บทที่ 456: ข้าไม่ชอบเต่าเท่าไหร่
“สุรานี้รสแรงยิ่งนัก เจ้าอย่าได้รีบดื่ม” เซียวถังอี้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของมู่ไป๋ไป่ เขาจึงกระแอมก่อนจะพูดว่า “กินกับแกล้มด้วยสิ”
หญิงสาวส่งเสียงตอบรับในลำคอเบา ๆ แต่เธอก็ไม่ได้ขยับทำอะไร
กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เธอไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด
“พ่อหนุ่ม?” เต่าอาวุโสยังคงพยายามยืดหัวชนเซียวถังอี้เพื่อขออาหารจากเขา มันทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกหงุดหงิดและกำลังจะหันไปต่อว่าเจ้าเต่าตัวนั้นให้เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว แต่เธอกลับได้ยินเสียงร้องโอ๊ยดังขึ้นมาก่อน
เต่าชราซึ่งแต่เดิมปีนขึ้นมาอยู่บนก้อนหินจู่ ๆ ก็ลื่นลงไปในสระน้ำ
“หืม?” มู่ไป๋ไป่อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน
“ข้าไม่ค่อยชอบเต่าเท่าไหร่” เซียวถังอี้พูดขึ้นพลางเล่นก้อนกรวดที่ถืออยู่ในมือ “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ทำให้มันบาดเจ็บ ข้าแค่ให้มันถอยออกไปอยู่ห่าง ๆ จากเราเท่านั้น”
หญิงสาวกะพริบตาปริบ ๆ ทันใดนั้นความรู้สึกอึดอัดในใจก็จางหายไป
“ท่านทำได้ดีมาก ข้าเองก็ไม่ชอบเต่าเหมือนกัน” มู่ไป๋ไป่พูดพร้อมกับส่งยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า “ท่านนี่รู้ใจข้าจริง ๆ เลยนะ~”
ทางด้านเต่าเฒ่าที่จมลงไปยังก้นสระบ่นพึมพำขึ้นมาว่า “...เจ้าเด็กนั่นหมายความว่าอย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเราออกจะคุยกันถูกคอ”
เมื่อเซียวถังอี้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของมู่ไป๋ไป่ ดวงตาดุจเหยี่ยวก็เป็นประกายสดใสมากยิ่งขึ้น
ยามนี้ชายหญิงทั้ง 2 นั่งเงียบ ๆ อยู่ที่ริมสระน้ำ ในขณะที่พวกเขาร่ำสุราชมจันทร์อย่างสบายใจ
“ท่านมาหาข้าตอนนี้ก็เพื่อดื่มกับข้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่หลับตาพลางซึมซับบรรยากาศโดยรอบ เนื่องจากตอนนี้เธอดื่มไปหลายจอกแล้วจึงทำให้เธอมีความกล้าเพิ่มมากขึ้น
เธออยากจะลองหาคำตอบว่าในใจของผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้นคิดอะไรอยู่
“หืม?” เซียวถังอี้ที่กำลังเงยหน้าดื่มสุราก็หยุดดื่ม ก่อนจะถอนหายใจเงียบ ๆ เพราะบรรยากาศที่สงบสุขได้ถูกทำลายลงไปอย่างน่าเสียดาย “เปล่า ข้ามาขอยืมคนจากเจ้า”
“ยืมคน?” มู่ไป๋ไป่เลิกคิ้วขึ้น เธอไม่คิดว่าเขาจะมาหาตนด้วยจุดประสงค์นี้ “น่าแปลก ท่านมีคนเก่งกาจอยู่ในมือตั้งมากมาย ทำไมท่านถึงต้องมาขอยืมคนจากข้า?”
