาถึง "กำแพง"... ผนังของลำต้นที่ตั้งตรงสูงตระหง่านขึ้นไปจนสุดสายตา พวกเขาเริ่มเดินเลียบไปตามฐานของมัน เพื่อค้นหาทางเข้าที่ครามเคยพูดถึง
และพวกเขาก็ได้พบกับ "รอยสลัก"
มันไม่ใช่ภาษา... ไม่ใช่สัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์... แต่มันคือการผสมผสานที่น่าทึ่งของทั้งสองสิ่ง ลีน่าหยุดยืนจ้องมองภาพของเกลียว DNA ที่ถูกสลักควบคู่ไปกับภาพของดวงดาวและกลุ่มดาวต่างๆ อย่างไม่เชื่อสายตา ในขณะที่เอลาราที่มองผ่านกล้องของลีน่าก็ถึงกับร้องออกมา
[เอลารา: นั่นมัน... แผนที่ดาราศาสตร์! และมันก็แม่นยำมาก! แต่... ตำแหน่งของดวงดาวมันไม่ตรงกับท้องฟ้าในยุคของเรา... มันคือท้องฟ้าเมื่อ... สามร้อยกว่าปีก่อน!]
ครามชี้ไปยังอีกส่วนหนึ่งของรอยสลัก มันเป็นภาพของมนุษย์ที่กำลังยืนจับมือกันเป็นวงกลมล้อมรอบต้นไม้... และมีเส้นแสงเชื่อมโยงจากหัวใจของแต่ละคนไปยังใจกลางของต้นไม้
...บรรพบุรุษของเรา... เชื่อว่าที่นี่คือจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ
คำพูดของลินดาทำให้บรรยากาศที่น่าเกรงขามอยู่แล้ว ยิ่งดูศักดิ์สิทธิ์และลึกลับขึ้นไปอีก พวกเขาไม่ได้กำลังเดินสำรวจต้นไม้... แต่กำลังย่างเท้าเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า
พวกเขาเริ่มเดินเลียบไปตามฐานของลำต้นที่มหึมานั้นอย่างช้าๆ มันไม่ใช่การเดินบนพื้นราบ แต่เป็นการเดินทางผ่านภูมิประเทศที่บิดเบี้ยวและแปลกประหลาด รากแต่ละเส้นที่โผล่พ้นดินขึ้นมานั้นใหญ่โตราวกับกำแพงเมืองโบราณ บางเส้นสูงท่วมหัวจนพวกเขาต้องเดินอ้อมเข้าไปในช่องว่างระหว่างราก ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในหุบเขาที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
"เหลือเชื่อ..." เอลาร่าพึมพำผ่านระบบสื่อสาร เสียงของเธอเต็มไปด้วยความทึ่งจนเก็บอาการไม่อยู่ [ลีน่า! ฉันขอตัวอย่างเปลือกไม้นั่นได้ไหม? แค่ชิ้นเล็กๆ ก็พอ! องค์ประกอบของมันไม่น่าจะใช่เซลลูโลสธรรมดา!]
ลีน่ามองไปยังผนังเปลือกไม้สีเทาขาวที่สูงตระหง่านอยู่ข้างๆ เธอ มันมีร่องลึกและรอยแตกขนาดใหญ่พอที่คนคนหนึ่งจะเข้าไปซ่อนตัวได้สบายๆ ผิวสัมผัสของมันเรียบเนียนและเย็นเหมือนหิน แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ข้างใต้ "ฉันทำไม่ได้เอลารา" เธอตอบกลับ "ครามเตือนแล้วว่าอย่ารบกวนที่นี่"
เร็กซ์เดินพลางใช้มือลูบไปตามผนังเปลือกไม้นั้น "แข็งเหมือนเกราะของยานรบ" เขาพึมพำ "แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนมัน 'หายใจ' อยู่"
ยิ่งเดินลึกเข้าไปใต้ร่มเงาของมันมากเท่าไหร่ บรรยากาศก็ยิ่งเปลี่ยนไป แสงแดดถูกบดบังจนหมดสิ้น มีเพียงแสงสีเงินนวลจากมอสเรืองแสงเท่านั้นที่ส่องนำทาง พวกเขามองขึ้นไปเบื้องบน แต่ก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาตะคุ่มของ กิ่งที่อยู่ต่ำที่สุดซึ่งยังอยู่สูงขึ้นไปหลายร้อยเมตร และมันใหญ่โตเสียจนดูเหมือนว่าป่าทั้งป่าสามารถไปเติบโตอยู่บนนั้นได้
"เสียงฮัมมันเปลี่ยนไป" โอไรออนกระซิบ เขาหยุดเดินและเอียงศีรษะ "ตรงนี้มันทุ้มกว่า... เหมือนเรากำลังเดินเข้าใกล้หัวใจของมันมากขึ้น"
ครามที่เดินนำอยู่ก็หยุดลงเช่นกัน เขาชี้ไปยังหยดน้ำสีอำพันขนาดใหญ่ที่กำลังค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากรอยแตกของเปลือกไม้เบื้องบน มันส่องแสงเรืองรองในตัวเองและมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำผึ้งผสมกับกลิ่นของดิน
"น้ำตาของต้นไม้" ลินดาอธิบาย "คนเฒ่าคนแก่บอกว่ามันคือยาอายุวัฒนะ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะลองชิม"
[ศิลา: ยางไม้เรืองแสง! มันต้องมีสารประกอบอินทรีย์ที่ซับซ้อนมากแน่ๆ! ท่านผู้บัญชาการ! ได้โปรดเถอะครับ! แค่หยดเดียว!]
