บทที่ 192 กำลังพลครบถ้วน
บทที่ 192 กำลังพลครบถ้วน
แม้จะลงมือแกล้งเจียงเจ๋อไปแล้วแต่จางเย่ก็ไม่ได้รู้ภูมิหลังครอบครัวของเจียงเจ๋อเลย ขณะเดียวกันเมื่อเจียงเจ๋อตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติเขาก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว หลังถูกแกล้งเขาก็ไม่ได้คิดจะขอความช่วยเหลือจากพวกลู่หยาง ในวันที่ออกจากโรงพยาบาลเขาจึงพาลูกน้องกว่า 10 คนไปดักรอกระทืบจางเย่จนต้องนอนโรงพยาบาลไปนับครึ่งปี
หลังจากนั้นครอบครัวของจางเย่ก็ไม่กล้าที่จะแจ้งความ ขณะที่จางเย่ก็ไม่กล้ามายุ่งกับเจียงเจ๋ออีกเลย เพียงแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ฟางยวี่ถิงถูกพ่อแม่ของเจียงเจ๋อตำหนิและทำให้ในตอนสุดท้ายทั้งคู่ไม่ได้ลงเอยกัน
ลู่หยางรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นอย่างดี และในชาตินี้เขาย่อมไม่ยอมให้เรื่องราวดำเนินไปเหมือนเดิมอีกอย่างแน่นอน
“เจียงเจ๋อ ก่อนหน้านี้พวกเรามีปัญหากันบ้างก็จริง แต่ตอนนี้พวกเราเรียนจบกันแล้ว ฉันเลยถือโอกาสมาขอโทษ เอาเป็นว่า นายช่วยรับเบียร์จากฉันไปแล้วเรื่องระหว่างเราในก่อนหน้านี้ให้เลิกลากันไปดีไหม?” จางเย่แสร้งทำเป็นพูดอย่างจริงใจ
“พวกนายทั้งสองคนต่างก็เป็นเพื่อนของฉัน ถ้าหากพวกนายดีกันฉันจะดีใจมากเลย” ฟางยวี่ถิงกล่าวอย่างดีใจ
“นายแน่ใจนะว่าจะให้ฉันดื่มเบียร์?” เจียงเจ๋อกล่าวด้วยแววตาอันคมกริบ
เมื่อจางเย่ถูกจ้องมองมันก็ทำให้เขาใจเต้นรัวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เขาก็ยังคงพยายามใจแข็งและพูดออกไปว่า
“ฉันอยากจะขอโทษนายจริง ๆ นะ เห็นแก่หัวหน้าห้องนายช่วยดื่มเบียร์แก้วนี้แค่แก้วเดียวได้ไหม?”
เมื่อสถานการณ์เริ่มอึดอัด ฟางยวี่ถิงก็กำลังจะเปิดปากเกลี้ยกล่อมให้เจียงเจ๋อรับเบียร์แก้วนี้ไป แต่ลู่หยางได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความยื่นให้หญิงสาวดูซะก่อน
บนหน้าจอโทรศัพท์เขียนไว้ว่า: เจียงเจ๋อแพ้เบียร์อย่างรุนแรง
ฟางยวี่ถิงมองลู่หยางด้วยความประหลาดใจและภายในแววตาของเธอมันก็มีแต่คำถาม
ลู่หยางพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรและพยายามใช้สายตาบอกให้ฟางยวี่ถิงพยายามห้ามไม่ให้เจียงเจ๋อรับเบียร์มากิน
“ได้ ฉันจะกินเบียร์แก้วนี้” เจียงเจ๋อกล่าวขณะเหลือบสายตามองไปทางฟางยวี่ถิงแว้บหนึ่ง
หญิงสาวรีบยกมือไปคว้าแขนของเจียงเจ๋อไว้พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยท่าทางไม่พอใจว่า
“ไอ้บ้า! ถ้านายแพ้เบียร์แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก”
สมองของเจียงเจ๋อว่างเปล่าไปอย่างกะทันหันและสัมผัสของมือน้อย ๆ มันก็ทำให้ใบหน้าของเขาแดงไปถึงหู
เมื่อจางเย่เห็นฟางยวี่ถิงจับมือเจียงเจ๋อเขาก็รู้สึกโกรธจนควันออกหู แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะยื่นมือออกไปแยกทั้งสองออกจากกัน ลู่หยางก็ได้ใช้มือข้างหนึ่งจับจางเย่เอาไว้ซะก่อน
หลี่รุ่ย,จ้าวชวี่, เจียงหัวและถูเฟิงต่างก็รีบลุกขึ้นมาพร้อมกันเพื่อกั้นจางเย่เอาไว้ให้ออกห่างจากสหาย
“นี่เป็นงานเลี้ยงรุ่นห้องเรา รบกวนคนนอกออกไปด้วย” ลู่หยางกล่าว
“ถอยไป!” จางเย่ตะโกนด้วยความโกรธ
