[fic Vocaloid] Just be…? [Gumi x Gumiya] Chapter 9

[fic Vocaloid] Just be…? [Gumi x Gumiya]

-A A +A

[fic Vocaloid] Just be…? [Gumi x Gumiya] Chapter 9

หมวดหนังสือ: 

Chapter 9

 

หลังจากปาร์ตี้ผ่านไป ความสัมพันธ์ของกุมิและเดลล์เริ่มพัฒนาขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวเจอเขาที่คาเฟ่ทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ พวกเขาคุยกันบ่อยขึ้น และดูเหมือนชายหนุ่มจะเป็นคนเริ่มเข้าหาก่อนซะด้วยสิ…

 

“กุมิ พรุ่งนี้เรามีเรียนเช้าใช่มั้ย?” เดลล์ถามขึ้นในเย็นวันหนึ่ง กุมิดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่านี่ใกล้เวลาปิดร้านแล้ว

 

“ใช่ค่ะพี่เดลล์ มีอะไรเหรอ?”

 

“เริ่มอ่านหนังสือได้แล้วนะ เดือนหน้าสอบแล้ว” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “งานที่ร้านไม่ต้องห่วงนะ ยังมีพนักงานคนอื่นช่วยกันทำอยู่คนของเราเยอะ พี่ว่าเราเอาเวลาตรงนี้ไปอ่านหนังสือดีกว่า”

 

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ กุมิรับไหว” หญิงสาวตอบ นึกเกรงใจไม่น้อยที่ร้านต้องขาดคนไป 1 คน แล้วใครจะช่วยบริการลูกค้า ไหนจะชงชาอีก ถ้าขาดคนช่วยงานไปสักคน พนักงานที่เหลือคงต้องทำงานกันหนักขึ้น ซึ่งจะไม่เป็นผลดีทั้งต่อร้านและต่อตัวพนักงานเอง

 

“เรารับไหวแน่นะ” เดลล์ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ เขานึกกังวลไม่น้อยที่รุ่นน้องจะต้องมาทำงานทุกเย็น ไหนจะต้องกลับไปสะสางงานให้เสร็จ และอ่านหนังสือเตรียมสอบอีก เนื่องจากนี่เป็นการสอบครั้งแรกของนักศึกษาปี 1 เขาจึงอดกังวลไม่ได้ว่ารุ่นน้องจะทำคะแนนได้ดีขนาดไหน เพราะแต่ละวิชามันก็ไม่ใช่ง่ายๆ ชายหนุ่มเข้าใจดี เพราะเขาเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาเหมือนกัน

 

“ค่ะ พี่ไม่ต้องห่วง” กุมิตอบอย่างมั่นใจ หญิงสาวชูสองนิ้วให้เดลล์ที่คิ้วขมวดมุ่น ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับเข้าร้านไป

 

วันรุ่งขึ้น กุมิแต่งตัวไปเรียนตามปกติ หญิงสาวมาหยุดอยู่หน้ามหาวิทยาลัยเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ สักพักก็เห็นแผ่นหลังของใครคนหนึ่งอยู่ลิบๆ ร่างนั้นกำลังวิ่งตรงมายังที่ที่เธอยืนอยู่

 

[Gumi’s part]

 

ร่างนั้นหอบหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทักขึ้น

 

“อรุณสวัสดิ์จ้ะ กุมิจัง” ฉันหันไปมองก็พบกับริน เอีย และกุมิยะที่เดินมาด้วยกัน

 

“อรุณสวัสดิ์จ้ะทุกคน” ฉันตอบก่อนจะกวาดตามองเพื่อนแต่ละคนเพื่อหาความผิดปกติ

 

เลนกับอิโนะไม่อยู่…

 

