เรื่องวุ่นวายในป่าพิศวง กับอัญมณีแห่งพงไพร บทที่ 2 ทัศนศึกษา

เรื่องวุ่นวายในป่าพิศวง กับอัญมณีแห่งพงไพร

-A A +A

เรื่องวุ่นวายในป่าพิศวง กับอัญมณีแห่งพงไพร บทที่ 2 ทัศนศึกษา

กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

“ตื่นได้แล้วน้ำ เดี๋ยวไปไม่ทันรถนะลูก”

“ครับ แม่ตื่นแล้วครับ”

ผมชื่อน้ำครับเป็นนักเรียนชั้นม.6 ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งและเมื่อกี้ก็เสียงแม่ผมเอง เป็นประจำอย่างนี้ทุกเช้าที่แม่ผมจะต้องปลุกผม เพราะผมเป็นคนนอนขี้เซาแค่นาฬิกาปลุกไม่สามารถปลุกผมได้จริงๆ อีกอย่างช่วงนี้ผมมักจะฝันถึงใครบางคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาหลายวันติดต่อกันแล้ว ผมมักจะตื่นมาจากความฝันแล้วก็นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวในหัวเป็นพักใหญ่เสมอ แต่วันนี้ต่างออกไปเพราะผมต้องทำเวลาเนื่องจากวันนี้ผมต้องรีบไปโรงเรียนแต่เช้าเพื่อไปขึ้นรถให้ทัน สงสัยกันไหมล่ะครับว่าจะขึ้นรถไปไหน “โรงเรียนเค้าจะพาไปทัศนศึกษาน่ะครับ” ให้ตายเหอะถ้ามีทางเลือกผมคงเลือกที่จะไม่ไปดีกว่า แต่อย่างว่ามันมีทางให้เลือกซะที่ไหนกันล่ะ คิดซะว่าไปเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน

“ผมไปแล้วนะครับแม่” ในขณะที่กำลังสวมถุงเท้าอยู่ผมตะโกนขึ้นเพื่อที่จะบอกให้แม่ทราบ

“เตรียมของไปครบไหมละน้ำ ลืมอะไรหรือป่าวดูดีๆนะ” เสียงแม่ดังออกมาจากหลังบ้าน

“ไม่ลืมครับ ผมตรวจดูแล้ว หวัดดีครับแม่”

“จ้า เดินทางปลอดภัยลูก”

พูดบอกแม่เสร็จผมก็รีบเดินออกจากบ้านด้วยความเร่งรีบ เพื่อที่จะไปให้ทันเวลาซึ่งตอนนี้ก็ดูเหมือนผมจะช้าแล้วยังดีที่บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากเท่าไหร่ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว

“เฮ้ย ไอ้น้ำมาช้าจังวะ” เสียงที่ผมคุ้นเคยดังมาจากข้างหลังผมขณะที่ผมกำลังเดินเข้าประตูหน้าโรงเรียน ผมหันหลังกลับไปมองตามที่มาของเสียงก็เห็น”ไอ้ต่อ”เพื่อนซี้ของผมนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงเก้าอี้หินอ่อนหน้าโรงเรียน

“มึงรีบมาทำไมแต่เช้าวะ ไอ้ต่อ” ผมตะโกนถามหยอกล้อตามประสากลับไป

“ข้าตื่นเต้นไง นานๆจะได้ไปต่างจังหวัดซักที” ต่อพูดพลางสายตาหันมองตามสาวที่เดินผ่านหน้าเข้าโรงเรียนไป

“ไอ้น้ำเองเห็นคนนั้นป่ะ ที่กำลังเดินเข้าโรงเรียนอ่ะนั่นน้องปอนด์ ม.4 เป็นไงข้านี่โคตรชอบน้องคนนี้เลย”

“ข้าก็เห็นเองชอบทุกคนนั่นแหละไอ้ต่อ”

“ถึงยังไงข้าก็คบเป็นคนๆไปนะเว้ย”

“เฮ้ยทำไมพวกเด็กมากันเยอะจัง นี่เค้าให้พวกเด็กม.ต้น ไปด้วยหรอวะ”ผมถามพร้อมกับเดินไปนั่งลงข้างๆเพื่อนผม

