บทที่ 384 มังกรไฟ
บทที่ 384 มังกรไฟ
ตามแผนเดิมชายหนุ่มคิดจะฝึกฝนลูกน้องเพื่อมาท้าทายราชาตัวตลก แต่ในตอนนี้ฮั่นจงได้ฝึกเด็ก ๆ ทั้ง 12 คนขึ้นมาให้กับเขาแล้ว มันจึงช่วยลดระยะเวลาในแผนการของลู่หยางลงไปได้เยอะมาก
หลังจากเวลาผ่านพ้นไป 3 เดือนจำนวนของผู้เล่นที่เข้ามาท้าทายภารกิจของคณะละครสัตว์ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแม้แต่ผู้เล่นเลเวล10 ก็เริ่มที่จะมาท้าทายภารกิจที่นี่ด้วยเช่นกัน
เนื่องมาจากสถานที่แห่งนี้กลายเป็นเหมือนกับแหล่งรวมตัวของผู้เล่นมากฝีมือ กิลด์ใหญ่ ๆ จึงได้ส่งแมวมองมาที่คณะละครสัตว์อยู่เป็นประจำ และถ้าหากว่าใครสามารถผ่านการประเมินระดับ B ขึ้นไป พวกเขาก็จะถูกกิลด์ใหญ่เข้ามาชักชวน
บลัดบราเธอร์ก็ได้ส่งแมวมองมายังคณะละครสัตว์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะวันนี้ที่ถูเฟิงได้เดินทางมายังคณะละครสัตว์ด้วยตัวเอง
ระหว่างที่ลู่หยางกำลังพาฮั่นจงและเด็ก ๆ เข้าไปในคณะละครสัตว์ ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นถูเฟิงกำลังทะเลาะกับเซาธ์โคสท์ผู้ซึ่งเป็นลูกน้องของบลัดไทแรนท์อยู่
“เขากำลังจะเซ็นสัญญากับเราอยู่แล้ว บลัดเติสตี้มีสิทธิ์อะไรถึงมาแย่งเขาไปแบบนี้?” ถูเฟิงถามอย่างหงุดหงิด
“ตราบใดก็ตามที่ผู้เล่นยังไม่เซ็นสัญญา มันก็หมายความว่าเขายังไม่ได้มีข้อผูกมัดอะไรทั้งนั้น อีกอย่างกิลด์ของฉันมีเงินจ่ายเงินเดือนให้กับเขาเดือนละ 5 เหรียญทอง ถ้ากิลด์ของแกมีปัญญาก็เสนอเงินเดือนมากกว่าฉันให้กับเขาสิ” เซาธ์โคสท์พูดอย่างเยาะเย้ย
ถูเฟิงทำได้เพียงแต่กัดฟันด้วยความโกรธ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ว่าเพราะบลัดบราเธอร์ไม่มีเงิน แต่กิลด์ไม่มีนโยบายจ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายเหมือนกับที่เซาธ์โคสท์ได้พูดมา
“ผมไม่สนใจหรอกนะว่าจะต้องอยู่กิลด์ไหน ตราบใดก็ตามที่ใครให้ราคาสูงกว่าผมก็จะไปอยู่กับกิลด์นั้น” กันเนอร์ ผู้ซึ่งเพิ่งผ่านภารกิจระดับ A กล่าว
เซาธ์โคสท์หัวเราะขึ้นมาอย่างพอใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
“คิดแบบนั้นแหละถูกแล้ว สาเหตุที่เรามาเล่นเกมก็เพื่อความสนุกไม่ใช่เหรอ อะไรที่ทำให้นายสนุกนายก็ไปอยู่ตรงนั้นแหละ”
เมื่อได้ยินคำยืนยันจากกันเนอร์ ถูเฟิงก็กัดฟันพร้อมกับหันหลังเดินจากไป
“ฝากไปบอกลู่หยางด้วยว่าพวกเราไม่เพียงแต่จะแย่งคนของแกมาเท่านั้น แต่ในอีกไม่กี่วันพวกเราจะเป็นกิลด์แรกที่ไปกำจัดพวกแกด้วย” เซาธ์โคสท์ตะโกนตามหลังมาอย่างเหิมเกริม
ถูเฟิงหันหลังกลับมาจ้องตาเซาธ์โคสท์ด้วยความโกรธ ก่อนที่เขาจะพูดออกไปว่า
“ถ้ามีปัญญาก็เปิดสงครามมาสิ อย่ามัวแต่ปากดีแต่ยังกลัวบลัดบราเธอร์จนตัวสั่น”
เมื่อทั้งสองเริ่มมีปากเสียงกัน มันก็ทำให้ผู้เล่นโดยรอบให้ความสนใจพวกเขาในทันที
“ตอนแรกฉันได้ยินมาว่าบลัดไทแรนท์กำลังเตรียมกำลังพลเพื่อแก้แค้นกับเรื่องก่อนหน้านี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องจริง”
“ดูท่าคราวนี้ลู่หยางคงจะซวยแล้วล่ะ”
“ใช่ ๆ ฉันก็คิดว่าเขาคงจะสู้บลัดเติสตี้ไม่ได้แล้วเหมือนกัน”
…
ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ทั้งสองก็เริ่มมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหลังจากที่ทั้งคู่ด่ากันไป 10 นาทีเต็ม ๆ พวกเขาก็ต้องหยุดการทะเลาะกันจากเสียงอุทานของคนรอบข้าง