ชายหนุ่มวางจอกสุราในมือลงก่อนจะยืดตัวตรงขึ้น นั่นเป็นท่าทางที่คุ้นเคยในยามที่เขาจะเริ่มพูดคุยเรื่องสำคัญ
“เจ้าน่าจะสังเกตเห็นว่าเสด็จพ่อของเจ้าแปลกไปจากเดิม”
คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของมู่ไป๋ไป่ดูเคร่งขรึมขึ้น หากเธอสามารถสังเกตเห็นมัน แล้วคนที่เฉลียวฉลาดอย่างเซียวถังอี้จะมองไม่เห็นได้อย่างไร
“ใช่” หญิงสาวเม้มปากตอบ ถึงแม้ในใจเธอจะยอมรับความสามารถของอีกฝ่ายแต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ “ในเมื่อท่านสังเกตเห็นเรื่องนี้ ข้าจะไม่เห็นมันได้อย่างไรกัน”
เธอคิดว่าเซียวถังอี้จะแกล้งเธอเหมือนเคย แต่เขาก็พยักหน้ารับอย่างจริงจัง “เจ้าฉลาดมาก ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องสังเกตเห็นเช่นกัน”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกตกใจกับคำชมจากปากของผู้ชายคนนี้ ทำให้แก้มขาวนวลแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เธอก็แสร้งทำเป็นถลึงตาใส่เซียวถังอี้เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ “ฮึ ท่านคิดว่าเพียงแค่ท่านพูดดี ๆ กับข้าไม่กี่คำจะทำให้ข้ายอมตกลงโดยง่ายอย่างนั้นหรือ ท่านต้องบอกข้าให้ชัดเจนว่าท่านจะขอยืมคนไปทำอะไร อย่างน้อยข้าจะได้อธิบายให้พวกเขาเข้าใจ”
เธอนับว่าทุกคนรอบตัวนั้นเป็นเหมือนคนในครอบครัว ความรับผิดชอบของเธอก็คือการปกป้องพวกเขาให้ดี เธอขอยอมเสี่ยงเองดีกว่าปล่อยให้พวกเขาไปทำงานอะไรก็ตามที่เสี่ยงอันตราย
“ข้าสงสัยว่าเสด็จพ่อของเจ้าถูกวางยาพิษ ข้าอยากให้คนของเจ้าช่วยไปตรวจสอบเรื่องนี้” เซียวถังอี้ไม่คิดปิดบังโดยบอกจุดประสงค์และสิ่งที่เขาต้องการออกไปตามตรง
“ข้าจำได้ว่ามีคนที่ชื่ออาเค่อ เขาเป็นชนเผ่าจากทางตะวันตกของเป่ยหลง ชนเผ่านี้มีความเกี่ยวข้องกับแมลงกู่อย่างใกล้ชิด”
มู่ไป๋ไป่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาดใจ เธอไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดผู้ชายคนนี้ถึงได้คิดเหมือนเธอมากขนาดนี้
“อาเค่อ…” หญิงสาวเม้มปากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็ตอบไปตามตรงว่า “ตอนนี้ข้าให้ท่านยืมตัวเขาไปไม่ได้”
“เสี่ยวหยินของอาเค่อสามารถรับรู้ถึงแมลงกู่ที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ แต่มันไม่สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด ท่านลืมสิ่งที่อาเค่อพูดตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมไปแล้วหรือ?”
การพาคนนอกเข้ามาในวังหลวงซึ่งคนผู้นั้นเกี่ยวข้องกับชนเผ่าที่เลี้ยงแมลงกู่มีความเสี่ยงสูงมาก ไม่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเธอจะค้นพบหรือไม่ว่ามู่เทียนฉงถูกวางยาพิษ แต่ผลสุดท้ายก็ยังไม่ต่างกัน
“ข้าไม่ได้ลืม” เซียวถังอี้มองลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวขณะกล่าวว่า “แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ต้องลองเสี่ยงดู”
“แคว้นหนานซวนจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”
วันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาถึงแม้จะมีความสำคัญมาก แต่เนื่องจากไทเฮาได้มีพระประสงค์ว่าไม่ต้องทำอะไรมากพิธี เหล่าแคว้นน้อยใหญ่ที่อยู่ใต้อาณัติจึงทำเพียงแค่ส่งของขวัญมาให้ โดยที่ไม่ได้ส่งทูตมาที่เป่ยหลงเพื่อร่วมงานฉลองแต่อย่างใด
“นี่เป็นจดหมายที่หนานซวนส่งมาเมื่อ 3 วันก่อน” เซียวถังอี้ลดเปลือกตาลง ทำให้หน้ากากสีเงินที่ปิดบังใบหน้าส่วนใหญ่ของเขาเอาไว้จนหมด จึงทำให้มองไม่เห็นท่าทีของเขาได้อย่างชัดเจน
“ในตอนที่คนของข้าได้รับข่าว พวกเขาก็กำลังเดินทางมาเป่ยหลงแล้ว”
“3 วันก่อน…” มู่ไป๋ไป่กะพริบตาด้วยความสับสน พร้อมกับคิดว่าด้วยความสามารถของชายหนุ่ม เขาควรได้รับข่าวตั้งแต่วันที่หนานซวนส่งจดหมายมาแล้ว
ทำไมมันถึงล่าช้ามาจนถึงวันนี้?