ลีน่าส่ายหน้าและส่งสัญญาณให้ทุกคนเดินต่อไป เธอรู้ดีว่าถ้าขืนปล่อยให้นักวิทยาศาสตร์ของเธอได้ลงมือทำงานที่นี่ พวกเขาคงจะใช้เวลาอีกเป็นร้อยปีก็ยังสำรวจได้ไม่หมด
พวกเขาเดินต่อไปเรื่อยๆ... ผ่านน้ำตกยางไม้... ผ่านสวนเห็ดที่ส่องแสงเป็นสีรุ้ง... ผ่านเถาวัลย์ที่มีดอกเป็นผลึกคริสตัล... ทุกย่างก้าวคือการค้นพบที่น่าทึ่งและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน พวกเขาไม่ได้แค่กำลังเดิน... แต่กำลังหลงทางอยู่ในโลกใบใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตเพียงต้นเดียว
การเดินทางดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงบ่นอุบอิบของเหล่าด็อกเตอร์และเสียงหัวเราะคิกคักของลินดา พวกเขาเดินมาถึงบริเวณที่พื้นดินเปลี่ยนจากดินร่วนปกติกลายเป็นพื้นดินที่นุ่มหยุ่นเหมือนฟองน้ำ ทุกย่างก้าวที่ย่ำลงไปจะเกิดเสียง "บุ๋ง" เบาๆ และมีละอองเรณูที่เรืองแสงสีทองลอยฟุ้งขึ้นมาในอากาศ
"หยุด!" เอลาราตะโกนผ่านระบบสื่อสารเสียงดังลั่น [ทุกคนหยุดเดินเดี๋ยวนี้! ดิชั้นกำลังตรวจจับการสั่นสะเทือนระดับไมโครที่ไม่เสถียรอยู่ใต้พื้น! มันอาจจะเป็นโพรงหรือ...!]
แต่ก่อนที่เธอจะวิเคราะห์จบ ครามที่เดินนำอยู่ก็กระทืบเท้าลงบนพื้นนุ่มๆ นั่นอย่างแรง บุ๋ง! ละอองเรณูสีทองระเบิดออกมาเป็นวงกว้าง
"ท่านพ่อบอกว่า... มันก็แค่ 'พื้นหายใจ' น่ะ" ลินดาแปลให้ฟังอย่างสบายๆ "ข้างใต้มันเป็นร่างแหของรากไม้ที่เชื่อมกันหมดเลย มันนุ่มดีออก"
[ศิลา: รากไม้ที่สร้างโครงสร้างแบบตาข่ายใต้ดิน! มันคือปรากฏการณ์ทางชีววิทยาระดับปฏิวัติเลยนะ! มันอาจจะเป็นรูปแบบของ Superorganism ก็ได้!]