“นาย… ไอ้บ้า! ไม่รอกันเลย” เสียงตะโกนของใครคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับร่างของเลนที่วิ่งกระหืดกระหอบตรงมาหาพวกเรา ตรงข้ามกับอิโนะที่เดินมาอย่างไม่รีบร้อน เดี๋ยวนะ นายจะชิลไปไหน อีกแค่ 5 นาทีอาจารย์จะเข้าแล้ว แต่พวกเรายังยืนเอ้อระเหยลอยชายอยู่หน้ามหาวิทยาลัยอยู่เลย ก็คงไม่แปลกหรอกที่จะเรียนไม่รู้เรื่องเพราะเข้าสายตลอดจนชินไปแล้ว โดยเฉพาะอิโนะ ที่เข้าสายทุกคาบจนเป็นเรื่องปกติ

 

“เดินเร็วๆ สิเลน สายแล้วนะ” เอียเร่ง ก่อนที่พวกเราจะเดินเข้าไปในตัวอาคารและกดลิฟท์ขึ้นไปชั้นบนทันที

 

พวกเราเดินเข้ามาในห้องบรรยาย เอียจองที่ได้แถวกลางค่อนไปทางด้านหลังซึ่งเป็นที่ประจำ ที่นั่งแถบนี้มีข้อดีคือ ไม่ถูกอาจารย์เพ่งเล็งบ่อยนัก ดังนั้นพวกนักศึกษาที่ได้ที่นั่งตรงนี้จึงสามารถจดเลคเชอร์หรือสามารถทำอะไรได้โดยไม่เป็นจุดสนใจ นั่งกันเรียบร้อยแล้วอาจารย์ผู้สอนเดินเข้ามาพอดี ฉันหยิบกระเป๋าเครื่องเขียนกับสมุดออกมาเตรียมไว้ ส่วนจะจดไหมนั้นก็อีกเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ก็จดนั่นแหละ เดี๋ยวจะไม่มีอะไรไว้อ่านสอบ

 

“นี่กุมิจัง” เอียเอ่ยเรียกฉันขึ้นขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจดเลคเชอร์อยู่ ฉันหันไปมอง รู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่ถูกรบกวนแต่ก็หันไปตอบเพื่อนเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

 

“มีอะไรเหรอ?”

 

“ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่านะ ช่วงนี้ดูเหมือนกุมิจังกับพี่เดลล์ดูสนิทกันจังเลย รู้จักกันเหรอจ๊ะ?”

 

คำพูดของเอียทำเอาเพื่อนที่เหลือหันมามองฉันเป็นตาเดียว ฉันทำทีหันไปมองโปรเจกเตอร์ที่ขึ้นสไลด์อยู่เพื่อกลบเกลื่อน ยังไม่อยากตอบอะไรทั้งนั้น เพราะเรื่องที่อาจารย์กำลังบรรยายอยู่ตอนนี้ค่อนข้างจะสำคัญ แต่ก็ทำได้ไม่นานเพราะทุกคนไม่เป็นอันเรียนแล้ว ตอนนี้ริน กุมิยะ และเลนกำลังจ้องฉันไม่เลิก ส่วนอิโนะก็จิ้มเล่นเกมในโทรศัพท์อย่างสบายใจ จนไม่ทันสังเกตถึงสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นในแถวที่พวกเรากำลังนั่งอยู่

 

“ใช่ฮอนเนะ เดลล์ รุ่นพี่ปี 2 เดือนคณะปีที่แล้วหรือเปล่า?” รินถามขึ้นบ้าง

 

“ใช่ ก็มีอยู่เดลล์เดียวนั่นแหละ ฉันเห็นกุมิจังเดินกับพี่เขาบ่อยๆ ก็เลยสงสัยน่ะ”

 

ฉันหวนนึกถึงวันที่คุยกับพี่เดลล์ที่คาเฟ่ เรื่องที่เราคุยกันล่าสุดก็คือเรื่องอ่านหนังสือสอบ และหลังจากนั้น ฉันเริ่มสังเกตว่าพี่เขาเดินมาทักฉันบ่อยขึ้น และไม่ได้ทักแค่ที่คาเฟ่อย่างเดียว เมื่อเห็นฉันที่ตึกคณะเมื่อไรละก็ เป็นต้องเข้ามาทักทุกทีไป ทีแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเอียเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นก็ทำให้อดคิดไม่ได้

