บทที่ 4: ตามล่า
บทที่ 4: ตามล่า
สายฟ้าสีชาดฟาดผ่าลงมายังยอดหอคอยสูงเสียดฟ้าแห่งปราสาทราชันย์ ลูกแก้วเวทมนตร์สีโลหิตที่ประดิษฐานอยู่บนนั้นแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ ราวกับจะบ่งบอกถึงภัยพิบัติร้ายแรงที่กำลังคืบคลานเข้าสู่อาณาจักร
เหล่าขุนนางที่เฝ้าสังเกตการณ์เหตุการณ์มหัศจรรย์เบื้องล่างต่างตื่นตระหนก ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดไร้ซึ่งโลหิต
"นี่มัน...ลางอาเพศชัดๆ!" ขุนนางคนหนึ่งเบิกตากว้างจ้องมองเศษซากลูกแก้วที่ร่วงหล่น
"หรือว่า...สิ่งต้องห้าม...ถูกปลดผนึกแล้วอย่างนั้นรึ?" ขุนนางอีกคนตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด
"ไม่ผิดแน่! มัน...มันถูกปลดผนึกแล้ว!"
"ถ้าเช่นนั้น...แล้วพวกเราจะทำเยี่ยงไรดี!?"
"หรือว่า...นี่จะเป็นผลจากการสังหารเหล่าผู้กล้า..." ขุนนางผู้หนึ่งกล่าวสำทับ
"เป็นไปไม่ได้!"
เสียงอันทรงอำนาจดังกึกก้อง สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังชายชราผู้เปี่ยมบารมีที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ ผ้าคลุมสีขาวของเขาโบกสะบัดพลิ้วไหวไปตามกระแสลมพายุที่บ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน
ชายชราทอดมองเหล่าขุนนางที่ยืนตัวสั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเราสังหารเหล่าผู้กล้าไปนับไม่ถ้วน ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย"
เหล่าขุนนางที่ตื่นตระหนกต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ขุนนางผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า
"หากท่านผู้นำกล่าวเช่นนั้น ย่อมต้องเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ!"
"ถูกต้อง! เราต้องเชื่อมั่นในองค์สันตะปาปาและองค์ราชา!"
เหล่าขุนนางต่างกล่าวสันทัด โดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่าผู้ที่กล่าวอยู่นั้นก็มิได้มีความมั่นใจเหมือนดั่งที่ปากเอ่ยออกมา
เมื่อเหล่าขุนนางทยอยเดินออกจากห้องโถง ทิ้งให้ชายชราในชุดขาวนั่งรำพึงรำพันอยู่กับตัวเอง แม้เขาจะบอกพวกขุนนางไปเช่นนั้น แต่ทว่าสำหรับตัวเขาเองแล้วก็ไม่ได้มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกแก้วซึ่งถูกผนึกวิญญาณของศาสตราอันชั่วร้ายจะถูกปลดผนึกออกมาได้
“ศาสตราโลหิตที่กลืนกินวิญญาณและควบคุมวิญญาณ ซึ่งเป็นการทดลองเมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน หากสิ่งนั้นหลุดออกมายังโลกภายนอก อาณาจักรนี้คงถึงคราวล่มสลาย” ชายชรารำพึงรำพัน
ก่อนที่จะหันไปมองยังชายหนุ่มในชุดเกราะอัศวินที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหลังเขาโดยไร้สุ้มเสียง
"รีบไปสืบมา...ว่าผู้กล้าตายแล้วจริงหรือไม่" ชายหนุ่มในชุดเกราะอัศวินพยักหน้ารับ ก่อนที่ร่างของเขาจะเลือนหายไปดุจภูตพราย
เมื่อสิ้นประกาศิตที่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป ชายชราในชุดคลุมสีขาวพลันก้าวเดินตรงไปยังปราสาทหลวงที่ประทับขององค์ราชา เพื่อรายงานสถานการณ์อันเลวร้าย โดยที่เขาหารู้ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาหวาดหวั่นนั้น กำลังจะปรากฏขึ้นอีกครา.