"หรือมันอาจจะเป็นแค่พื้นนุ่มๆ ที่เดินสบายก็ได้" เร็กซ์พึมพำ เขาลองย่ำเท้าดูแล้วก็พบว่ามันสบายกว่าพื้นป่าปกติจริงๆ
ในขณะที่ทุกคนกำลังทึ่งกับ "พื้นหายใจ" โอไรออนก็ชี้ไปยังบางสิ่งที่อยู่ข้างหน้า "ผม... ผมได้ยินเสียง... เหมือนมีคนกำลังร้องไห้... เบามาก"
ทุกคนเงียบกริบและหันไปมอง พวกเขาเห็นดอกไม้ประหลาดดอกหนึ่ง มันมีขนาดใหญ่เท่าศีรษะคน กลีบดอกเป็นสีขาวบริสุทธิ์และมีหยดน้ำเกาะอยู่เต็มไปหมด และใจกลางดอกไม้นั้น... ก็มีเสียงสะอื้นเบาๆ ดังออกมาเป็นระยะๆ
"โอ้พระเจ้า..." ลีน่ากระซิบ "พืชที่ส่งเสียงได้งั้นเหรอ"
[ศิลา: เป็นไปได้! มันอาจจะใช้แรงดันอากาศในลำต้นสร้างเสียงเพื่อล่อแมลง! ผมต้องได้ตัวอย่างมัน!]
ศิลากำลังจะสั่งให้ลีน่าเข้าไปเก็บตัวอย่าง แต่ลินดากลับวิ่งเข้าไปก่อน เธอไม่ได้เข้าไปเด็ดมัน แต่กลับหยิบกระบอกน้ำที่ทำจากไม้ไผ่ของเธอออกมา แล้วค่อยๆ รินน้ำสะอาดรดลงไปที่โคนของดอกไม้นั้น
ทันทีที่น้ำสัมผัสกับดิน... เสียงสะอื้นก็หยุดลง... และหยดน้ำที่เคยเกาะอยู่ตามกลีบดอกก็ค่อยๆ ถูกดูดซึมกลับเข้าไปจนหมดสิ้น
"มันไม่ได้ร้องไห้ซะหน่อย" ลินดาพูดพลางลูบกลีบดอกไม้นั้นเบาๆ "มันก็แค่... 'หิวน้ำ' น่ะ"
...เหล่าอัจฉริยะจากดุษฎีนครถึงกับพูดไม่ออกเป็นครั้งที่ร้อย...
หลังจากที่พวกเขาเดินออกจากเขต "พื้นหายใจ" ที่น่าพิศวงนั้น ภูมิทัศน์รอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ป่าที่เคยดูสว่างและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกตา บัดนี้กลับดูเก่าแก่และสงบลงอย่างเห็นได้ชัด ต้นไม้รอบๆ ตัวพวกเขายังคงใหญ่โต แต่กลับมีเถาวัลย์สีเทาแก่ปกคลุมหนาทึบ แสงสีเงินนวลจากมอสเรืองแสงเริ่มบางตาลง ถูกแทนที่ด้วยเงามืดที่ลึกและน่าเกรงขาม
ความเงียบที่เคยทำให้โอไรออนไม่สบายใจ บัดนี้กลับกลายเป็นความเงียบที่แตกต่างออกไป มันไม่ใช่ความว่างเปล่า... แต่เป็นความเงียบที่หนักแน่นและเปี่ยมด้วยพลัง
"เสียงฮัม..." โอไรออนกระซิบขึ้น เขาหยุดเดินและเอียงศีรษะ "มันดังขึ้น... ชัดเจนขึ้น... มันไม่ได้มาจากทุกทิศทางอีกต่อไปแล้ว แต่มาจาก... ข้างหน้า"
"ฉันก็รู้สึกค่ะ" ไลราเห็นด้วย เธอวางมือลงบนรากไม้ขนาดใหญ่เส้นหนึ่ง "พลังงานมันรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ข้างหน้าเรา... มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าใกล้แกนกลางของเตาปฏิกรณ์ที่สงบนิ่ง"
ครามที่เดินนำอยู่ก็ชะลอฝีเท้าลง เขาไม่ได้มองไปข้างหน้า แต่กลับก้มลงมองพื้นดิน เขาชี้ไปยังรอยสลักจางๆ บนพื้นหินที่ถูกมอสปกคลุม... มันคือสัญลักษณ์เกลียว DNA แบบเดียวกับที่พวกเขาเคยเห็นบนเปลือกไม้ แต่คราวนี้มันมีวงกลมล้อมรอบอยู่
"เรามาถึงแล้ว" ลินดาแปลคำพูดของพ่อเธอด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยำเกรง "ที่นี่คือเขตแดน... ธรณีประตู"
พวกเขาเดินต่อไปอย่างระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม... จนกระทั่งครามหยุดยืนอยู่หน้าผนังลำต้นที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างจากส่วนอื่นๆ มันยังคงเป็นเปลือกไม้สีเทาขาวที่สูงตระหง่านเหมือนกำแพงหินอ่อน... แต่เมื่อมองดูดีๆ พวกเขาก็เริ่มเห็นความผิดปกติ