“ก็ไปกันหมดโรงเรียนเลยนั่นแหละ คราวนี้ข้าว่าวุ่นวายแน่นอน” ต่อพูดขึ้นมาพร้อมกับทำสีหน้าเดายากเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่

“นักเรียนคนไหนที่มาถึงแล้ว ให้มารวมกันที่ลานหน้าอาคาร 1 ได้เลยครับ”

“ปะครูสุธีประกาศเรียกแล้ว”ต่อพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าเดินนำหน้าผมไป

“นักเรียนม.1 มาเข้าแถวข้างหน้าเลยครับ ส่วนม.6 เดินไปขึ้นรถคันหลังสุดได้เลย” ครูสุธี พยายามพูดตะโกนแข่งกับเสียงนักเรียนที่ต่อแถวคุยกันวุ่นวายและดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครฟังเค้าซักเท่าไหร่

“ขึ้นรถกันเลยดีกว่าไอ้ต่อ จะได้นั่งหลังๆกัน” ผมพูดบอกเพื่อนผมที่กำลังยืนเหล่สาวอยู่ตามนิสัยของมัน

“เอาดิ่ ยืนนานชักเมื่อยล่ะ”ต่อตอบกลับมาแล้วเราก็เดินกันไปที่รถคันหลังสุด

เราทั้งคู่พากันเดินไปที่รถของชั้นม.6 แล้วขึ้นไปนั่งเบาะเกือบจะท้ายสุดโดยที่ผมขอนั่งริมหน้าต่างเพราะอยากมองวิวข้างทางไปด้วย ผมนั่งกดดูเฟซบุ๊กไปได้ซักพักนึง รถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากโรงเรียนอย่างช้าๆ ผ่านรถราวุ่นวายของเมืองหลวง ไม่นานจากทัศนียภาพที่เป็นตึกรามบ้านช่อง ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นไปเป็นท้องทุ่งนาซึ่งดูแปลกตาไปอีกแบบ คงจะเพราะว่าผมไม่ได้เห็นภาพแบบนี้มานานแล้วเลยทำให้รู้สึกว่ามันสวยจนมองไม่ละสายตาเลยทีเดียว

“เองว่าไอ้เบียร์ห้อง3 มันกำลังจีบเฟิร์นอยู่ป่ะวะ”เสียงต่อกระซิบมาที่ข้างหูผม

“จะไปรู้หรอ เค้าจะจีบกันมันก็เรื่องของเค้าปะวะ” ผมตอบไปแบบตัดบทเพราะผมไม่ได้อยากจะสนใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

“ไอ้น้ำเองไม่คิดอะไรกับเรื่องนี้เลยหรอวะ ข้าว่ามันแปลกๆนะปกติข้าไม่เคยเห็นเฟิร์นคุยกับผู้ชายคนไหนเลยนะเว้ย” ต่อพูดขึ้นโดยที่สายตาจับจ้องไปทางหน้ารถซึ่งคนที่ต่อกำลังพูดถึงนั่งอยู่

“แปลกหรอก็ปกตินิ เวลาเค้าคุยกับผู้ชายเค้าคงไม่มานั่งคุยให้เองเห็นหรอกไอ้ต่อ” พูดเสร็จผมก็หันมองไปนอกหน้าต่างแล้วก็เลิกสนใจเพื่อนผมไป

“นี่เองจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้หรอไอ้น้ำ”

“นี่ต่อถ้ามึงว่างมากก็เล่นเกมหรือแชตกับสาวไปดีกว่าหยุดพูดถึงเฟิร์นเถอะ”

“หลบหน่อยไอ้ต่อนั่งขวางทางชาวบ้านเค้าเนี่ย”

“อ้าวไอ้พลอยมึงกะทำตัวผอมๆหน่อยสิจะได้เดินผ่านไปได้ คนอื่นเค้ากะเดินกันไปได้อยู่ไม่เห็นมีปัญหาอะไร”