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่คำถามข้างต้นมาจ่ออยู่ริมฝีปาก เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จดหมายดังกล่าวถูกส่งมาที่วังหลวง หากเซียวถังอี้ไม่ได้รับข่าว แสดงว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับสายลับที่แฝงตัวอยู่ในวัง
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่คิดถึงเรื่องนี้ เธอก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในวังจะซับซ้อนมากกว่าที่เธอคิดเสียอีก
“ท่านรู้จุดประสงค์ของพวกเขาหรือไม่?” หญิงสาวระงับอารมณ์ที่ตื่นตระหนกและนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเธอในเมืองเล็ก ๆ ก่อนหน้านี้ แล้วเธอก็สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง
“ข้าเองก็ไม่รู้” เซียวถังอี้ส่ายหัวตอบ “แต่ข้าเดาว่ามันคงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสด็จพ่อของเจ้า เจ้าจะต้องให้สหายคนนั้นของเจ้ามาลองตรวจสอบดู”
มู่ไป๋ไป่กัดฟันพูดว่า “ได้ แต่ข้ามีเงื่อนไข ท่านจะต้องพาข้าไปด้วย”
คราวนี้ชายหนุ่มเงียบไป
“พาข้าไปด้วย ข้าจะช่วยท่านได้แน่” หญิงสาวคิดไว้แล้วว่าเขาจะต้องปฏิเสธเธอแน่ เธอจึงรีบกล่าวเสริมออกไปว่า “การพาอาเค่อเข้ามาในวังเป็นเรื่องอันตรายมาก ถ้าเกิดมีใครรู้เข้า อย่างน้อยข้าก็จะปกป้องเขาเอาไว้ได้”
“เจ้าทำได้หรือ?” เซียวถังอี้เอ่ยถาม
“อ๋องเซียว!” มู่ไป๋ไป่สวนขึ้นทันควัน
“...” ชายหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบไป
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีข่าวลือเกี่ยวกับเขาในแคว้นเป่ยหลงมากขึ้นเรื่อย ๆ และข่าวลือนั้นก็แปลกประหลาดยิ่งขึ้นเช่นกัน
เขาได้พยายามหยุดยั้งมันเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นผลเสียกับตัวเองมากกว่า
เพราะเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงทำตัวห่างเหินจากเขามากขึ้น
และหากมีใครที่จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องของแมลงกู่ เมื่อพิจารณาจากสภาพของมู่เทียนฉงในตอนนี้แล้ว เขาคงไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แน่
คิ้วรูปกระบี่ขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่อยากดึงมู่ไป๋ไป่เข้ามายุ่งเกี่ยว
“ข้าตัดสินใจแล้ว” หญิงสาวพูดพลางเทสุราลงจอก “พรุ่งนี้เวลานี้ ข้าจะพาอาเค่อไปสืบข่าวที่ตำหนักตี้เฉิน”
เซียวถังอี้มองจอกสุราที่มู่ไป๋ไป่ยกขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่เขาจะยกจอกสุราของตัวเองชนกับนาง “เราขยับเวลาไปสักหน่อยเถอะ ในช่วงนี้เสด็จพ่อของเจ้าเข้าบรรทมดึกมาก”
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินข้อตกลงของอีกฝ่าย เธอก็อดที่จะเม้มปากแน่นไม่ได้
“ก็ได้ ท่านนัดเวลามาได้เลย เดี๋ยวข้าจะพาเขาไปหาท่านเอง”
หลังจากพูดคุยเรื่องจริงจังกันจบแล้ว มู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกดีมากขึ้น พอเธออารมณ์ดี เธอก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา
หญิงสาวจึงหยิบจานอาหารมาเลือกกินทีละอย่าง ไม่นานแก้มขาวเนียนก็เปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันเหมือนเจ้าแมวจอมตะกละ
“นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ากินให้น้อยลงหน่อยเถอะ” เซียวถังอี้เห็นว่ามู่ไป๋ไป่กินไก่ย่างหมดไปครึ่งชิ้นและกำลังจะหยิบซี่โครงหมูพริกไทยมากินต่อ เขาจึงใช้นิ้วดีดหน้าผากมนเบา ๆ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 176
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น