บริเวณนี้... ไม่มีรอยสลักใดๆ อยู่เลย... ไม่มีมอสเรืองแสง... ไม่มีเถาวัลย์... มันคือผนังที่เรียบเกลี้ยงและว่างเปล่า... และเมื่อเพ่งมองเข้าไปในพื้นผิวของมัน... พวกเขาก็เห็นมัน
มันไม่ใช่ประตูที่ถูกสร้างขึ้น... แต่คือประตูที่ "เติบโต" ขึ้นมาเอง
มันคือกำแพงที่เกิดจากรากไม้ขนาดมหึมานับร้อยเส้นที่ยังคงมีชีวิต... รากไม้แต่ละเส้นหนาเท่าลำตัวคน... มันมีสีดำสนิทราวกับหินออบซิเดียน และถักทอตัวเองเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนาจนไม่เหลือช่องว่างแม้แต่ตารางนิ้วเดียว พวกเขาสามารถมองเห็นมัน "เต้น" เป็นจังหวะช้าๆ... ช้ามาก... เหมือนการหายใจของยักษ์ที่หลับใหลมานานนับศตวรรษ อากาศรอบๆ ประตูบานนี้หนักอึ้งและเย็นเยียบกว่าบริเวณอื่น มันคือพลังงานโบราณที่ถูกผนึกไว้
"นี่น่ะเหรอ... ทางเข้า" ลีน่าพึมพำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ
เร็กซ์เดินเข้าไปใกล้ๆ เขาใช้มือที่สวมถุงมือลองผลักดู... มันไม่ขยับแม้แต่น้อย แข็งยิ่งกว่าเกราะไทเทเนียมเสียอีก "แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไงวะเนี่ย?"
คำถามที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดของเร็กซ์ลอยค้างอยู่กลางอากาศที่เงียบงัน มันคือคำถามที่อยู่ในใจของทุกคน พวกเขายืนอยู่เบื้องหน้ากำแพงรากไม้ที่มีชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่มีทางผ่านเข้าไปได้ มันคือทางตันที่สมบูรณ์แบบ
"ต้องมีกลไกอะไรสักอย่าง" ลีน่าพูดพลางเปิดระบบสื่อสารกับฐานที่มั่น "เอลารา! ฉันต้องการให้คุณวิเคราะห์ภาพทั้งหมดที่เราส่งไปให้ หาจุดอ่อน! รอยต่อ! อะไรก็ได้!"
[เอลารา: กำลังทำอยู่ค่ะท่านผู้บัญชาการ! แต่... จากการสแกนเบื้องต้น... มันไม่มีกลไกเลยค่ะ มันคือชีวมวลที่เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด การจะเจาะเข้าไปก็เหมือนกับการพยายามเจาะภูเขาทั้งลูกด้วยสว่านอันเล็กๆ]
"งั้นก็ใช้พลาสมาคัตเตอร์สิ" เร็กซ์เสนออย่างไม่ยอมแพ้ "ค่อยๆ ตัดมันออกทีละเส้น"
"อย่า!" ครามร้องห้ามเสียงดังเป็นครั้งแรก แววตาของเขาแข็งกร้าว "นี่ไม่ใช่กำแพงหิน... มันมีชีวิต การทำร้ายมันคือการดูหมิ่น และต้นไม้โลกจะไม่มีวันให้อภัย"
"แล้วจะให้เรายืนรอให้มันเปิดเองรึไง!" เร็กซ์สวนกลับ
ท่ามกลางการถกเถียงที่เริ่มจะตึงเครียดขึ้น... โอไรออนที่ยืนเงียบมาตลอดก็ยกมือขึ้นช้าๆ
"ผมว่า... พวกเรากำลังตั้งคำถามผิด" เขากล่าวขึ้น ทุกคนหันไปมองเขา "มันไม่ใช่ 'ประตู' "
"ไม่ใช่ประตูแล้วมันจะเรียกว่าอะไรวะ" เร็กซ์ถามอย่างหัวเสีย
"มันคือ 'ไดอะแฟรม' ครับ!" โอไรออนประกาศด้วยแววตาเป็นประกาย "ในทางสวนศาสตร์แล้ว... นี่มันคือลำโพงชีวภาพขนาดมหึมาที่อยู่ในสภาวะสมดุลที่สมบูรณ์แบบ! เสียงฮัมที่ผมได้ยิน... มันไม่ใช่เสียงของพลังงาน... แต่มันคือ 'คลื่นพาหะ' (Carrier Wave)! คือผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า... ที่กำลังรอคอย 'เสียงเพลง' ที่ถูกต้อง!"