“กะแล้วทำไมมึงไม่นั่งให้เหมือนชาวบ้านเค้าละไอ้ห่าต่อ”

“เสียงดังโวยวายอะไรกันข้างหลังรถหน่ะ” เสียงครูปราณีดังขึ้นมาถูกจังหวะพอดีในขณะที่ต่อกับพลอยคู่กันประจำห้องกำลังจะประคารมจะเลยเถิดกันไปกว่านี้จากนั้นพลอยก็เดินกลับไปนั่งที่ด้านหน้ารถ

“เองว่าไอ้พลอยมันตั้งใจกวนข้าป่ะวะ” ต่อกระซิบขึ้นหลังจากที่พลอยเดินกลับไปแล้ว

“มึงกะเพลาๆมั่งชอบไปทะเลาะจังเลยกับผู้หญิงเนี่ย”

“ก็ดูมันดิ่......”ต่อยังคงบ่นของมันไปเรื่อยส่วนผมก็พยายามที่จะเลิกสนใจเสียงของเพื่อนจอมวุ่นของผมไปหันไปจับจ้องกับวิวข้างทางแทนจากทิวทัศน์ท้องนาสีเขียวขจี เริ่มแปลเปลี่ยนกลายเป็นป่ารกทึบขั้นเรื่อย รถบัสที่ทางโรงเรียนจ้างมาบัดนี้กำลังนำพาพวกเรา ขึ้นสู่ขุนเขาจุดหมายที่ทางโรงเรียนจะพาพวกเรามาทัศนศึกษาในปีนี้ ผ่านมาได้ระยะนึงผมก็มารู้ตัวว่าตอนนี้ได้ขึ้นมาอยู่บนเขาเรียบร้อยแล้วสองข้างทางกลายเป็นหน้าผาชันที่มองลงไปทีไรก็อดคิดไปไกลไม่ได้เลย มองไกลออกไปเป็นภาพเทือกเขาสลับซับซ้อนตระหง่านเรียงรายตั้งทะมึนอยู่นับลูกไม่ถ้วน มันทั้งสวยงามและดูน่ากลัวยังไงชอบกล

“อีก 10 นาทีเราจะถึงที่หมายนักเรียนทุกคนตรวจดูสิ่งของที่นำขึ้นมาในรถกันด้วยนะ”เสียงครูปราณี ที่เป็นคนคุมรถคันที่ผมนั่งพูดขึ้น

หลังจากนั้นรถที่เงียบเหงา ก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ เริ่มมีการพูดคุยหยอกล้อกันเสียงดังหลังจากที่ก่อนหน้านี้ คนส่วนใหญ่หลับกันมาเกือบตลอดทาง อีกอึดใจต่อมารถก็มาถึงสถานที่ ที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ มันเป็นอุทยานแห่งหนึ่งที่นี่มีลานกางเต็นท์ที่กว้างขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอลเล็กน้อย ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ทำการของอุทยานซึ่งเป็นอาหารปูนหลังไม่ใหญ่มากหนึ่งหลังถัดออกไปด้านหลังเป็นบ้านไม้ที่พวกเจ้าหน้าที่ใช้พักลักษณะเป็นบ้านยกสูงมีอยู่ประมาณ 6 ห้องเลยไปอีกหน่อยเป็นห้องน้ำซึ่งมองจากสายตาน่าจะมีอยู่ประมาณฝั่งละ 4 ห้องแยกชายหญิงเลยจากนั้นไปก็คือต้นไม้เตี้ยๆขึ้นกระจายอยู่รกพอสมควร

“เก็บสัมภาระแล้วลงไปรวมกันที่ลานข้างล่างนะ” ครูปราณีพูดมาจากหน้ารถ

“อื้อๆๆๆๆ ถึงซักทีนั่งจนเมื่อยตัวหมดแล้ว”เสียงเพื่อนผมพูดไปบิดขี้เกียจไปอยู่ข้างๆ ก่อนที่เราจะทยอยเดินลงจากรถกันไปที่ลานกางเต็นท์เรามาถึงกันช่วงสิบโมงครึ่ง ซึ่งก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าๆจากโรงเรียนมาถึงที่นี่

