บทที่ 41: เดินทางสู่ต้นไม้โลก

-A A +A

บทที่ 41: เดินทางสู่ต้นไม้โลก

เมื่อแสงแดดยามบ่ายคล้อยต่ำลงจนกลายเป็นสีทอง การประชุมสภาสงครามครั้งแรกของสองโลกก็ได้สิ้นสุดลง แผนการได้ถูกกำหนดขึ้นแล้ว และความเงียบที่เข้ามาแทนที่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของแต่ละคนที่รู้หน้าที่ของตัวเองดี
ภายในรถแรคคูนที่บัดนี้กลายเป็นฐานที่มั่นชั่วคราว... ศิลาและเอลารากำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น ศิลาได้เปลี่ยนมุมหนึ่งของห้องทดลองให้กลายเป็นเรือนเพาะชำขนาดย่อม เขากำลังคัดแยกและบันทึกข้อมูลตัวอย่างพืชและดินที่เก็บมาด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่เอลารากำลังง่วนอยู่กับแผงวงจรที่เปิดโล่งของรถ แสงไฟจากหัวแร้งพลาสมาของเธอสว่างวาบขึ้นเป็นระยะๆ ท่ามกลางเสียงบ่นพึมพำกับตัวเองเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมของระบบที่ "ล้าสมัยแต่ก็ทนทานอย่างน่าประหลาด"
ข้างนอกรถ... บรรยากาศแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
กองไฟที่ครามก่อขึ้นยังคงลุกโชน ขับไล่ความเย็นยามค่ำคืนของป่าออกไป เร็กซ์นั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งหนึ่งของกองไฟ เขากำลังทำความสะอาดปืนพกพลังงานของเขาอย่างพิถีพิถันและเงียบเชียบ อีกฟากหนึ่งของกองไฟ ครามนั่งลับคมขวานหินของเขาด้วยหินลับก้อนเล็กๆ อย่างใจเย็น ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน แต่กลับมีความเข้าใจบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างนักรบสองคนนั้น... มันคือการเตรียมอาวุธคู่ใจให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้... คือพิธีกรรมที่นักรบทุกคนบนโลกเข้าใจตรงกันโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูด
ห่างออกไปเล็กน้อยใต้เงาไม้ ลินดากำลังนั่งอยู่กับไลรา เธอไม่ได้สอนเรื่องการเอาตัวรอด แต่กำลังสอนให้ไลรารู้จัก "เพื่อน" ในป่า เธอหยิบใบไม้รูปทรงแปลกๆ ใบหนึ่งส่งให้ไลรา "ลองดมดูสิ"
ไลราค่อยๆ รับใบไม้นั้นมาและสูดดมกลิ่นของมัน "กลิ่นมัน... เย็นๆ... เหมือนฝน"
"ใบไม้นี้... ถ้าเคี้ยวแล้วจะช่วยให้ตื่นตัวได้ตลอดคืน" ลินดาอธิบาย "นักรบของข้าจะพกมันติดตัวไว้เสมอเวลาต้องออกลาดตระเวน"
ส่วนลีน่า เธอยืนอยู่ตามลำพังที่ขอบของแสงไฟ มองเข้าไปในความมืดมิดของป่าที่บัดนี้เริ่มส่งเสียงของสิ่งมีชีวิตกลางคืนออกมา โอไรออนเดินเข้ามายืนข้างๆ เธออย่างเงียบๆ
"คุณพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ไหม โอไรออน?" ลีน่าถามโดยไม่ละสายตาจากความมืด "ครามบอกว่าที่นั่น... มัน 'เงียบ' ผิดปกติ"
โอไรออนนิ่งไปครู่หนึ่ง "ผมไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรครับ" เขาตอบ "แต่หลังจากที่ต้องทนฟัง 'เสียงกระซิบ' นั่นมา... ความเงียบแบบไหนก็น่าจะดีกว่าทั้งนั้น... ผมพร้อมแล้วครับ"
ลีน่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอปล่อยให้โอไรอオンได้อยู่กับความคิดของตัวเองและหันไปตรวจเช็คอุปกรณ์ส่วนตัวเป็นครั้งสุดท้าย ค่ำคืนนั้นดำเนินไปอย่างช้าๆ... มันคือความสงบก่อนที่พายุลูกใหม่จะมาถึง... คือคืนสุดท้ายที่พวกเขาจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน ก่อนที่ทีมจะถูกแบ่งออกเป็นสอง และการเดินทางที่แท้จริงสู่ใจกลางของปริศนาจะเริ่มต้นขึ้น
ทันใดนั้น...