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าวันเรียนจบการศึกษานายแอบฟังเจียงเจ๋อคุยโทรศัพท์กับพ่อในห้องน้ำ นายเลยรู้ว่าเขาแพ้เบียร์ บางทีคนเราก็ไม่ควรจะทำอะไรชั่วช้าแบบนี้นะ” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มขึ้นมาอย่างดูถูก
ฟางยวี่ถิงหันมามองจางเย่ด้วยความโกรธ ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจว่า
“นายรู้ไหมว่าอาการแพ้ทำให้คนตายได้เลยนะ คราวนี้นายทำเกินไปแล้ว! นี่คืองานเลี้ยงของห้องเรารบกวนนายออกไปด้วย”
“ฟังฉันอธิบายก่อน” จางเย่พยายามแก้ตัวแต่เขาก็พูดอะไรมากกว่านั้นไม่ออก
“สาวเอ่ยปากไล่แล้วก็ไปเถอะ ช่วยทำตัวเป็นสุภาพบุรุษหน่อย” ลู่หยางและพวกถูเฟิงเริ่มขับไล่พวกจางเย่ออกจากห้อง
หากเป็นชาติก่อนในตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น การกระทำของจางเย่คงจะทำให้เขาทะเลาะกับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ในชาตินี้เขาได้กลับมาเกิดใหม่โดยมีประสบการณ์ของผู้ใหญ่ เขาจึงสามารถหาวิธีไล่จางเย่ออกไปโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสหาเรื่องเขาเลย
พวกถูเฟิงก็เข้าใจความหมายที่ลู่หยางทำแบบนี้ แต่หลังจากปิดประตูพวกเขาก็หันมาถามลู่หยางอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
“แค่นี้เองเหรอ?” ถูเฟิงถามอย่างไม่พอใจ
“เดี๋ยวเราค่อยหาโอกาสจัดการกับมันทีหลัง วันนี้อย่าพึ่งทำลายโอกาสของเจียงเจ๋อเลย” ลู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถูเฟิงยกมือขึ้นมาตบศีรษะตัวเองหนึ่งที ก่อนจะพูดว่า
“ขอโทษที ฉันลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย”
ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ทุกคนต่างก็ตัดสินใจทำอะไรอย่างโผงผาง แต่เมื่อลู่หยางสามารถจัดการสถานการณ์ได้อย่างมีสติ มันก็ทำให้พวกถูเฟิงหันไปมองสหายด้วยแววตาที่แตกต่างไปจากเดิม
ที่โต๊ะ
เมื่อฟางยวี่ถิงเห็นใบหน้าของเจียงเจ๋อแดงขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็เอ่ยปากถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ทำไมนายถึงหน้าแดงล่ะ เมื่อกี้นายเผลอกินเบียร์เข้าไปหรือเปล่า?”
ลู่หยางเดินกลับมาเห็นสภาพเจียงเจ๋อเข้าพอดี เขาจึงแกล้งทำเป็นตกใจและพูดออกไปว่า
“หัวหน้าห้อง ถ้าเธอยังไม่ปล่อยมือฉันคิดว่าสักพักเราคงจะต้องปั๊มหัวใจเจียงเจ๋อแล้วล่ะ”
ตอนแรกทุกคนกำลังโกรธที่จางเย่เข้ามาพยายามพังงานเลี้ยง แต่คำพูดของลู่หยางได้เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันคำพูดนี้ก็ทำให้ฟางยวี่ถิงหน้าแดงไปทั้งหน้า ก่อนที่เธอจะรีบปล่อยมือออกมาด้วยความเขินอาย
“ผม... ผมไม่เป็นไร” เจียงเจ๋อกล่าวพร้อมกับหอบหายใจออกมาเล็กน้อย
แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าทำไมเจียงเจ๋อถึงหน้าแดงขนาดนี้ ฟางยวี่ถิงจึงพูดออกไปเบา ๆ ว่า
“นายทำให้ฉันเสียหายหมดแล้ว”
หลังจากพูดจบฟางยวี่ถิงก็เดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงโดยไม่หันมาสนใจเจียงเจ๋ออีก
ลู่หยางเดินเข้าไปข้าง ๆ สหายแล้วเมื่อเขาเห็นว่าเจียงเจ๋อยังคงใช้สายตามองตามฟางยวี่ถิง เขาจึงพูดขึ้นมาว่า
“อย่ามองเลย เธอเข้าใจความรู้สึกของนายแล้ว แต่การที่เธอเลือกจะไม่ปฏิเสธมันก็หมายความว่าเธอกำลังเปิดโอกาสให้นาย หลังจากนี้นายก็ค่อย ๆ จีบเธอไปก็แล้วกัน”
เจียงเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์ จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับลู่หยางว่า
“ขอบใจนะ”
“จะมาขอบจงขอบใจอะไรกัน สามปีนี้ฟางยวี่ถิงได้พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ได้รักใครเพราะเงิน ถ้าพวกนายได้อยู่ด้วยกันฉันก็ยินดีด้วย” ลู่หยางกล่าว
เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มงานเลี้ยงกันอย่างสนุกสนาน
หลี่รุ่ย,จ้าวชวี่, เจียงหัวและถูเฟิงชวนพูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ นานา และในที่สุดหัวข้อมันก็เปลี่ยนมาพูดคุยกันถึงเรื่องเกม
“มีใครเล่นเกมเซคคัลเวิลด์อยู่บ้าง? เกมนี้โคตรสนุกเลย ตอนนี้ฉันเป็นนักเวทเลเวล 10 แล้วพวกนายสนใจมาเล่นด้วยกันไหม?” จ้าวชวี่เริ่มเปิดบทสนทนา
“ฉันก็เล่นอยู่ ตอนนี้เป็นพาลาดินเลเวล 10 และเป็นหัวหน้าทีมเล็ก ๆ ในกิลด์โปรเพอซี” เจียงหัวกล่าว
“ฉันเป็นโจรเลเวล 10 ตอนนี้ฉันก็เป็นหัวหน้าทีมเล็ก ๆ ในกิลด์ซีโร่พอยท์เหมือนกัน” หลี่รุ่ยกล่าว
“ฉันเป็นนักบวชเลเวล 11 ก่อนหน้านี้ฉันอยู่รวมกลุ่มกับพวกผู้เล่นอิสระ แต่น่าเสียดายที่กลุ่มนั้นมันถูกยุบไปแล้ว” ถูเฟิงกล่าว
“ทำไมพวกนายเก็บเลเวลกันไวจังเลย ฉันเพิ่งจะเลเวล 3 เอง ว่าแต่ลู่หยางนายเลเวลเท่าไหร่แล้ว? ก่อนหน้านี้นายสัญญาแล้วนะว่าจะพาฉันไปเก็บเลเวล ถ้าพวกนายทุกคนช่วยพาฉันไปเก็บเลเวล หลังจากนี้ฉันจะต้องเก็บเลเวลได้เร็วกว่าเดิมแน่ ๆ” เจียงเจ๋อกล่าว
ลู่หยางตบไหล่ถูเฟิงเบา ๆ เพราะมันเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเสียใจมากที่กลุ่มผู้เล่นอิสระถูกทำลาย
“ถ้าฉันบอกว่าอันดับ 1 ในตารางจัดอันดับการเก็บเลเวลคือฉัน พวกนายจะเชื่อไหม?” ลู่หยางกล่าว
“ไม่เชื่อ!” ทุกคนต่างก็ส่ายหัวพร้อมกัน
“มันจะมีใครบ้าใช้ชื่อจริงของตัวเองเป็นชื่อในเกม” จ้าวชวี่พูด
“ก็ฉันนี่ไง” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตัวเอง
“นี่นายพูดเล่นใช่ไหม?!” พวกถูเฟิงเริ่มจริงจังขึ้นมา เพราะท้ายที่สุดลู่หยางภายในเกมก็เป็นตัวตนที่สำคัญสำหรับเกมนี้มากเกินไป
“ฉันจะโกหกพวกนายไปทำไม” ลู่หยางกล่าว
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบลงอย่างน่าประหลาด ก่อนที่เจียงหัวจะถอนหายใจและพูดว่า
“ที่แท้นายก็เป็นมังกรที่ซ่อนอยู่ในหมู่ของพวกเรานี่เอง”
“ลู่หยางช่วยแก้แค้นให้กับกลุ่มผู้เล่นอิสระของฉันด้วย” ถูเฟิงกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เรื่องแก้แค้นฉันจัดการให้แน่นอน ว่าแต่พวกนายสนใจจะมาช่วยฉันไหม? ตอนนี้ฉันต้องการความช่วยเหลือจากพวกนายมาก” ลู่หยางกล่าว
“ไม่มีปัญหา” ถูเฟิงตอบรับเป็นคนแรก ขณะที่คนอื่น ๆ ก็พยักหน้ารับตามกัน
ลู่หยางรู้อยู่แล้วว่าทุกคนจะตอบตกลง เขาจึงพูดออกไปว่า
“ฉันจะให้หุ้นกิลด์พวกนายคนละ 1%”
“ไม่ต้องหรอก” ทุกคนต่างก็รีบส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกัน
“ไม่ได้ ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจน อีกไม่นานเกมนี้จะเปิดให้มีการชิงป้อมปราการ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราควบคุมป้อมปราการได้ ในเวลานั้นกิลด์ก็จะมีรายได้หลายแสนเครดิตต่อวัน” ลู่หยางกล่าว