 

อาจารย์บรรยายต่อไปเรื่อยๆ ตรงข้ามกับสติของฉันที่เริ่มหลุดลอย ภาพใบหน้าของชายหนุ่มผมดำ เจ้าของใบหน้าคมกับดวงตาสีนิลคมกริบคู่นั้นเข้ามาวนเวียนในสมองของฉันจนตาลายไปหมด ฉันฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพื่อพักสายตา นึกสงสัยตัวเองว่าจ้องหน้าจอโปรเจกเตอร์มากเกินไปจนตาพร่า หรือเล่นทวิตเตอร์มากไปจนตาลายกันแน่ ไม่นาน อาจารย์ผู้สอนก็พักครึ่ง 15 นาที ฉันจึงมีเวลางีบเล็กน้อยก่อนจะถึงเวลาเรียนต่อในช่วงครึ่งหลัง

 

การเรียนในช่วงครึ่งหลังผ่านไป ฉันสะกิดอิโนะที่หลับคาโต๊ะไปแล้ว ดูเหมือนหมอนั่นจะยังไม่รู้สึกตัวด้วยว่าอาจารย์เลิกคลาสตั้งแต่ 5 นาทีก่อน และกลุ่มของพวกเราก็เก็บของกันจนเสร็จหมดแล้วด้วย

 

“อิโนะ อิโนะ… ตื่นสิ ไอ้บ้า!” การปลุกของฉันไม่ได้ผล แต่มีเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้เจ้าคนขี้เซาประจำกลุ่มตื่นได้ นั่นคือ กุมิยะนั่นเอง มือเรียวของเขาฟาดเข้าไปกลางหลังอิโนะเต็มแรงจนสะดุ้งสุดตัว หนุ่มผมขาวลืมตาขึ้นช้าๆ คลำหัวตัวเองป้อยๆ เมื่อเห็นสภาพรอบข้างจึงรีบเก็บของเข้ากระเป๋าทันที

 

“ให้ตายเถอะนายนี่ เอาแต่เล่นเกม แล้วจะสอบผ่านมั้ยเนี่ย?” เอียบ่นเพื่อนตัวเองเบาๆ “วิชานี้มันไม่ใช่หมูๆ นะ ฉันไม่เห็นว่านายจะจดกับเขาบ้างเลย”

 

“ช่างฉันเถอะน่า เอีย เห็นแบบนี้ฉันก็กลับไปทวนเหมือนกันนะ” อิโนะพูดขณะเดินออกจากห้องบรรยาย

 

“จ้า เอาให้ผ่านเลยนะ ถ้านายผ่านเลี้ยงราเมนฉันด้วย ดีมั้ยล่ะ?” สาวผมขาวยื่นข้อเสนอ

 

“เอางี้ดีกว่า” กุมิยะโพล่งขึ้น “ทุกคน มาพนันกันดีกว่าว่า ถ้าใครสอบผ่านต้องเลี้ยงราเมน ดีไหม?”

 

“ไม่” เลนแย้ง “คนสอบไม่ผ่านสิต้องเลี้ยง”

 

“เป็นความคิดที่ดีนะ” รินเห็นด้วย โดยมีฉันพยักหน้าเห็นด้วยอีกคน

 

“โอเค มติเอกฉันท์ ใครสอบไม่ผ่านวิชานี้ต้องเลี้ยงราเมน ตามนี้นะ” กุมิยะสรุป ชายหนุ่มขยับแว่นก่อนจะเดินนำออกไปที่ลิฟท์

 

“แล้วถ้าไม่ผ่านหลายคนล่ะ?” ฉันถาม เป็นไปไม่ได้แน่ว่าคนสอบผ่านจะมีเยอะกว่าคนไม่ผ่าน เพราะดูจากวิชาแล้วฉันยังคิดว่าไม่น่ารอดเลย แล้วคนติดเกมอย่างรินกับอิโนะล่ะจะขนาดไหน หรือจะซุ่มเงียบก็ไม่อาจรู้ได้