แกรก... แกรก...
เสียงที่แปลกประหลาดดังขึ้นจากแนวป่าที่มืดสนิท ทุกคนหยุดชะงักและหันไปมองทางนั้นพร้อมกันโดยอัตโนมัติ!
ครามคว้าอาวุธของตัวเองขึ้นมาทันที สัญชาตญาณนักรบของพวกเขากรีดร้องว่ามีบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้
"ผมได้ยิน!" โอไรออนกระซิบเสียงเครียด เขายกมือขึ้นมาแตะที่หูฟัง "มันคือเสียงของสิ่งมีชีวิต... กำลังลากบางอย่างกับพื้น... รูปแบบการเคลื่อนที่ไม่สม่ำเสมอ... อาจจะบาดเจ็บ... หรืออาจจะเป็นการลวง"
"ฉันก็รู้สึกค่ะ" ไลราพูดเสริม เธอวางมือลงบนพื้นหิน "แรงสั่นสะเทือนมันแปลกมาก... มันเบา... แต่ก็หนัก... มันขัดแย้งกันเอง"
บรรยากาศที่เคยสงบนิ่งกลับมาตึงเครียดอีกครั้งในพริบตา พวกเขายืนล้อมวงป้องกัน หันหน้าออกไปยังความมืดที่มองไม่เห็น
ซู่... ฟ่อ...
เสียงใหม่ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันเหมือนเสียงขู่ของอสรพิษ แต่ก็ทุ้มต่ำและก้องกังวานกว่ามาก
"มันกำลังจะออกมาแล้ว!" ลีน่าเตือน
เงาตะคุ่มขนาดใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมาจากเงามืด มันดูเหมือน... สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่มีเกล็ดเรืองแสงสีเขียวจางๆ... และมีบางอย่างคล้าย "เขา" งอกออกมาจากหัวของมัน... มันคือสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอยู่ในฐานข้อมูลใดๆ ของพวกเขา!
"เตรียมยิง!" รีน่ากำลังจะออกคำสั่ง
แต่แล้ว... "สัตว์ประหลาด" ตัวนั้นก็พูดขึ้น... ด้วยเสียงที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด...
"แฮร่! กลัวกันล่ะสิ!"
สิ้นเสียงนั้น "สัตว์ประหลาด" ก็ยืนขึ้นเต็มความสูง... เผยให้เห็นร่างของ... เร็กซ์! เขากำลังเอาใบไม้ขนาดใหญ่มาคลุมตัวและใช้กิ่งไม้สองอันทำเป็นเขา ส่วนเสียงขู่ฟ่อๆ นั่นก็มาจากลินดาที่แอบซ่อนอยู่ข้างๆ และกำลังหัวเราะจนตัวงอ!
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งค่าย... ก่อนจะระเบิดออกเป็นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง!
โอไรออนหน้าแดงก่ำ เขาโดนหลอกเต็มๆ! "นี่มัน... เป็นการทดลองทางสวนศาสตร์ที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด!" เขาโวยวายกลบเกลื่อนความอาย
ไลราหัวเราะออกมาเสียงดังจนตัวสั่น "ฉันบอกแล้วว่าแรงสั่นสะเทือนมันแปลกๆ... มันคือแรงสั่นสะเทือนของคนที่พยายามจะกลั้นหัวเราะต่างหากล่ะ!"
ลีน่าส่ายหน้าอย่างระอา แต่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ "พวกคุณนี่มันจริงๆ เลยนะ!"