ณ ห้องจัดเลี้ยงอันโอ่อ่าขององค์ราชา เหล่าเชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรต่างกำลังร้องรำทำเพลงอย่างรื่นเริง บ้างก็คิดว่าเสี้ยนหนามอย่างผู้กล้าคนใหม่ได้ถูกกำจัดไปสิ้นแล้ว และหลังจากนี้ พวกเขาก็จะอัญเชิญผู้กล้าอีกคนหนึ่งมายังโลกนี้
พวกเขาได้กระทำเช่นนี้มานานนับร้อยปีแล้ว ผู้กล้าคนใดที่เชื่อฟังจะได้รับอนุญาตให้อยู่บนโลกนี้ต่อไป แต่หากผู้ใดขัดขืน ย่อมต้องถูกกำจัดสิ้นซาก หน้าที่นี้มิได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่คนจากโลกนี้เท่านั้น หากแต่ยังมีผู้กล้าจากต่างโลกมากมายที่ได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางและเชื้อพระวงศ์อยู่ในตอนนี้
ระหว่างที่พวกเขากำลังดื่มด่ำกับความยินดีอยู่นั่นเอง เสียงประตูไม้บานใหญ่ก็พลันดังสนั่นขึ้น ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังผู้มาใหม่
เส้นผมสีทองปลิวไสวประกอบกับดวงตาสีฟ้าคราม ที่จ้องมองเหล่าขุนนางและองค์ราชาเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา เรียวปากของหญิงสาวผู้มาใหม่เม้มแน่น ทว่าดวงตากลับฉายแววแห่งความยินดีที่มิอาจปกปิดได้หมดสิ้น
“สัญลักษณ์ของผู้กล้า…ได้สาบสูญไปแล้ว”
งานเลี้ยงหยุดชะงักลงทันที ผู้คนที่กำลังดื่มด่ำกับความสุขพลันเผยรอยยิ้มกว้างด้วยความปิติยินดี
"ในที่สุด...ในที่สุดข้าก็สามารถกำจัดมันได้เสียที!" เสียงประกาศกึกก้องจากองค์ราชา
"ขอแสดงความยินดีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! หลังจากนี้ก็เหลือเพียงแค่กลุ่มของพวกมันแล้ว" ชายหนุ่มผู้ยืนเคียงข้างกล่าวแสดงความยินดีพลางเอ่ยถาม "แล้วกลุ่มของพวกมันเล่า จะจัดการเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ?"
"จัดการให้สิ้นซาก!"
เมื่อสิ้นประกาศิตนั้น เหล่าขุนนางที่ยืนอยู่รอบข้างพลันรีบเร่งออกไป เพื่อตามล่ากลุ่มผู้กล้าที่ได้แยกย้ายหลบหนีออกจากอาณาจักรแห่งนี้ โดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่าการกระทำของพวกเขาจะเป็นจุดจบของชีวิตของพวกเขาเอง
หญิงสาวในร่างชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามทางที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้และใบหญ้า ราวกับต้องการกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบข้าง แม้การกระทำเช่นนี้จะไม่จำเป็นสำหรับเธอ
แสงสีแดงฉานสาดกระทบดวงตา ทำให้หญิงสาวหรี่ตาลงด้วยความหงุดหงิด ตอนนี้เสียงในหัวของเธอเงียบลงแล้ว หากคาดไม่ผิด เด็กหนุ่มคงหมดสติไปแล้วเป็นแน่
การดูดกลืนวิญญาณเป็นภาระหนักต่อทั้งร่างกายและดวงวิญญาณ หากเป็นคนธรรมดา วิญญาณคงสลายไปแล้ว แต่เพราะเขาคือผู้กล้า จึงไม่ได้รับอันตรายมากนัก
หญิงสาวก้าวมาหยุดที่ริมบึงน้ำที่มีแสงจันทราส่องกระทบ กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เธอจ้องมองร่างของเด็กหนุ่มที่บัดนี้ไม่เหลือเค้าเดิม ดวงตาที่เคยเป็นสีฟ้าใสตวัดเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ความหวาดหวั่นฉายชัดในแววตา แต่กระนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกินกว่าจะเข้าใจได้แฝงอยู่
เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหนักแน่น
"เท่านี้...พวกมันก็ไม่อาจจดจำเจ้าได้อีก และเท่านี้...เจ้าก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของข้า"
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 149
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น