“เอ้า นักเรียนทุกคนฟัง เก็บสัมภาระไว้ให้เป็นที่แล้วไปรับข้าวกล่องได้ที่โต๊ะที่ทางครูปราณีเตรียมรออยู่นะอย่ามั่วแต่เล่นกัน กินเสร็จแล้วช่วงบ่ายเราจะมาจับฉลากแบ่งกลุ่มกัน”ครูสุธี เจ้าเก่าพยายามจะตะโกนแข่งกับเสียงของนักเรียนเหมือนเดิม

“กะเพรา ไม่ได้ไม่ดีก็กะเพรา” ต่อพูดแบบประชดประชันขึ้นมา

“เอาน่ากินๆไปเถอะอย่าเรื่องมาก”

 “ไอ้น้ำ เห็นไอ้คนนั้นไหม”ต่อพูดขึ้นมาทั้งๆที่ข้าวยังเต็มปาก

“ไหนใครวะ” ผมพยายามมองตามสายตาของเพื่อนไป

“นั้นไง ไอ้หัวสกินเฮด ตรงต้นไม้นั้นหน่ะ” ต่อพยายามชี้ให้ดู

“ทำไม มันคือใครวะ” ผมถามอย่างสงสัย

“นั้นไอ้จ๊อด ม.5/2 บอกตรงนี้เลยใครก็ได้ที่จะอยู่กลุ่มเดียวกับข้า ยกเว้นมัน”ต่อพูดพร้อมกับเคี้ยวข้าวคำโตอยู่ในปาก

“มันไปทำอะไรให้เองล่ะ” ผมถามต่อกลับไป

“ตอนนี้มันยังไม่ได้ทำอะไรให้หรอก แต่ไอ้คนนี้มันกวนชิบบอกเลยถ้าอยู่กลุ่มเดียวกับข้านะมีเรื่องกันแน่ๆ” ต่อพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นมา

“ใจเองนี่จะมีเรื่องกับทุกคนเลยหรือไงวะ เอ้ารีบกินจะได้ไปรวมกันกับคนอื่นเค้า”ผมพูดตัดบทไป

บ่ายโมงตรงหลังจากที่นักเรียนทุกคนทานข้าวและพักกลางวันกันมาได้พักนึงแล้ว ครูสุธีก็ส่งเสียงเรียกให้นักเรียนทุกคนมานั่งเข้าแถวกันที่ลานโล่ง ข้างหน้าแถวมีโต๊ะพับตั้งอยู่บนโต๊ะมีโหลอยู่หกใบแบ่งแยกระดับชั้นเรียนไป ด้านในโหลเป็นรายชื่อของนักเรียนของแต่ล่ะระดับชั้นนั้นอยู่ภายใน

“เอ้า นักเรียนเดี๋ยวเราจะแบ่งกลุ่มออกมาเป็นกลุ่มล่ะ 7 คนนะโดยที่ครูจะจับฉลากเลือกหัวหน้ากลุ่มขึ้นมาแล้วหลังจากนั้นก็จะให้หัวหน้ากลุ่มจับฉลากเลือกลูกทีมมาโหลละ 1 คนแล้วหลังจากนั้นให้ไปนั่งรวมกันกลุ่มใครกลุ่ม

มันนะ” ครูสุธี พูดอธิบายแล้วก็จับฉลากเลือกหัวหน้าทีมคนแรกขึ้นมา ผ่านไปแล้ว 6 กลุ่มยังไม่มีใครจับชื่อผมหรือชื่อเพื่อนผมขึ้นมาได้ จนมาถึงกลุ่มที่ 7 สิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้น

“ต่อไปหัวหน้ากลุ่มที่ 7 น้ำ ม.6/2 เอ้าลุกขึ้นมาเลย” ครูสุธี พูดขึ้นพร้อมกับกวักมือเรียกผมให้ออกไปข้างหน้า

หัวหน้ากลุ่มใครมันจะไปอยากเป็น ผมนั่งคิดมาแต่แรกแล้วว่าจะอยู่กลุ่มไหนก็ได้แต่ขออย่างเดียวเลยไม่อยากเป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับผมอีกแล้ว ครูสุธีจับได้ชื่อผมและผมก็ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มที่ 7 ไปอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้