มีเพียงครามที่ไม่ได้หัวเราะ... แต่เขากลับพยักหน้าช้าๆ อย่างพอใจ... แววตาของเขาเหมือนจะบอกว่า... "ในที่สุด... พวกเจ้าก็เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายเสียที"
เมื่อความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมผืนป่าอย่างสมบูรณ์ กองไฟก็ถูกจุดขึ้นเป็นศูนย์กลางของค่ายพักแรมชั่วคราวอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ บรรยากาศรอบกองไฟไม่ได้มีแต่ความตึงเครียดหรือความอ่อนล้า แต่กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารและความรู้สึกสบายๆ ที่หาได้ยาก
มื้อเย็นของวันนี้ไม่ใช่ปลาที่ครามล่ามาได้ แต่เป็น "หัวมันม่วง" ที่ลินดาไปขุดมาจากริมลำธาร มันมีขนาดใหญ่และดูแข็งเหมือนก้อนหิน
"เดี๋ยวก่อน!" ศิลาที่นั่งอยู่ในรถแรคคูนร้องห้ามผ่านระบบสื่อสารทันทีที่เห็นลินดาจะโยนมันเข้ากองไฟ [ผมต้องขอสแกนหาสารพิษจำพวก Glycoalkaloids ก่อนนะครับ! มันอาจจะมีพิษ!]
ลินดาทำหน้างง "Glyco-อะไรนะ?" เธอหันไปพูดกับพ่อเป็นภาษาไทย "คนบนฟ้าเขาพูดจากันแปลกๆ"
ครามไม่สนใจเสียงเตือน เขาหยิบหัวมันขึ้นมาดมกลิ่น... หักมันออกเป็นสองท่อน... แล้วเลียยางสีขาวที่ไหลออกมาเล็กน้อย "กินได้" เขาพูดสั้นๆ
[ศิลา: นั่นไม่ใช่กระบวนการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องเลยนะครับ!]
"แต่ก็ได้ผล" เร็กซ์พูดสวนขึ้นมา เขารู้สึกสนุกที่ได้เห็นนักวิทยาศาสตร์เพื่อนร่วมทีมของเขาหัวหมุน "เอามานี่สิ"
เขาหยิบหัวมันม่วงทั้งหมดไปวางในหลุมข้างกองไฟ ก่อนจะหยิบเครื่องมือหน้าตาเหมือนปืนพกขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋า "หัวแร้งพลาสมาขนาดเล็ก... ปกติใช้เชื่อมโลหะ แต่ก็น่าจะใช้ 'อบ' มันเทศได้เหมือนกัน" เขาปรับระดับความร้อน แล้วยิงลำแสงพลาสมาสีฟ้าเล็กๆ ลงไปในหลุม... ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา กลิ่นหอมหวานเหมือนมันเผาก็ลอยฟุ้งไปทั่ว!
มันคือการร่วมมือกันที่สมบูรณ์แบบ... ความรู้จากพงไพร... การวิเคราะห์ (แบบคร่าวๆ) จากวิทยาศาสตร์... และการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี...
พวกเขาแบ่งกันกินหัวมันเผาร้อนๆ ที่เนื้อในเป็นสีม่วงสวยและมีรสหวานอย่างไม่น่าเชื่อ
"โอ้โห..." เอลาราอุทานออกมาเบาๆ "กระบวนการคาราเมไลเซชันของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่เกิดขึ้นจากความร้อนพลาสมา... มันสร้างรสชาติที่ซับซ้อนอย่างน่าทึ่ง"
"มันก็แค่... อร่อย" เร็กซ์พูดพลางเคี้ยวตุ้ยๆ
"ที่บ้านของท่าน... ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะทำอะไรแบบนี้กันหมดเลยเหรอ" ลินดาถามขึ้นขณะมองเร็กซ์เก็บเครื่องมือ "หมายถึง... การสร้างของ... การซ่อมของน่ะ"
"ส่วนใหญ่นะ" ลีน่าเป็นคนตอบ "พวกเราถูกสอนให้เข้าใจว่าทุกอย่างทำงานอย่างไร... เพื่อที่จะปรับปรุงมันให้ดีขึ้นได้เสมอ"
"แปลกจัง" ลินดาพูด "ที่เผ่าของข้า... พวกเราไม่ได้ถูกสอนให้ 'สร้าง' ของใหม่... แต่ถูกสอนให้ 'ฟัง' ในสิ่งที่ป่ามีให้อยู่แล้ว"
บทสนทนานั้นทำให้เหล่าด็อกเตอร์ต้องนิ่งคิด...