ฮั่นชาเป็นคนแรกที่ลงเวทีและเขาก็สามารถผ่านภารกิจระดับ SSS ได้สำเร็จและได้รับแหวนแห่งความฝันไปในครอบครอง
หลังจากนั้นมันก็เป็นการท้าทายจากเด็ก ๆ ทั้ง 12 คน ซึ่งกว่าที่คนรอบข้างจะทันได้สังเกตเห็น มันก็เป็นในตอนที่เด็กคนสุดท้ายผ่านพ้นบททดสอบไปได้แล้ว
“มัวแต่ทะเลาะกับแกนี่มันเสียเวลาจริง ๆ” เซาธ์โคสท์บ่นพึมพำพร้อมกับรีบเดินจากไป ไม่ว่ายังไงเขาก็ทำตามจุดมุ่งหมายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะการทะเลาะกับถูเฟิงท่ามกลางสถานที่สาธารณะแบบนี้ก็เป็นแผนที่หวังเถิงได้วางเอาไว้
อย่าลืมว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคือการจัดการกับฉงป้าและฉือมู่เป็นอันดับแรก การที่เขาออกมาทะเลาะกับถูเฟิงก็จะเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนว่าพวกเขากำลังตั้งเป้าไปที่บลัดบราเธอร์
ถูเฟิงมองตามเซาธ์โคสท์ไปด้วยแววตาแห่งความเคียดแค้น ก่อนที่เขาจะแอบติดต่อไปหาลู่หยาง
“เป็นไง ฉันแสดงดีไหม?”
“เยี่ยมมาก” ลู่หยางตอบ
“ทำไมฉันจะต้องไปทะเลาะกับเขาด้วยล่ะ? แบบนั้นมันทำให้ฉันดูเหมือนเป็นพวกนักเลงข้างถนนเลย” ถูเฟิงถาม
“นายไม่เห็นเหรอว่าเซาธ์โคสท์ก็กำลังพยายามแสดงละครด้วยเหมือนกัน หากวัดจากนิสัยของบลัดไทแรนท์ ถ้ามันอยากจะโจมตีฉันจริง ๆ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องมาประกาศให้ฉันรู้ล่วงหน้าแบบนี้หรอก” ลู่หยางกล่าว
“นั่นก็จริง แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงต่อไป?” ถูเฟิงกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ทำตัวตามปกติ ไม่ต้องไปสนใจพวกมัน” ลู่หยางกล่าว
หลังจากวางสายชายหนุ่มก็หันไปมองพวกฮั่นชาที่กลับมาหาเขาครบแล้วทุกคน
“ทุกคนทำได้ดีมาก เดี๋ยวคืนนี้พี่จะเลี้ยงฉลองให้กับพวกนายเอง”
เด็ก ๆ กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เมื่อลู่หยางบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงทุกคนต่างก็เบิกตากว้างด้วยแววตาอันเป็นประกาย
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ฝากพวกเขาเอาไว้กับนายหน่อยนะ ทุก ๆ 3 ชั่วโมงฉันจะพาพวกเขาไปฝึกครั้งหนึ่งนายน่าจะบริหารเวลาได้ใช่ไหม?” ฮั่นจงกล่าว
“ไม่มีปัญหาครับ” ลู่หยางกล่าวก่อนจะนำคาถาวาร์ปพาเด็ก ๆ ทั้ง 12 คนไปยังชายแดนจักรวรรดิออร์ค
—
พวกฮั่นชาได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มข้น พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแม้จะต้องถูกวาร์ปมายังแผนที่ระดับสูงก็ตาม ในทางกลับกันเมื่อทุกคนสัมผัสได้ถึงอันตราย พวกเขาต่างก็เฝ้ามองสภาพแวดล้อมอย่างระแวดระวังและเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดตลอดเวลา
“ทุกคนพักผ่อนกันที่นี่ก่อน เดี๋ยวพี่จะไปล่อมอนสเตอร์มาช่วยพวกนายเก็บเลเวล” ลู่หยางกล่าวอย่างพอใจหลังจากได้เห็นท่าทางของทุกคน
“ให้พวกเราไปช่วยไหมครับ?” ฮั่นชาถาม
“ไม่ต้องหรอก รอให้พวกนายเลเวลสัก 50 ก่อนตอนนั้นค่อยมาช่วยพี่ก็แล้วกัน” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับลูบหัวเด็กหนุ่มเบา ๆ
หลังจากพูดจบลู่หยางก็เปิดสกิลสคอร์ชิ่งสปีดวิ่งเข้าไปในเมืองของออร์ค จากนั้นเขาก็ใช้วิธีการเดิมในการหลอกล่อพวกออร์คออกมาและใช้สกิลพาร์ทออฟไฟร์แผดเผาพวกมันจนตาย