“จับโหลแรกเลยน้ำ จับแล้วพูดชื่อดังๆเลยนะลูก” ครูสุธีอธิบาย

ผมเอามือล้วงลงไปในโหลใบแรกความรู้สึกเหมือนกำลังจะจับใบดำใบแดงยังไงยังงั้นเลย พอมองไปข้างหน้าก็เห็นพวกนักเรียนที่ยังไม่ได้ถูกเลือกต่างพากันพูดคุยลุ้นชื่อตัวเองกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงพออยู่ต่อหน้าคนเยอะๆมันทำให้ผมรู้ประหม่าขึ้นมาทันที

“น้องต๊อก ม.1/3” คนแรกที่ผมจับได้ผมพูดไปด้วยอาการตื่นเต้นนิดหน่อย หลังจากนั้นผมก็จับต่อไปเรื่อยๆอีก 4 โหล “เบลล์ ม.2/2” “สอง ม.3/3” “โดม ม.4/1” “จ๊อด ม.5/2”

สำหรับ 5 คนก่อนหน้านี้ผมว่าก็ไม่ได้แย่นะที่จับเลือกได้มาจนมาสะดุดอยู่ที่โหลสุดท้ายนี่ล่ะครับ

“คนสุดท้ายกลุ่ม 7 ชื่ออะไรน้ำพูดสิ อ่านไม่ออกหรือยังไง” ครูสุธี พยายามพูดเร่งเพราะผมเกิดอาการพูดไม่ออกขึ้นมาทันทีพอเห็นชื่อในกระดาษของโหลสุดท้ายที่จับขึ้นมาได้

“บะ บ๊ะ ใบเฟิร์น ม.6/1 ครับ” ผมพูดบอกไปแบบตะกุกตะกัก

“กลุ่มที่ 7 คนครบแล้วตามหัวหน้าไปนั่งต่อแถวกันตรงโน้นนะ” ครูสุธี พูดพร้อมชี้ไปให้ดูจุดที่แกบอก

ผมเดินนำคนในกลุ่มไปนั่งข้างๆกับกลุ่มก่อนหน้านี้ พอนั่งลงเสร็จผมก็หันไปมองดูลูกกลุ่มผมอย่างสังเกตทีละคน คนที่นั่งอยู่ข้างหลังผม “น้องต๊อก” เด็กที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มหน้าน้องเค้าตี๋ตัวขาวใส่แว่น ดูผ่านๆก็พอจะเดาออกว่าน้องเชื้อสายจีนแน่ กำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่อย่างไม่สนใจโลก คนถัดไป “เบลล์” สาวน้อยผมติ่ง ปากแดง พูดจาฉะฉานกำลังคุยกันอยู่กับ “สอง” หนุ่มน้อยตัวเล็กที่ถ้าไม่บอกผมคงมองไม่ออกหรอกว่าอยู่ม.3 แล้วเพราะตัวไม่ได้ต่างจากต๊อกวักเท่าไหร่ ทั้งคู่นั่งคุยกันอย่างสนิทสนมคงจะรู้จักกันมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว คนต่อไป “โดม” หนุ่มเจ้าเนื้อหรือจะเรียกว่าอ้วนก็ดูจะไม่เกินไปนัก โดมเป็นคนตัวใหญ่ผิวคล้ำกำลังนั่งหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาใครซักคนอยู่ หลังโดมไปคือ “จ๊อด” ตัวแสบประจำโรงเรียนที่เพื่อนผมเคยบอกไว้ ถ้าถามว่าทำไมผมไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้เรื่องราววีรกรรมของจ๊อด ก็เพราะว่าจ๊อดพึ่งจะย้ายเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนี้ตอน ม.5 นี่เอง ด้วยนิสัยผมที่ไม่ค่อยสนโลกอยู่แล้วเลยไม่ได้สนใจว่าใครจะเข้ามาใหม่หรือเป็นยังไงสักเท่าไหร่ เท่าที่ฟังจากเพื่อนผมถึงความแสบของจ๊อด มามองดูจริงๆผมแอบคิดว่าคงจะไม่มีอะไรหรอกมั้งไอ้ต่อเพื่อนผมมันชอบพูดเกินจริงอยู่ด้วย ในขณะที่ผมกำลังมองคนในกลุ่มอยู่ทีล่ะคน ผมก็ต้องรีบหันกลับมาอย่างไวเมื่อเห็นสายตาคู่หนึ่งหันมาประสานสบเข้ากับตาผมพอดี ผมรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมากว่าปกติ ถึงมันจะไม่ได้เต้นตูมตาม แต่มันก็แรงพอจะทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่านี่เราเป็นอะไรทำไมทุกทีที่เห็นสายตาคู่นี้ทีไรจะต้องมีอาการแปลกๆทุกที ใช่แล้วครับสายตาที่เห็นเมื่อครู่นี้เป็นของใบเฟิร์น สาวห้อง1 ที่ทั้งเรียนดี กีฬาเด่น ที่สำคัญเธอสวยระดับตัวท็อปของโรงเรียนเลยทีเดียว