"แล้ว... 'ปริญญาเอก' ที่ท่านพ่อบอกว่าพวกท่านมีกันทุกคน... มันคืออะไรเหรอ" ลินดาถามขึ้นอย่างซื่อๆ "เป็นรอยสักชนิดหนึ่งรึเปล่า?"
คำถามนั้นทำให้ทุกคนเกือบจะสำลักหัวมันเผา!
"เอ่อ... มัน... ซับซ้อนกว่านั้นหน่อย" เอลาราพยายามจะอธิบาย "มันเหมือนกับ... การที่คนคนหนึ่งใช้เวลาหลายปีเพื่อเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับ 'หิน' แค่ก้อนเดียว... จนกระทั่งเขาสามารถเขียน 'เรื่องเล่า' ของหินก้อนนั้นออกมาเป็นหนังสือเล่มหนาๆ ได้"
ลินดาขมวดคิ้ว "แล้วทำไมไม่ไปถามหินก้อนนั้นเอาล่ะว่าเรื่องราวของมันเป็นยังไง?"
...คำตอบที่เรียบง่ายของเธอ... ทำให้เหล่าอัจฉริยะจากดุษฎีนครถึงกับพูดไม่ออกไปตามๆ กัน
ความเงียบเข้าปกคลุมรอบกองไฟอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยการครุ่นคิด เหล่าด็อกเตอร์ผู้เคยเชื่อมั่นว่าความรู้คืออำนาจสูงสุด บัดนี้กลับได้เรียนรู้ว่ายังมีปัญญาอีกรูปแบบหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก... ปัญญาที่ไม่ได้มาจากข้อมูล... แต่มาจากเรื่องเล่าและหัวใจ
ค่ำคืนนั้นดำเนินไปอย่างช้าๆ... ไฟค่อยๆ มอดลง เหลือเพียงถ่านแดงๆ ที่กะพริบเป็นจังหวะเหมือนหัวใจของค่ำคืน เหล่าพรานป่าเข้านอนกันอย่างง่ายดายบนหนังสัตว์ที่ปูรองกับพื้นดิน ในขณะที่ทีมจากดุษฎีนครก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไปพักผ่อนในถุงนอนควบคุมอุณหภูมิของตนเอง... เป็นภาพสุดท้ายที่ตอกย้ำถึงความแตกต่าง... แต่ก็เป็นคืนแรกที่พวกเขาหลับใหลอยู่ใต้ท้องฟ้าเดียวกันในฐานะหน่วยเดียวกันอย่างแท้จริง
รุ่งอรุณมาถึงอย่างเงียบเชียบและเยือกเย็นกว่าทุกวันที่ผ่านมา
แสงอาทิตย์ยังไม่ทันจะโผล่พ้นขอบฟ้า แต่แสงสีเทาจางๆ ก็เริ่มขับไล่ความมืดออกไป เผยให้เห็นม่านหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือพื้นป่าที่ชื้นแฉะ อากาศเย็นและบริสุทธิ์จนแสบจมูก
ครามกับลินดาตื่นขึ้นก่อนใคร พวกเขาไม่ได้ปลุกใคร แต่เริ่มเตรียมการเดินทางอย่างเงียบเชียบและเป็นระบบ ครามกำลังตรวจสอบความคมของหัวลูกศรทุกดอก ในขณะที่ลินดาก็กำลังห่อหัวมันม่วงที่เหลือจากเมื่อคืนด้วยใบไม้ขนาดใหญ่เพื่อเป็นเสบียงระหว่างทาง