ระหว่างนั้นพวกฮั่นชาก็มองไปยังลู่หยางที่กำลังวิ่งหลบหนีฝูงมอนสเตอร์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“ถ้าฉันมีเลเวลถึง 50 เมื่อไหร่ ฉันจะช่วยพี่เขาอย่างสุดความสามารถ” ฮั่นชากล่าว
“ฉันก็เหมือนกัน” ฮั่นหยูซึ่งเป็นพี่รองของกลุ่มกล่าว
“หนูด้วย” ฮั่นเมิ่งและคนอื่นต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ความจริงแล้ววิธีการฆ่ามอนสเตอร์ของลู่หยางแบบนี้เป็นวิธีการที่ค่อนข้างอันตราย เพราะถ้าหากเขาพลาดโดนพวกออร์คโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว มันก็อาจจะพลาดทำให้เขาถึงตายได้เลยและเขาก็มีทางเลือกอย่างมากมายในการพาเด็ก ๆ ไปเก็บเลเวลในแผนที่อื่น
อย่างไรก็ตามลู่หยางก็ไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น นอกจากนี้เขายังสงสารเด็ก ๆ ทั้ง 12 คนที่ไม่มีคนดูแล ตั้งแต่ฮั่นจงตัดสินใจรับเด็ก ๆ ทั้ง 12 คนมาลู่หยางก็ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะช่วยให้พวกเด็ก ๆ พึ่งพาตัวเองให้ได้โดยเร็วที่สุด
การเก็บเลเวลในวันนี้เป็นเพียงก้าวแรกในการช่วยเหลือพวกเด็ก ๆ เท่านั้น
ระบบ: คุณได้สังหารออร์คค้อนเหล็กเรียบร้อยแล้ว
…
เสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นกว่า 200 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งมันก็หมายความว่าออร์คค้อนเหล็กถูกสังหารจนหมดแล้วเหลือเพียงแค่ออร์คกัปตันที่ยังมีพลังชีวิตเหลืออยู่อีกนิดหน่อย
ในอีกด้านหนึ่งร่างของพวกฮั่นชาก็กลายเป็นแสงสีทองติดต่อกัน ซึ่งโดยเฉลี่ยพวกเขาก็มีเลเวลเพิ่มขึ้นมาถึง 4 เลเวล
กระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาไปเพียงแค่ไม่ถึง 5 นาที ซึ่งลู่หยางก็ค่อนข้างพอใจกับความเร็วของตัวเองมากพอสมควร หลังจากที่เขาจัดการกับพวกออร์คกัปตันได้จนหมดแล้ว เขาจึงโบกมือเรียกเด็ก ๆ ให้วิ่งมาทางด้านนี้
“ช่วยพี่เก็บของหน่อย”
“ครับ/ค่ะ” เด็ก ๆ ทั้ง 12 คนต่างก็ตะโกนตอบรับพร้อมกัน
รอบนี้ออร์คกัปตันทั้ง 4 ตัวดรอปใบเปลี่ยนอาชีพลงมา 1 ใบและกล่องแพนดอร่าอีก 2 กล่อง ชายหนุ่มจึงเก็บของพวกนี้เข้ากระเป๋าและพาเด็ก ๆ ไปที่กำแพงเมือง
“ยืนรอตรงนี้นะ” ลู่หยางกล่าว ก่อนที่เขาจะแปลงร่างเป็นอสูรเพลิงและกระโดดลงไปทางด้านล่าง
ในร่างอสูรเพลิงทำให้ลู่หยางสามารถปล่อยสกิลออกมาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีคูลดาวน์ เขาจึงสังหารพวกออร์คไปได้ถึง 8 รอบภายในครึ่งชั่วโมง ซึ่งโดยรวมแล้วเขาก็สังหารพวกมันไปมากกว่า 5,000 ตัว
ร่างของเด็ก ๆ ทั้ง 12 คนเปล่งแสงสีทองขึ้นมาไม่หยุด และเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงที่ลู่หยางพาพวกเขามา มันก็ทำให้พวกเขามีเลเวลเพิ่มขึ้นไปเป็น 28 แล้ว
“เร็วมาก!” ฮั่นเมิ่งกล่าว
“ความจริงแล้วพวกฮั่นอิ่งเก็บเลเวลกันได้เร็วกว่านี้อีกนะ รอให้พวกพี่เขาเก็บเลเวลกันจนเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่จะพาทุกคนไปที่นั่นด้วย” ลู่หยางกล่าวหลังจากกลับมาหาเด็ก ๆ ทุกคน ซึ่งทันใดนั้นฮั่นอิ่งก็ติดต่อเข้ามาพอดี
“ว่าไง?” ลู่หยางรับสายด้วยรอยยิ้ม
“เราได้หนังสือสกิลของนักเวทไฟมาเล่มหนึ่งค่ะ” ฮั่นอิ่งกล่าวอย่างภูมิใจ
“หนังสือสกิลอะไรเหรอ?” ลู่หยางถาม
“สกิลมังกรไฟค่ะ”
ยังไงก็ต้องเป็นของดีแน่ ๆ ว่าไหม?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 137
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น