“ตอนนี้แบ่งกลุ่มกันเสร็จหมดแล้ว เดี๋ยวนักเรียนทุกคนลุกไปหยิบกระเป๋าสัมภาระแล้วเดินตามครูไปที่เต็นท์นะ” ครูสมพรพูดขึ้นหลังจากการจับสลากของกลุ่มสุดท้ายเสร็จสิ้น

ผมลุกขึ้นไปหยิบประเป๋าแล้วเดินไปที่เต็นท์ที่ห้องผมจะนอนกันตลอด 2 คืนนี้โดยทางโรงเรียนแบ่งเต็นท์เป็นสองฝั่งแยกชายหญิงชัดเจน ให้นักเรียนนอนตามห้องเรียนใครห้องเรียนมัน โดยที่เต็นท์ของม.1 จะอยู่ด้านหน้าสุด เกือบจะติดริมถนนเต็นท์ถูกกางเรียงตามแนวต่อถอยหลังกันไปเรื่อยจน

มาถึง 2 หลังสุดท้ายซึ่งอยู่เกือบจะปลายสุดของลานกางเต็นท์คือเต็นท์ของห้องผมกับห้อง 3 ที่จะต้องนอนกันในสองคืนนี้ถัดออกไปด้านหลังประมาณ 15 เมตรเป็นแนวต้นสักที่กำลังผลัดใบทิ้งให้เกลื่อนบนพื้นเต็มไปหมด เลยแนวต้นสักที่ทางอุทยานปลูกไว้เป็นสุมทุมพุ่มไม้ต้นหญ้าขึ้นรกชัฏจนมองไม่เห็นอะไรไกลออกไปได้กว่านั้นอีก ฉาบหลังด้วยยอดเขา 2 ลูกที่โดดเด่นขึ้นมากว่าทิวเขาอื่นๆดูสะดุดตาดีถ้ามองจากมุมนี้ เนื่องด้วยจำนวนนักเรียนผู้ชายที่มีมากกว่าผู้หญิงมันเลยทำให้เต็นท์ห้องผมอยู่ท้ายสุดเลย หลังจากมาถึงเต็นท์ทุกคนก็จัดแจงเลือกมุมนอนของตัวเองคนที่เรื่องมากก็โวยวายว่าข้าจะเอามุมนี้ข้าจะเอามุมนั้นส่วนคนที่อะไรก็ได้แบบผมก็ปล่อยให้เพื่อนเลือกให้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยไปตรงที่ว่าง สุดท้ายผมได้ที่ทางฝั่งซ้ายถ้าหันหน้าเข้าหาเต็นท์ลำดับที่ 2 ถ้านับจากในสุด คนที่เลือกจะนอนอยู่ริมสุดถัดจากผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับไอ้ต่อเกลอผมเอง เต็นท์ที่ทางอุทยานเตรียมไว้ให้เป็นเต็นท์ทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่นอนได้ 10 คนซึ่งก็ถือว่าไม่เบียดกันมาก ตัวเต็นท์สีน้ำเงินเข้มทำให้ภายในเต็นท์ไม่สว่างมากผิดกับแดดยามบ่ายข้างนอกที่ร้อนแรงจนทำให้เต็นท์ตอนนี้กลายเป็นตู้อบซาวหน้าไปซะแล้ว หลังจากที่ผมเก็บสัมภาระเสร็จก็เป็นเวลาบ่าย 3 โมงเย็นพอดี ทางโรงเรียนนั้นให้นักเรียนพักผ่อนกันจนถึง 6 โมงเย็นหลังจากนั้นก็จะมีกิจกรรมรอบกองไฟช่วงประมาณ 1 ทุ่มหลังจากออกจากเต็นท์มาผมกับต่อก็ชวนกันเดินไปนั่งเล่นที่ริมลำธารที่อยู่ด้านหลังที่ทำการอุทยาน เพื่อหนีแดดยามบ่ายที่กำลังสาดส่องใส่ตรงที่เต็นท์ตั้งอยู่พอดีตอนนี้