ไม่นานนัก ทีมจากดุษฎีนครก็เริ่มทยอยตื่นขึ้นมา พวกเขาเคลื่อนไหวกันอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดคุยที่ขี้เล่นเหมือนเมื่อวานอีกต่อไป ทุกคนต่างรู้ดีว่าวันนี้คือวันเริ่มต้นภารกิจที่แท้จริง
เร็กซ์ทำการตรวจเช็คระดับพลังงานของอุปกรณ์สื่อสารและอาวุธเป็นครั้งสุดท้าย โอไรออนกับไลรานั่งทำสมาธิอยู่เงียบๆ เพื่อเตรียมประสาทสัมผัสของตัวเองให้พร้อมรับมือกับ "ความเงียบ" ที่น่าสะพรึงกลัวที่รออยู่ข้างหน้า
ลีน่ายืนอยู่หน้าประตูทางลาดของรถแรคคูนที่เปิดทิ้งไว้ เธอกำลังพูดคุยกับศิลาและเอลาราผ่านจอโฮโลแกรมเป็นครั้งสุดท้าย
"ภารกิจของพวกคุณสำคัญไม่แพ้พวกเรา" เธอกล่าว "ซ่อมรถแรคคูนให้กลับมาใช้งานได้เต็มที่ และเป็นหูเป็นตาให้พวกเราจากที่นี่"
[ศิลา: ไม่ต้องห่วงครับท่านผู้บัญชาการ] ศิลายิ้มให้กำลังใจ [แค่ระวัง 'เถาวัลย์นักกอด' ให้ดีนะครับ... ถ้าโดนมันรัดแล้วมันไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เลยนะ]
"รับทราบ" ลีน่าพยักหน้า ก่อนจะตัดการสื่อสาร
เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับทีมเดินทางเท้าทั้งห้าคน... เร็กซ์, โอไรออน, ไลรา, คราม, และลินดา... หน่วยรบผสมที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
"พร้อมนะ?" เธอถาม
ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
"ถ้าอย่างนั้น..." ครามพูดขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน "...ก็ไปกันเถอะ"
เขาหันหลังและก้าวเท้าแรกนำเข้าไปในป่าทึบที่ยังคงมีเงาของรัตติกาลปกคลุมอยู่... และทีมที่เหลือก็ก้าวตามเข้าไป... ทิ้งฐานที่มั่นสุดท้ายและโลกที่พวกเขาคุ้นเคยไว้เบื้องหลัง

รุ่งอรุณของวันใหม่มาถึงพร้อมกับความมุ่งมั่นที่เงียบงัน...
ทีมเดินทางเท้าทั้งหกคนยืนอยู่หน้าทางลาดของรถแแรคคูนเป็นครั้งสุดท้าย แสงแดดยามเช้าส่องกระทบชุดทำงานที่มอมแมมของพวกเขาและชุดหนังสัตว์ของเหล่าพราน มันคือภาพของพันธมิตรที่ดูไม่น่าจะเข้ากันได้ที่สุด
[ศิลา: ขอให้โชคดีนะครับทุกคน! ผมจะพยายามซ่อมระบบสื่อสารให้กลับมาเสถียรที่สุด!]