 

“ง่ายๆ ก็ช่วยกันหารไง” เลนตอบ อิโนะยื่นมือออกมาแท็กมือกับเลนทีหนึ่ง ทุกคนเฮขึ้นพร้อมกัน

 

“ดีมากเพื่อน” กุมิยะยิ้มมุมปาก “จะรอกินราเมนนะ” พูดพลางหันไปมองอิโนะ

 

“ฉันไม่เลี้ยงนายหรอกเว้ย!” อิโนะตอบแทบจะในทันที “อย่างฉันต้องผ่านแน่ๆ อยู่แล้ว”

 

“นายมั่นใจขนาดไหน?” รินถาม เพราะเธอเองก็ไม่มั่นใจนักว่าจะสอบผ่าน

 

“70%” อิโนะตอบ

 

“งั้นก็ทำให้ได้นะ ถ้านายไม่ผ่านต้องเลี้ยงพวกเราตามที่ตกลงกันไว้ โอเค้” ฉันพูดบ้าง อิโนะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

 

พวกเราเดินออกมาจากลิฟท์และตรงไปยังม้านั่งหน้าตึกคณะ วันนี้มีคนนั่งไม่มากนัก ที่ว่างจึงเยอะเป็นธรรมดา ทุกคนเลือกนั่งที่โต๊ะหน้าตึกเพื่อจะได้เดินออกง่ายๆ แล่ะฉันก็เอ่ยถามเพื่อนในกลุ่มขึ้นว่า

 

“ทุกคน วันนี้มีใครเรียนบ่ายบ้าง?”

 

“ฉันกับกุมิยะ” รินตอบ จริงสิ สองคนนี้ลงวิชาเสรีเอาไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องเรียนหนักในปีถัดไป ต่างกับฉันและเพื่อนที่เหลือที่ไม่รู้จะเลือกลงอะไรดี วันนี้ช่วงบ่ายเลยว่าง เรียนช่วงเช้าเสร็จก็กลับบ้านได้เลย

 

“แล้วกุมิจังล่ะ จะกลับห้องเลยไหม?” รินถามขึ้น

 

“คงจะกลับเลยนั่นแหละจ้ะ” ฉันตอบ กลับไปจะได้เริ่มอ่านหนังสือสักที ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ เตรียมตัวหันหลังเดินออกจากตึก ทันใดนั้นก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้

 

“อ้าว น้องกุมิ” เสียงทุ้มๆ เข้มๆ ของเขาเอ่ยเรียกชื่อฉัน “สวัสดีครับ”

 

“สวัสดีค่ะพี่เดลล์” ฉันทักพี่เขากลับไป พักนี้ฉันกับพี่เขาคุยกันบ่อยขึ้น จนพวกเพื่อนที่นั่งอยู่ต้องหันมามอง เดี๋ยวๆ นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเธอสักหน่อย จะมองทำไมก็ไม่รู้

 

“ว้าว ดูกุมิจังสิ” เอียพูดขึ้นเบาๆ แต่ขอโทษเถอะ เสียงเบาของเธอนี่คือเบาแล้วเหรอ ฉันที่ยืนอยู่ห่างออกมาจากโต๊ะยังได้ยินเลย

 

“พี่รบกวนเราหรือเปล่า” พี่เขาพูดขึ้นพลางมองไปยังโต๊ะที่กลุ่มของฉันนั่งอยู่

 

“ไม่รบกวนหรอกครับพี่ เดี๋ยวพวกผมก็จะกลับกันแล้ว พอดีวันนี้ไม่มีเรียนช่วงบ่ายครับ” เลนชิงตอบเสียก่อน พูดเหมือนว่าฉันอยากอยู่กับพี่เขาแค่สองคนยังไงยังงั้น แต่ฉันเองก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกันที่เพื่อนพูดแบบนี้ ทำไมกันนะ…