“ดวงดีจังเลยนะ ได้ไอ้จ๊อดเป็นลูกกลุ่มซะด้วย” ต่อพูดขึ้นมาในขณะที่เรากำลังเดินไปนั่งที่ใต้ต้นกระบากใหญ่ริมลำธาร

“ไอ้จ๊อดไม่เท่าไหร่หรอกแต่อีกคนนึงนี่สิ” ผมพูดพร้อมกับถอนหายใจ

“ใครเฟิร์นหรอ อะไรกันได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับแฟนเก่าแค่นี้เองถึงกับทำหน้าเครียดขนาดนั้นเลยหรอวะ” ต่อพูดพร้อมกับเอามือมาตบที่ไหล่ผม

“ไม่รู้สิ ข้ารู้สึกไม่ค่อยโอเคเลย” ผมพูดโดยที่สายตากำลังมองลงไปยังลำธารที่พวกเราพึ่งเดินมาถึง

“หรือว่าเองยังทำใจไม่ได้ กลัวถ่านไฟเก่าจะกลับมาติดหรอวะ” ต่อพูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมา

“ถ่านอะไรมันไม่ติดหรอกเพื่อน ที่ข้าลำบากใจคือตั้งแต่ที่ทะเลาะกันตอนนั้น ข้าก็ไม่เคยได้คุยกับเฟิร์นอีกเลยนะ ข้าไม่รู้ว่าเฟิร์นยังโกรธข้าอยู่ไหมมันลำบากใจนี่ต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกันอีกสองวันข้าจะทำตัวยังไงวะ” ผมพูดทั้งที่ตายังเหม่อมองน้ำในลำธารอยู่

“เองอย่าคิดไปไกลเลยน้ำ ข้าว่าเฟิร์นเค้าคงไม่ได้โกรธเองแล้วล่ะ ลำบากใจก็ทนเอาหน่อยอีกสองวันก็ได้กลับแล้ว” เสียงต่อพูดมาโดยที่มือนั้นถือพัดลมแบบพกพาเป่าหน้าตัวเองอยู่ ในขณะที่ผมกำลังมองตามดูลูกกระบากที่กำลังค่อยๆหล่นมาจากต้นอยู่นั้น สายตาผมก็จับไปเห็นใครซักคนหนึ่งกำลังเดินย้อนผ่านโขดหินขึ้นไปทางต้นลำธารถึงจะไกลซักหน่อย แต่ผมว่าผมมองไม่ผิดแน่ นั้นโดมที่อยู่กลุ่มเดียวกับผมกำลังจะเดินหายไปบนเนินเขาคนเดียว

“ไอ้ต่อเห็นทางโน้นไหม” ผมสะกิดเรียกเพื่อนผมที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่

“เห็นอะไรวะ ไม่เห็นมีอะไรเลย”

“นั้นไง ทางนั้นที่คนกำลังเดินขึ้นไปข้างบนนั้น”