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?!” เจียงหัวถามอย่างประหลาดใจ
“บางทีมันอาจจะมากกว่านั้นอีก ถ้าป้อมปราการที่นายยึดได้กลายเป็นป้อมปราการที่มีคนเข้าพักเป็นประจำมากกว่า 300,000 คน แค่นั้นรายได้ที่กิลด์จะได้รับมันก็มากกว่าที่ฉันพูดออกไปแล้ว”
“ในเมื่อทุกคนไม่มีปัญหา พรุ่งนี้เช้าให้รีบเข้าเกมแล้วเดี๋ยวฉันจะส่งสัญญาไปให้ อย่าพึ่งเห็นว่าหุ้นที่ฉันให้มันน้อยเกินไป เพราะผู้เล่น 15 อันดับแรกในตารางจัดอันดับต่างก็อยู่ในกิลด์ของฉันและถือหุ้นคนละ 1% เหมือนกัน ในช่วงหลังถ้าหากว่ามันมีการระดมทุน ปริมาณหุ้นของฉันมันก็จะถูกลดทอนลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ” ลู่หยางกล่าว
“นายต้องการเงินลงทุนไหม? ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่ประมาณ 5 ล้าน” เจียงเจ๋อกล่าว
“ตอนนี้ยังไม่จำเป็น ถ้านายมีเงินก็แลกเงินในเกมไปซื้อที่ดิน เพราะอีกไม่นานราคาที่ดินจะพุ่งขึ้นสูงจนพวกนายไม่อยากจะเชื่อเลย” ลู่หยางกล่าว
“ได้ ฉันเชื่อนาย” เจียงเจ๋อกล่าว
“เอาล่ะหลังจากที่พวกนายเข้ากิลด์พรุ่งนี้ หน้าที่ของพวกนายคือรับสมัครผู้เล่น, จัดการบัญชี, จัดการกิจกรรมและค้นหาผู้เล่นฝีมือดี อย่าพึ่งดูถูกตำแหน่งพวกนี้เป็นอันขาด เพราะกิลด์ของเราอาจจะมีจำนวนสมาชิกทะลุเกิน 100,000 คนในไม่ช้า ถ้าหากกิลด์ขาดการจัดการที่ดีบางทีกิลด์ ๆ นี้ก็อาจจะพังสลายลงไปเรื่อย ๆ” ลู่หยางกล่าว
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะคอยสนับสนุนนายอย่างเต็มที่” เจียงหัวกล่าว
“ฉันเชื่อในตัวพวกนายอยู่แล้ว” ลู่หยางกล่าว
ในชาติก่อนกิลด์ของลู่หยางก็ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน สหายของเขาแต่ละคนจึงมีความสำคัญในด้านการจัดการภายในกิลด์มาก โดยเฉพาะเจียงหัวและถูเฟิงที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่หัวหน้าทีมเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงพวกเขามีความสามารถในการจัดการทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
“ถ้างั้นคืนนี้พวกเราเข้าเกมกันเลยดีไหม? หลังจากทำความคุ้นเคยกับกิลด์แล้วพรุ่งนี้อะไร ๆ จะได้ง่ายขึ้น” เจียงเจ๋อกล่าว
“ถ้าได้แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย” ลู่หยางกล่าว
—
หลังงานเลี้ยงจบลงทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งในระหว่างงานลู่หยางไม่ได้ดื่มมากนักและค็อกเทลที่เขาดื่มก็แทบที่จะไม่มีแอลกอฮอล์
หลังกลับมาถึงบ้านเขาก็ได้พบว่าลู่จ้าวหยู่และพวกเฉินเฟิงกำลังสวมหมวกเกมนั่งอยู่บนโซฟาของห้องโถงชั้น 1 ส่วนทางด้านเสี่ยวเหลียง, พี่น้องตระกูลฮั่นและพี่น้องตระกูลมู่ก็กำลังอยู่ในเกมด้วยเหมือนกัน
ลู่หยางเริ่มหาที่นั่ง จากนั้นเขาก็สวมหมวกเพื่อเข้าสู่เกม
ตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้ว ลู่หยางจึงเริ่มเพิ่มเพื่อนกับพวกเจียงเจ๋อตามเลขไอดีที่ทุกคนให้มา จากนั้นเขาก็พาทุกคนเก็บเลเวลจนถึง 15 ก่อนจะพาพวกเขาเข้ามาที่ห้องท้องพระโรง
เพื่อน ๆ ก็เชื่อง่ายเกิ้นนนน 555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 276
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น