บทที่ 473: ข้ากับพี่ชายเจ้าเป็นเพียงพี่น้องกัน
“ความรู้สึก?” เซียวถังถังทำหน้าประหลาดใจ “ท่านกับพี่ชายของข้ารู้จักกันมากี่ปีแล้ว พวกท่านไม่มีความรู้สึกต่อกันเลยหรือ?”
“ถ้าไม่มีความรู้สึกต่อกัน พี่ชายของข้าจะรับธนูแทนท่านทำไม ถ้าไม่มีความรู้สึกต่อกัน เขาจะขอให้ท่านคอยดูแลข้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้หรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ไม่รู้จะตอบคำถามศิษย์น้องอย่างไร เธอนั่งนิ่งอยู่นานก่อนจะเหยียดยิ้มขมขื่นและส่ายหัว “ถังถัง มันคนละแบบกัน ข้ากับพี่ชายของเจ้าดูแลกันในแบบพี่น้อง”
หากเซียวถังอี้มีความรู้สึกอื่นต่อเธอจริง ๆ เธอจะไม่สังเกตเห็นมันได้อย่างไรกัน?
“พี่ชายที่ไม่ใช่พี่ชาย” เซียวถังถังส่ายหัวไม่เห็นด้วยกับคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ “เขามีข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ก็พอแล้ว เขาไม่ต้องการน้องสาวคนอื่นเพิ่ม”
“ไป๋ไป่ บอกข้าหน่อยสิว่าท่านชอบพี่ชายของข้าหรือไม่ ขอเพียงท่านเอ่ยปากคำเดียว ข้าจะจัดการส่วนที่เหลือเอง!”
แม้ว่านางจะไม่ได้อยู่ที่ตำหนักอ๋องเซียวมานานหลายปี แต่นางก็มั่นใจว่านางคือคนที่สามารถตัดสินใจเรื่องภายในตำหนักได้
สุดท้ายแล้ว เซียวถังอี้ พี่ชายของนางก็เอาแต่วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกเพื่อทำงานให้ฝ่าบาทตลอดทั้งปี นางในฐานะท่านหญิงเพียงคนเดียวในตำหนักจะปล่อยให้เขามานั่งกังวลเรื่องนี้อีกได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นเรื่องสำคัญเช่นนี้มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางเช่นกัน
“นี่…” มู่ไป๋ไป่กุมหัวตัวเองทันที ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นดังกล่าว “เราอย่าเพิ่งพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ข้าจะไปหาท่านพี่รัชทายาทเพื่อยืมคนมาส่งเจ้ากับหวานหว่านออกจากวัง”
หากปล่อยให้เซียวถังถังอยู่ในวังต่อไป เธอก็ไม่รู้ว่านางจะก่อปัญหาอะไรได้บ้าง
สถานการณ์ตอนนี้อันตรายยิ่งนัก เธอไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลัง และเธอยังมีเรื่องที่ต้องคิดแก้ปัญหาอีกเยอะ
“หา? พวกเราต้องออกจากวังตอนนี้เลยหรือ?” เซียวถังถังไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี หากจะบอกว่าดีใจนางก็ดีใจ แต่นางไม่อยากแยกจากมู่ไป๋ไป่เช่นกัน “ท่านยังมีตำราแพทย์อีกมากมายที่ยังอ่านไม่จบ ไม่สู้ให้หวานหว่านกับข้าช่วยอ่านให้จบก่อนแล้วค่อยกลับไปไม่ดีกว่าหรือ?”
“แล้วถ้าในตำราแพทย์เล่มอื่นมีเรื่องเกี่ยวกับอาคมอยู่ด้วยจะทำอย่างไร?”
“ไม่จำเป็น” มู่ไป๋ไป่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงไม่ยอมเปิดโอกาสให้ศิษย์น้องได้พูดอีก
พอเซียวถังถังเห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ปฏิเสธเสียงแข็ง นางจึงจำใจต้องเดินกลับไปหาอวี้หวานหว่านด้วยท่าทางหดหู่
…
ในอีกด้านหนึ่ง มู่เทียนฉงได้รับรายงานจากอันกงกงว่าซูหว่านไม่สบาย เขาไม่ได้แสดงท่าทีโมโหแต่อย่างใด แล้วสั่งให้คนไปเอาสมุนไพรบำรุงร่างกายจากในท้องพระคลังส่งไปให้นางแทน
วันนี้วังหลวงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกเนื่องจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ที่เกิดขึ้นช่วงกลางวัน
ปัจจุบันบรรยากาศในตำหนักต่าง ๆ เต็มไปด้วยความตึงเครียด นอกจากตำหนักอวี๋ชิงที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่ขอให้องครักษ์เงาส่งเซียวถังถังกับอวี้หวานหว่านออกไปจากวังหลวง เธอก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อน
เมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก้อนเมฆบนท้องฟ้าก็เริ่มถูกแต่งแต้มด้วยแสงสีแดงจากพระอาทิตย์ตกดิน
“นี่มันสายมากแล้ว…” มู่ไป๋ไป่พึมพำพลางขยี้ตาที่แห้งผากของตัวเอง แต่สมองของเธอยังคงมึนงงไม่ตื่นเต็มที่ “เจ้าส้ม ทำไมเจ้าไม่ปลุกข้า?”