“เออเห็นทำไม เองให้ข้าดูทำไม” ต่อถามอย่างสงสัย

 “นั้นโดมน้องกลุ่มเดียวกับข้า ทางนั้นมันจะเดินขึ้นไปในป่าแล้ว เองว่ามันจะเดินไปไหนวะ”

“คงจะเดินไปปลดทุกข์ละม้างไม่มีอะไรหรอก” ต่อพูดแล้วก็กดโทรศัพท์เล่นตามเดิม

“เดินตามไปดูกันหน่อยดีกว่า” ว่าแล้วผมก็ลุกเดินตามทางที่โดมเดินขึ้นไปแบบห่างๆ โดยที่เพื่อนผมต้องจาใจเดินตามมา เดินมาได้สักระยะผมก็เห็นโดมยืนนิ่งอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งห่างออกไปประมาณ 10 เมตรผมยืนมองอยู่สักพักก็ยังเห็นโดมยืนจ้องนิ่งอยู่ที่ต้นไม้ไม่ขยับไปไหน

“มันกำลังดูอะไรของมันอยู่ เห็นยืนมองตั้งนานแล้วเดินไปดูใกล้ๆกันดีกว่า” ยังไม่ทันจะห้ามอะไร เพื่อนผมก็เดินนำผมออกไปตรงที่โดมยืนอยู่ พวกผมเดินใกล้เข้าไปแต่โดมก็ยังไม่ได้หันมามองหรือสนใจพวกผม ยังคงมองนิ่งไปบนยอดต้นไม้อยู่อย่างเดิมจนเพื่อนผมต้องเอ่ยถามขึ้น

“กำลังมองอะไรอยู่หรอพ่อหนุ่ม” ผ่านไปครู่ใหญ่ไม่มีเสียงตอบกลับมาจนผมกับเพื่อนหันมามองหน้ากันแล้วเสียงทุ้มใหญ่ก็ค่อยๆดึงขึ้นมา

“ผู้หญิงครับพี่ ผมเดินตามผู้หญิงคนหนึ่งมา” สิ้นเสียงพูดที่ตอบพวกผมมาเพื่อนผมก็ถามกลับไปทันที “ผู้หญิงที่ไหน พี่ก็เห็นว่าเราเดินมาคนเดียว”

“ผมเห็นจริงๆครับพี่ นั้นไงพี่เธอนั่งอยู่บนยอดต้นไม้นั่นไง”โดมตอบกลับมาเสียงหนักแน่นแล้วก็เงยหน้าขึ้นไปมองที่ยอดไม้ซึ่งมีไม้กิ่งใหญ่ที่คนสามารถขึ้นไปนั่งอยู่ได้อยู่ด้านบน

“ไหนไม่เห็นมีอะไรเลย พี่ว่าเราน่าจะตาฟาดหรือไม่เค้าก็เดินไปทางอื่นแล้วแหละ” ต่อพูดตอบกลับไปแล้วแหงนขึ้นไปมองบนยอดไม้ตามโดม บรรยากาศยามโพล้เพล้ในป่ามันช่างต่างจากในเมืองลิบลับเลย ลมที่พัดผ่านมาทำให้ต้นไม้สั่นไหวดูแล้ววังเวงอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ว่าพวกเรากลับเต็นท์กันดีกว่าจะหกโมงแล้วต้องไปเตรียมตัวทำกิจกรรมกันอีก”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละไอ้น้ำ บรรยากาศมันไม่ชอบมาพากลยังไงพิลึกรีบกลับกันดีกว่า”

“ไปเถอะโดมจะค่ำแล้ว”ผมพูดบอกโดมอีกครั้งแล้วเราสามคนก็พากันเดินกลับเต็นท์โดยที่โดมยังคงหันมองกลับไปดูทางต้นไม้นั้นอยู่อีกหลายรอบ ถึงเต็นท์พวกเราก็แยกย้ายไปอาบน้ำแต่งตัวทานข้าวรอไปรวมกันที่ลานกิจกรรมช่วงหนึ่งทุ่ม

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ แวแววู

สำหรับคนที่ชื่นชอบในนิยายเรื่องนี้ตอนที่ 3 จะมาตามมาให้เร็วที่สุดนะครับขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.