ทุกคนในที่นั้นต่างนิ่งเงียบไปกับทฤษฎีสุดหลุดโลกของเขา
"คุณจะบอกว่า... เราต้องร้องเพลงให้มันฟังรึไง" ลีน่าถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ใช่เลยครับ!" โอไรออนเดินไปมารอบๆ อย่างตื่นเต้น "รอยสลักที่เราเห็น! มันไม่ใช่คำเตือน! แต่มันคือ 'โน้ตเพลง'! เกลียว DNA นั่นคือคอร์ดเบส! แผนที่ดวงดาวคือเมโลดี้! เราไม่ต้องการ 'กุญแจ' เพื่อไขมัน! แต่เราต้องการ 'วาทยกร' เพื่อบรรเลงบทเพลงที่ถูกต้อง... เพื่อทำให้ไดอะแฟรมยักษ์นี่สั่นพ้องและเปิดออก!"
"เพ้อเจ้อ" เร็กซ์พึมพำกับตัวเอง
แต่ลีน่ากลับนิ่งคิด... คำพูดของโอไรออนมันอาจจะฟังดูบ้า... แต่มันก็จุดประกายบางอย่างในใจเธอ
"เดี๋ยวก่อนนะ โอไรออน..." เธอกล่าวช้าๆ "...'การสั่นพ้อง'... คุณอาจจะพูดถูกก็ได้ แต่ไม่ใช่ในทางดนตรี"
เธอหันไปหาไลรา "ไลรา คุณบอกว่าพลังงานมันรวมตัวกันหนาแน่นที่สุดตรงนี้ใช่ไหม"
ไลราพยักหน้า "ค่ะ... เหมือนเป็น узловой узел... หรือจุดศูนย์รวมพลังงาน"
"มันไม่ใช่ลำโพง..." ลีน่าพูดกับตัวเองเบาๆ "...แต่มันคือ 'ไบโอล็อค' (Biolock)... มันคือกลไกทางชีวภาพที่ถูกทำให้ 'หลับ' อยู่... การจะปลุกมัน... เราไม่ต้องการ 'เสียงเพลง'... แต่เราต้องการ 'กุญแจคลื่นความถี่' (Resonance Key) ที่ถูกต้อง... เพื่อกระตุ้นให้มันทำงาน!"
ทุกคนเริ่มเห็นภาพตามที่เธอพูด
"แล้วเราจะหาคลื่นความถี่นั่นเจอได้ยังไง" เร็กซ์ถาม
ลีน่าชี้กลับไปยังรอยสลักบนเปลือกไม้ที่อยู่ห่างออกไป "คำตอบอยู่ตรงนั้นมาตลอด... มันไม่ใช่โน้ตเพลง... แต่มันคือ สมการ"
เธอรีบติดต่อกลับไปที่รถแรคคูนทันที "ศิลา! เอลารา! ฉันต้องการให้พวกคุณช่วยคำนวณด่วนที่สุด!"
ลีน่าอธิบายภาพรอยสลักทั้งหมดที่เธอเห็นอย่างละเอียด...
[เอลารา: แผนที่ดาวนั่น... มันคือตำแหน่งของกระจุกดาวลูกไก่เมื่อ 347 ปีก่อน! ถ้าอ้างอิงจากความถี่ของพัลซาร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดในตำแหน่งนั้น... เราจะได้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าฐานที่ 121.7 เมกะเฮิรตซ์!]
[ศิลา: ส่วนเกลียว DNA นั่น... มันคือรหัสของเอนไซม์ Telomerase! ซึ่งมีความถี่สั่นพ้องตามธรรมชาติอยู่ที่... 42.8 เฮิรตซ์! พระเจ้า! มันคือระบบยืนยันตัวตนสองชั้น! ฟิสิกส์ดาราศาสตร์กับชีววิทยา!]
"เราได้กุญแจมาแล้ว" ลีน่าประกาศ แววตาของเธอลุกเป็นไฟ
เธอหันไปทางเร็กซ์ "ฉันขอยืมเครื่องปล่อยคลื่นโซนิกของคุณหน่อย"


แสดงความคิดเห็น