 

“อะ…เอ่อ ไม่รบกวนหรอกค่ะ วันนี้ฉันไม่มีเรียนช่วงบ่าย” ไอ้ความรู้สึกประหม่าแบบนี้ หน้าที่เริ่มร้อนขึ้นแบบนี้มันคืออะไร เริ่มไม่เข้าใจตัวเองแล้วสิ

 

“เจอเราก็ดี พี่ว่าจะชวนไปร้านด้วยกันอยู่เลย” พี่เดลล์พูดขึ้น พักนี้ฉันกับพี่เขาไปคาเฟ่ด้วยกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ เพื่อนที่เหลือทยอยลุกขึ้น ทุกคนเดินตรงมาหาพวกเรา ก่อนที่รินกับกุมิยะจะขอตัวกลับเข้าตึกไปก่อน เลนกับอิโนะมองหน้าฉันยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกไปบ้าง เหลือแค่เอียคนเดียวที่ยังยืนอยู่เป็นเพื่อนฉัน

 

“แล้วพี่ไม่มีเรียนเหรอคะ?” ฉันถาม ตามตารางของพี่เขาที่ฉันรู้มาวันนี้มีเรียนบ่าย แล้วทำไมถึงไม่เข้าล่ะ?

 

“อาจารย์ยกคลาสครับ” เดลล์ตอบ ฉันพยักหน้าก่อนจะตอบตกลงไปที่คาเฟ่พร้อมกันกับพี่เขา แว่วเสียงของเอียตะโกนตามหลังมาว่า

 

“แหมๆ พัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว คบกันเร็วๆ เลยก็ดีนะคะ”

 

‘ไอ้เพื่อนบ้า!’ ฉันคิดอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับมีสีเรื่อขึ้นมาจนพี่เขาสังเกตเห็น

 

“กุมิเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าแดงๆ นะ”

 

“อะ…เอ่อ ปะ เปล่านี่คะ” ฉันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกลบเกลื่อน พยายามปั้นสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ

 

“ไม่เป็นไรแน่นะ” พี่เขาจ้องหน้าฉันตาไม่กะพริบเลย บอกว่าไม่เป็นไรไง ไม่เชื่อจริงๆ เหรอ?

 

“ค่ะ กุมิไม่เป็นไรจริงๆ” ฉันตอบอย่างมั่นใจ พี่เขาเดินนำออกไปหน้าประตูมหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นก็ชวนฉันคุยไปด้วย

 

“ช่วงนี้เราเป็นไงบ้าง เรียนหนักหรือเปล่า?” เดลล์ถามฉันขณะเดินลัดเข้าไปในซอยหนึ่งเพื่อให้เดินไปถึงร้านโดยเร็ว

 

“ไม่หนักเท่าไหร่ค่ะ แต่ไม่เข้าใจเนื้อหาเลย” ฉันพูดขึ้น

 

“อ๋อ วิชานี้พี่โน้ตเอาไว้ เราจะเอาหรือเปล่าครับ? เดี๋ยวยังไงพี่เอามาให้ที่คณะ” พี่เขาอาสา ฉันรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ที่อย่างน้อยพี่เขายังอุตส่าห์เป็นห่วง ไม่อยากให้สอบตกตั้งแต่ครั้งแรก แต่ฉันก็เกรงใจคนเป็นนะ จะรับเอาไว้เลยมันก็ยังไงอยู่ จึงตอบไปอย่างสงวนท่าทีว่า

 

“รบกวนพี่หรือเปล่าคะ ไม่ใช่ว่าพี่ยังอยากจะเก็บไว้อ่านอยู่หรือเปล่า มันอาจจะยังสำคัญอยู่ก็ได้”

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ไม่มีปัญหา จดใหม่ก็ได้ ว่าแต่กุมิเถอะ จะเอาเมื่อไหร่ก็บอกพี่ละกันนะ ไลน์กับเบอร์พี่ก็มีแล้วนี่ โทรมาได้ตลอดเลยนะ”