ส่วนเจ้าแมวตัวอ้วนเองก็นอนขดอยู่ที่หัวเตียงไม่ยอมลืมตา “ข้าจะปลุกเจ้าได้อย่างไร?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หญิงสาวเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดจิกกัดของอีกฝ่าย เธอจึงถามออกไปว่า “เจ้าเรียกข้าแล้วหรือ?”
“ฮึ ยิ่งกว่าเรียกอีก” จู่ ๆ เจ้าส้มก็ยอมลืมตาขึ้นมามอง “ตอนที่เซียวถังอี้มา ข้าแทบจะเอากรงเล็บข่วนหน้าเจ้าแล้ว”
“แต่เจ้าน่ะหรือ? เฮอะ เอาแต่นอนอืดอยู่ได้!”
“อะไรนะ?!” มู่ไป๋ไป่ยืดตัวนั่งตัวตรงทันที “เซียวถังอี้มาที่นี่หรือ เมื่อไหร่กัน?”
ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกอะไรเลย!
แมวตัวโตยืดตัวบิดขี้เกียจ ก่อนจะยกอุ้งเท้ามาเลียและจ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาดูถูก “เจ้านี่มันช่างโชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้โดนหลอกไปขายในช่วงที่ข้าไม่อยู่”
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว! เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเขามาทำไม เขาเห็นสภาพข้าเช่นนี้หรือ?” มู่ไป๋ไป่ก้มหัวลงมองสำรวจสภาพของตัวเองซึ่งดูไม่ค่อยเรียบร้อยสักเท่าไหร่ แล้วคิดถึงว่าชายหนุ่มมาเห็นสภาพเช่นนี้ ใบหูเธอก็ร้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ผู้ชายคนนั้นเข้าใจความแตกต่างระหว่างชายหญิงบ้างหรือไม่?
แม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับเธอ แต่ในเป่ยหลง เธอก็อายุมากพอที่จะแต่งงานได้แล้ว
“เมื่อประมาณครึ่งชั่วยามที่แล้ว” เจ้าส้มกลอกตามองบน “เขาเหมือนมีเรื่องจะคุยกับเจ้า แต่เขาเห็นว่าเจ้าหลับอยู่ เขาจึงฝากข้าให้มาบอกเจ้าแทน”
“คืนนี้ให้เจ้าไปพบเขาที่นอกวัง จุดนัดพบก็คือร้านเกี๊ยวที่กินด้วยกันคราวที่แล้ว”
“มู่ไป๋ไป่ บอกความจริงข้ามาเดี๋ยวนี้นะ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเซียวถังอี้ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
แมวอ้วนตัวใหญ่พูดพร้อมกับกระโดดไปบนผ้าห่มของมู่ไป๋ไป่และจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา
เนื่องจากเจ้าส้มเป็นแมวที่มีนิสัยตรงไปตรงมารวมถึงมีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมมาโดยตลอด มันจึงรู้สึกว่าระหว่างมู่ไป๋ไป่กับเซียวถังอี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในช่วงเวลาที่มันไม่อยู่
แต่ถ้าจะให้บอกว่ามันเปลี่ยนไปแบบใด มันก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงแค่แมวตัวหนึ่ง
“ใคร-ใครสนิทกับเขากัน?” มู่ไป๋ไป่กระแอมในลำคอแก้เก้อก่อนจะตอบด้วยเสียงแหบพร่า “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้ากำลังสืบสวนเรื่องของท่านพ่ออยู่ ข้าก็คงไม่มีเหตุอะไรให้ใกล้ชิดกับเขาหรอก เจ้าอย่าปล่อยให้จินตนาการของเจ้าชักนำให้พูดมั่วซั่ว แล้วเขาบอกแค่ว่าจะรออยู่ที่ร้านเกี๊ยวหรือ เขาไม่ได้บอกเวลาไว้หรืออย่างไร?”