"ฝากที่นี่ด้วยนะ ศิลา, เอลารา" ลีน่ากล่าวอำลา "พวกเราจะไปไม่นาน"
ครามพยักหน้าให้เร็กซ์หนึ่งครั้ง... เป็นการสื่อสารที่ไร้คำพูดของเหล่านักรบ... ก่อนจะหันหลังและก้าวเท้าแรกนำเข้าไปในป่าทึบที่ยังคงมีไอหมอกปกคลุมอยู่ และทีมที่เหลือก็ก้าวตามเข้าไป ทิ้งฐานที่มั่นสุดท้ายและโลกที่พวกเขาคุ้นเคยไว้เบื้องหลัง
การเดินทางในช่วงแรกนั้นเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าและเสียงของป่าที่ค่อยๆ ตื่นขึ้นมารับอรุณ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสิบโมงเช้า ความอึดอัดก็ค่อยๆ ถูกทลายลงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"แผลเป็นของท่าน... ได้มาอย่างไรหรือ" เร็กซ์เป็นคนแรกที่เริ่มบทสนทนา เขาถามครามผ่านล่ามของลินดา
ครามไม่ได้ตอบในทันที เขาใช้มือลูบรอยแผลเป็นยาวที่พาดผ่านดวงตาข้างที่บอดของเขาเบาๆ "ข้าได้มันมาจาก 'เจ้าแห่งเงา'" เขาตอบเรียบๆ "หมีขนาดใหญ่ที่มีขนเป็นสีควันไฟ... มันฉลาดและดุร้าย... ข้าล่ามัน... และมันก็ล่าข้า... สุดท้ายข้าก็ได้หนังของมัน... และมันก็ได้ตาของข้าไป... ถือว่าเสมอกัน"
เรื่องเล่าที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังนั้นทำให้เร็กซ์ต้องนิ่งเงียบไป เขาไม่เคยเจอศัตรูที่ต้อง "แลกเปลี่ยน" อะไรแบบนี้มาก่อน
"แล้วท่านล่ะ ท่านทหาร" ลินดาถามกลับอย่างขี้เล่น "รอยแผลเป็นที่ใหญ่ที่สุดของท่านคืออะไร?"
เร็กซ์ขมวดคิ้ว "ทหารแบบพวกเราไม่มีแผลเป็น... เรามีเกราะ"
"เกราะก็มีรอยแตกได้ไม่ใช่หรือ" ลินดาแย้งอย่างเฉียบคม
บทสนทนานั้นทำให้ลีน่ายิ้มออกมา เธอรู้สึกขอบคุณเด็กสาวคนนี้ที่ช่วยทลายกำแพงน้ำแข็งของเร็กซ์ลงได้
พวกเขาเดินมาถึงทุ่งโล่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้คริสตัลที่ส่องแสงระยิบระยับเมื่อต้องแสงแดด มันคือภาพที่งดงามจนทุกคนต้องหยุดมอง
"มัน... เงียบ" โอไรออนกระซิบขึ้น "ที่นี่ไม่มีเสียงแมลง... ไม่มีเสียงนก... มันเงียบจนผิดปกติ"
ความเงียบที่ควรจะสงบกลับทำให้เขาไม่สบายใจ แต่ไลรากลับคุกเข่าลงและยื่นมือออกไปในอากาศเหนือทุ่งดอกไม้นั้น
"มันไม่ได้เงียบหรอก" เธอกล่าวเบาๆ "พวกมันแค่... กำลังร้องเพลงในความถี่ที่ช้าเกินกว่าหูจะได้ยิน... ฉัน 'รู้สึก' ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพวกมัน... มันคือบทเพลงของการเติบโต"
ความคิดนั้นทำให้ทุกคนทึ่ง... โลกนี้เต็มไปด้วยบทเพลงที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
"ท่านคราม" ลีน่าถามขึ้น "จากความเร็วของเราตอนนี้... พอจะประเมินได้ไหมว่าเราจะถึงที่หมายเมื่อไหร่?"
ครามเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์... มองทิศทางของลม... แล้วหันมาตอบด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
"เมื่อป่าอนุญาต... และเมื่อพวกเจ้าหยุดถามคำถาม"

...มันคือการแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเทคโนโลยีหรือตรรกะ แต่เกิดขึ้นด้วยศิลปะ, เรื่องเล่า, และความรู้สึก... สิ่งที่ดุษฎีนครได้หลงลืมไปนานแสนนาน
เมื่อตะวันคล้อยต่ำลงในบ่ายวันนั้น บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เงียบลง การเดินทางที่ยาวนานเริ่มส่งผลต่อร่างกายของทุกคนอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่ความเหนื่อยล้าที่น่าหงุดหริ่ง แต่เป็นความเหนื่อยที่มาพร้อมกับความรู้สึกของการได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
"เราใกล้ถึงเขตแดนแล้ว" ครามพูดขึ้น ทำลายความเงียบงัน เขาชี้ไปยังแนวป่าเบื้องหน้าที่ดูแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ต้นไม้ที่นั่นดูใหญ่และเก่าแก่กว่าบริเวณอื่นหลายเท่าตัว และที่แปลกที่สุดคือ... มันเงียบสงัด
โอไรออนเป็นคนแรกที่สังเกตเห็น เขาหยุดเดินและขมวดคิ้ว "เสียง... หายไปหมดเลย" เขากระซิบ "ไม่มีเสียงแมลง... ไม่มีเสียงนก... ไม่มีแม้แต่เสียงลมที่พัดผ่านใบไม้... มันเงียบ... เงียบเกินไป"
ความเงียบที่ควรจะสงบกลับทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุก มันคือความเงียบที่ "มีตัวตน"
"ฉันรู้สึกได้" ไลราพูดเสริม เธอเกาะแขนโอไรออนไว้แน่น "แรงสั่นสะเทือนของพื้นดินมันเปลี่ยนไป... มันนิ่ง... และหนักแน่น... เหมือนเรากำลังเดินอยู่บนแผ่นหลังของยักษ์ที่กำลังหลับใหล"
ครามพยักหน้า "ที่นี่คือเขตศักดิ์สิทธิ์" เขาเตือน "จากนี้ไป... จงเดินด้วยความเคารพ... และอย่าได้แตะต้องสิ่งใดโดยไม่จำเป็น"
พวกเขาเดินทางผ่านป่าที่เงียบงันนั้นต่อไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความยำเกรง จนกระทั่งพวกเขาเดินพ้นแนวป่าสุดท้ายออกมา... และภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ทำให้ทุกคนต้องหยุดนิ่งราวกับถูกสาป...
มันไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง... แต่มันคือ ต้นไม้
มันคือต้นไม้ยักษ์ที่ใหญ่โตมโหฬารจนจินตนาการใดๆ ก็ไม่อาจเทียบได้ ลำต้นของมันกว้างใหญ่ราวกับกำแพงเมืองโบราณ ต้องใช้คนนับร้อยโอบจึงจะรอบ ทุกคนต้องแหงนหน้าขึ้นจนสุดคอ แต่ก็ยังมองไม่เห็นยอดของมัน... กิ่งก้านสาขาของมันแผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้าราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่ง ปลายยอดของมันสูงเสียดฟ้าจนหายลับเข้าไปในหมู่เมฆ
เปลือกไม้ของมันไม่ได้มีสีน้ำตาลเหมือนต้นไม้ทั่วไป แต่กลับเป็นสีเทาอมขาวที่มีลวดลายคล้ายหินอ่อน มันดูเก่าแก่และแข็งแกร่งราวกับหินผาที่ถูกแกะสลักมานานนับพันปี รากของมันขนาดมหึมา ชอนไชไปทั่วพื้นดินราวกับเทือกเขาขนาดเล็ก และที่น่าทึ่งที่สุดคือ... บนลำต้นและกิ่งก้านของมันมีมอสสีเงินที่เรืองแสงอ่อนๆ ปกคลุมอยู่ ทำให้ทั้งต้นดูเหมือนถูกสร้างขึ้นมาจากแสงดาว
"พระเจ้า..." ศิลาครางออกมาเบาๆ เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์ แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามัน... มันอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทางชีววิทยาทั้งหมดที่เขารู้จัก
"ผม... ผมได้ยินเสียงฮัม" โอไรออนกระซิบ "เสียงที่ทุ้มและช้ามาก... เหมือนเสียงหัวใจที่เต้นเพียงครั้งเดียวต่อนาที... มันดังมาจากข้างในนั้น"
ครามกับลินดาคุกเข่าลงกับพื้นโดยอัตโนมัติ พวกเขาก้มศีรษะลงจรดดิน... เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของบรรพบุรุษ
ลีน่ายืนนิ่งจ้องมองภาพนั้น... เธอเข้าใจแล้ว... นี่ไม่ใช่แค่วิหาร...
นี่คือหัวใจของโลกใบนี้

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.