 

“ขอบคุณมากนะคะ ถ้ายังไงเดี๋ยวกุมิบอกอีกที ตอนนี้ถึงร้านพอดีเลย” ฉันกับพี่เขาเดินคุยกันมาจนถึงหน้าร้าน พี่เขาเปิดประตูเข้าไปก็พบกับพนักงานหลายคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

 

“ฮายยย…” เสียงทักทายของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง ฉันหันไปมองก็พบกับโซนิก้าที่เดินออกมาต้อนรับ

 

“อ้าว โซนิก้า วันนี้มาเร็วจัง” ฉันทักสาวรุ่นน้อง พอหันไปก็เจอกับมิโคโตะที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ใกล้ๆ

 

“วันนี้พวกเราเลิกเร็วน่ะค่ะ เลยมาเฝ้าร้านได้” มิโคโตะตอบ ก่อนจะถูกโซนิก้ากระโดดกอดจากด้านหลังเข้าเต็มรัก

 

“โอ๊ย! เธอนี่ บอกให้เลิกทำแบบนี้สักที มันเจ็บนะ” มิโคโตะว่าอย่างไม่จริงจังนัก

 

“น่า ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่” โซนิก้ายิ้มก่อนจะผละออกมาช้าๆ ฉันยิ้มกับความน่ารักของรุ่นน้องก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ทุกคนยังเหมือนเดิม ฮิเมะยืนประจำอยู่ที่โต๊ะชงชาตัวเดิมที่อยู่ข้างโต๊ะฉัน วันนี้เป็นวันทำงานที่ผ่านไปเหมือนทุกวัน การทำงานก็ราบรื่นเหมือนเดิม แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปนะ…

 

หลังจากทำงานเสร็จ ฉันเก็บของเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว และกำลังจะเดินออกจากร้าน

 

“ไปก่อนนะคะพี่กุมิ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” ฮิเมะ และมิโคโตะเดินออกจากร้านไปโดยมีฉันโบกมือลาเหมือนที่ทำทุกวัน

 

 

“บายนะคะพี่ See you tomorrow.” โซนิก้ายิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากร้านไปอีกคน

 

[Dell’s part]

 

ผมกับพนักงานของร้านส่วนหนึ่งช่วยกันเก็บกวาดร้านหลังจากขายของมาทั้งวัน ตอนนี้ก็ได้เวลาปิดสักที ผมก้าวออกมาจากประตูหลังร้านก็เจอเข้ากับร่างบางของรุ่นน้องผมเขียวยืนอยู่

 

“กุมิ เรายังไม่กลับอีกเหรอ?” เอ่ยถามออกไปอย่างฉงน ปกติเวลาแบบนี้น้องต้องออกจากร้านไปพร้อมกับพวกโซนิก้าแล้ว ทำไมวันนี้ถึงอยู่นานผิดปกติ

 

“กุมิมีเรื่องอยากคุยกับพี่หน่อยค่ะ” น้องตอบ ถ้าตาของผมไม่ฝาด ผมเห็นสีแดงเรื่อๆ จากพวงแก้มทั้งสองข้างนั้นด้วย แม้เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัว หรือรู้แต่ปิดไม่มิดก็ไม่ทราบ ผมมองใบหน้าหวานนั้นนิ่ง คอยดูว่าเธอจะพูดอะไรออกมาอีก

 

“กุมิว่าจะขอยืมโน้ตที่พี่บอกเมื่อตอนบ่ายหน่อยน่ะค่ะ” ใบหน้านั้นแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าเจ้าตัวคงเขินมากเพราะกว่าจะพูดออกมาได้ทำเอาผมต้องยืนรออยู่เกือบนาทีเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่รุ่นน้องที่ผมรู้สึกสนิทด้วยคงเดินออกไปแล้ว ไม่ยืนรอฟังให้เสียเวลาหรอก