เจ้าส้มเหลือบมองหญิงสาวด้วยสายตาสงสัยก่อนจะตอบว่า “บอก”
“เมื่อไหร่?” มู่ไป๋ไป่ยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เจ้าส้มพูดขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจพร้อมกับยื่นอุ้งเท้าไปข้างหน้าเหมือนกำลังชี้หน้าอีกฝ่าย “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้เลยนะ ตอนกลางคืนเจ้าจะทิ้งข้าไว้ที่นี่ตัวเดียวไม่ได้ แมวตัวนี้จะไปกับเจ้า ข้าจะจับตาดูเจ้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเซียวถังอี้คงจะจับเจ้ากินโดยไม่คายกระดูกออกมาแน่!”
ยามนี้มู่ไป๋ไป่รู้สึกอารมณ์ดีเพราะมีนัดกับชายหนุ่มคืนนี้ เธอจึงเปิดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเริ่มค้นหาเสื้อผ้าในตู้ “เจ้าพูดอะไรน่ะ แม้ว่าเซียวถังอี้… บางครั้งอาจจะน่ารำคาญไปสักหน่อย แต่เขาไม่ใช่คนเลวร้าย”
“อีกอย่าง ตั้งแต่เด็กเขาก็ช่วยข้าไว้หลายครั้ง เขาไม่มีทางทำร้ายข้าหรอก”
“ดูสิ! เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร!” เจ้าส้มกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะด้วยท่าทางวิตก “หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ขอบอกเลยว่าเจ้าไม่มีทางพูดถึงเซียวถังอี้เช่นนี้ และเจ้าคงจะลงโทษข้าด้วยการริบขนมทั้งหมด”
“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ได้เกินจริง” มู่ไป๋ไป่เลือกชุดใหม่ที่ซูหว่านตัดเย็บให้ตน ในตอนที่เธอเตรียมจะใส่ชุดนั้น เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอจะแต่งตัวโดดเด่นในตอนที่แอบลอบออกจากวังหลวงตอนกลางคืนไม่ได้ เธอจึงจำต้องวางมันลง แล้วยอมจำนนหยิบชุดสีดำออกมาใส่แทน
“ฮึ ข้าคงจะแปลกใจถ้าเจ้าไม่ทำ” เจ้าส้มหรี่ตาลงก่อนจะถามขึ้นมาว่า “มู่ไป๋ไป่ บอกความจริงข้ามาเดี๋ยวนี้นะ เจ้าสนใจเซียวถังอี้หรือไม่?”
“เจ้าส้ม!” มือเรียวของมู่ไป๋ไป่สั่นเพราะความตกใจ เธอเกือบจะทำให้ฝากล่องชุดหนีบมือเสียแล้ว “ถ้าเจ้ายังพูดเหลวไหลอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเอาเจ้าไปทิ้ง!”
“เจ้าเด็กนี่ คิดว่าจะขู่ให้ข้ากลัวได้หรือ?” แมวสีส้มตัวโตกระดิกหางเบา ๆ มันอยู่กับหญิงสาวมาหลายปี มันจึงรู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี นางไม่มีวันตัดขาดกับมันได้ ดังนั้นมันจึงไม่ได้ใส่ใจคำขู่ของนางเท่าใด
มู่ไป๋ไป่ยกมือขึ้นลูบแก้มร้อน ๆ ของตัวเอง ในขณะนี้เธอรู้สึกว่าหากเจ้าส้มกลับมาแล้วพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ มันไม่ควรกลับมาเสียยังจะดีกว่า
เจ้าแมวตัวนี้ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งฉลาดมากขึ้น!
“ถ้าเจ้ากล้าก็ลองดู!” หญิงสาวบิดไขมันหน้าท้องของเจ้าส้มด้วยสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นข้าจะให้ท่านปู่เต่ามาแทนที่เจ้า นอกจากมันจะกินน้อยแล้ว มันยังมีฝีมือมากกว่าเจ้าอีก…”
เมื่อเจ้าแมวอ้วนได้ยินว่าเธอคิดที่จะเลี้ยงเต่า มันก็โกรธมากและแยกเขี้ยวขู่เธอ “ไป๋ไป่ บังอาจนัก!”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: คนอื่นเขารู้กันทั้งโลกว่า 2 คนนี้เขาชอบกัน แม้แต่สัตว์ก็ยังรู้ แต่ปากแข็งกันทั้งคู่!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 188
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น