 

“อ๋อเรื่องนั้นเอง เราจะเอาวันไหนล่ะ เดี๋ยวพี่เอามาให้” ผมพูดขึ้น มีรุ่นน้องเข้ามาปรึกษาเรื่องเรียนกับผมมากมาย ปกติผมไม่เคยให้อะไรใครง่ายๆ จะให้ได้ก็แค่คำปรึกษา และอธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจให้พวกรุ่นน้องฟัง แต่กับน้องกุมิ ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงสามารถเอ่ยปากให้โน้ตที่ตัวเองจดมาแทบเป็นแทบตาย ทำไมถึงบอกจะให้ง่ายดายขนาดนั้น ปกติของพวกนี้ถ้าจะยืมมันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสักหน่อย จะตั้งราคายืมสักเล็กน้อย หรือยืมแล้วต้องกำหนดเวลาคืนให้ชัดเจนก็ว่ากันไป

 

แต่กับน้องคนนี้ สิ่งที่ผมจดมาด้วยมันสมองที่มีของตัวเองนั้น ผมอยากให้ขาด… ให้ไปเลยฟรีๆ ไม่คิดราคาด้วย น้องเขาจะเอาไปทำอะไรต่อก็แล้วแต่ ผมไม่ว่าอะไรหรอก

 

“พี่สะดวกวันไหนคะ?” น้องเขาถาม ผมรู้ว่าน้องเป็นคนขี้เกรงใจ ทั้งที่เรื่องนี้มันเล็กน้อยมากเลยนะ กะอีแค่สมุดเลคเชอร์เล่มเดียวเอง ไม่เห็นต้องเกรงใจขนาดนั้นเลย

 

“เราจะเอาเมื่อไหร่ล่ะ พี่เอามาให้ได้เสมอแหละ”

 

“งั้นอีกสองวันได้ไหมคะ” น้องเขาถาม “กุมิต้องใช้จริงๆ รบกวนพี่เดลล์หน่อยนะคะ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ งั้นเดี๋ยววันพฤหัส พี่เอามาให้นะ เราเรียนชั้น 4 ใช่มั้ยล่ะ?”

 

“ใช่ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่เดลล์” น้องเขายิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ผมรู้สึกว่ามันน่ารักเหลือเกิน… ไม่ได้ นี่เราคิดอะไรอยู่ ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ ที่แล่นเข้ามา ก่อนจะพยักหน้า

 

“ตกลงตามนี้นะ วันนั้นพี่ก็เรียนชั้นเดียวกับเราเหมือนกัน” ผมพูด หันหลังออกมาเพื่อจะปิดประตูหลังร้านที่เปิดทิ้งเอาไว้ “เรากลับบ้านไปได้แล้ว เดินคนเดียวค่ำมืดมันอันตรายนะ” ผมเอ่ยเตือนหลังจากที่เห็นน้องเขาจ้องผมตาไม่กะพริบ จ้องจนผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ

 

“ขะ…ขอโทษค่ะ กุมิไปก่อนนะคะ” น้องเขายิ้มแหย เกาแก้มตัวเองแก้เก้อ ก่อนจะเดินออกจากร้านไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่หน้าประตูหลังร้านตามลำพัง

 

ผมกลับมาถึงห้องของตัวเองในเวลาสามทุ่มตรง อาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย ก็หยิบมือถือขึ้นมาไถดูอะไรไปเรื่อย เมื่อไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ จึงปิดไฟ ล้มตัวลงนอนเพื่อพักสายตา ไม่นานภาพของรุ่นน้องผมเขียวก็แวบเข้ามาในความคิด

 

ผมรู้จักน้องเขาที่คาเฟ่ครับ ไม่ได้รู้จักที่มหาลัยอย่างที่ใครคิด เพราะในมหาลัยรุ่นน้องปี 1 คณะเราก็เยอะ ใครจะรู้จักกันหมดล่ะ

 

เนื่องจากผมเป็นเด็กกิจกรรม จึงต้องพบปะผู้คนเป็นธรรมดา แต่ใครจะรู้ว่าผมไม่ชอบที่ที่คนเยอะเอามากๆ และถ้าจะทำกิจกรรม ก็คงเลี่ยงการเจอผู้คนไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นท่าทีที่ผมแสดงออกต่อคนอื่นจึงดูเย็นชา ไม่ค่อยพูดเท่าไร จนผู้คนให้ฉายาผมว่า “เจ้าชายน้ำแข็ง”

 

ผมกับฮาคุ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่จบไปแล้วได้ร่วมกันเปิดคาเฟ่เล็กๆ ขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน ทีแรกร้านเราก็ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไร พนักงานก็ยังไม่เยอะด้วย แต่พอย้ายร้านมาเปิดหน้ามหาลัยก็ทำให้มีคนรู้จักร้านมากขึ้น พี่ฮาคุทำคนเดียวไม่ไหว จึงให้ผมมาเป็นทั้งผู้ช่วยและพนักงานไปพร้อมกัน เมื่อลูกค้ามากขึ้น ร้านก็ต้องรับพนักงานเข้ามามากขึ้นตาม โดยลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นนักศึกษาในมหาลัยนั่นแหละ จะมีเด็กม.ปลาย และคนนอกเข้ามาใช้บริการบ้างประปราย

 

และกุมิคือหนึ่งในผู้มาสมัครเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ของร้าน น้องทำงานได้ดีไม่มีบกพร่องเลย สิ่งที่ผมสังเกตได้จากใบหน้าหวานนั้นคือ รอยยิ้มที่สดใส กับใจที่พร้อมบริการลูกค้า

 

อยู่ไปได้สักพัก ผมเองก็ยังไม่ได้สนิทกับน้องเขามากมาย เราเริ่มสนิทกันจริงๆ ก็หลังจากงานปาร์ตี้ฉลองครบรอบ 3 ปีของการเปิดร้านนี่แหละครับ

 

หลังได้รู้จักน้องเขาจริงๆ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป ผมยิ้มให้ลูกค้ามากขึ้น ทั้งที่เมื่อก่อนจะทำงานอยู่ด้านหลังร้านมากกว่า เพราะไม่ต้องใช้หน้าตาเท่าไรนัก ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้ว การต้องออกมาต้อนรับลูกค้าจึงไม่ค่อยเข้ากับคนอย่างผมเท่าไร

 

แต่หลังจากที่สนิทกับน้องเขา ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้ากับคนง่ายขึ้น เริ่มพูดคุยกับคนอื่นบ้าง โดยเฉพาะกับพนักงานรุ่นน้องที่มักจะหลบทุกครั้งที่เจอหน้าผม แต่หลังจากที่ผมเริ่มยิ้ม มันทำให้โลกของผมสดใสขึ้น มนุษยสัมพันธ์ของผมก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ

 

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมทั้งหมดเป็นเพราะน้องเขาหรือเปล่า หรือเป็นเพราะตัวผมเองที่เริ่มพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ความรู้สึกของผมที่มีต่อกุมิ…

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผมชอบเผลอมองใบหน้าหวานนั้นเป็นพักๆ รอยยิ้มของเธอนั้นติดตราตรึงใจผมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ และยังดวงตาสีเขียวมรกตคู่งามที่ผมว่ามันช่างสดใสเหลือเกิน…

เหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าที่โผล่พ้นขอบฟ้า ทำให้ความหนาวของรัตติกาลเริ่มหายไป เทียบกันง่ายๆ ก็คือ รอยยิ้มของน้องที่สดใส ช่วยทำให้หัวใจด้านชาดวงนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น

 

ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร แต่ผมจะต้องรู้ให้ได้ในสักวัน…

 

Tbc

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ เพียงเรียงรัก

ทำไมตอนนี้รู้สึกสงสานกุมิยะ 55+

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.