STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 45 ยังก่อน
พาซี่ที่ได้รับภารกิจใหญ่ต้องเดินทางไปยังอาณาจักรอาฟ
“สอดส่องและสืบข้อมูลของเมืองเอลโฟเรีย ก็แค่ปลอมตัวมาสืบข้อมูลไม่เห็นต้องเป็นเราเลยนี่” พาซี่นอนอยู่บนต้นไม้คิดถึงเตียงนุ่ม ๆ ที่สำนัก
พาซี่ปลอมตัวเป็นชายวัยกลางคนผมดกดำแทรกซึมเข้ามาในเมืองเอลโฟเรียที่เป็นเมืองของพวกเอลฟ์ผิวขาว วันแรกเขาก็แค่หาที่พักและเปิดร้านขายของเก่าเพื่อปลอมตัวว่าเป็นพ่อค้าพเนจร
“น่าเบื่อ ๆ” พาซี่เอนหลังนอนบนเก้าอี้แทนที่จะเรียกลูกค้าเหมือนร้านอื่น ๆ
ผู้คนเดินผ่านไปมาไม่มีใครสนใจพ่อค้าที่ไม่สนใจลูกค้าแต่ก็เข้าทางพาซี่เพราะจะได้นอนสบาย ๆ ไม่ต้องทำอะไร
“โห่ มีของแปลก ๆ เยอะเลยว่ะ” จังหวะที่คนกำลังพลุกพล่านก็มีกลุ่มเอลฟ์วัยรุ่นเดินเข้ามาดูของ พวกเขาเห็นว่าพ่อค้าหลับก็เลยหยิบของดูกันสนุกสนานและยังแอบขโมยไปด้วย
“พวกนายทำบ้าอะไรวะ !” ทันใดนั้นก็มีเสียงของเด็กหนุ่มดังมาจากด้านหลัง
ด้วยความตกใจพวกเอลฟ์วัยรุ่นจึงรีบคืนของและพากันวิ่งหนีหายไปทันที
“เหอะ เพราะแบบนี้ไงนักท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยอยากมา” เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาดูของเก่าแล้วเหลือบมองพ่อค้าที่หลับตานอนไม่สนที่จะขายของเลยแม้แต่นิดเดียว
“นี่ ! เป็นพ่อค้าแต่ไม่คิดจะขายของเลยเหรอ?”
พาซี่ไม่สนใจเสียงเรียกของลูกค้าทำเพียงแค่สะบัดมือไล่เสียอย่างนั้น
“ถ้าไม่อยากขายก็ออกไป เกะกะขวางทางคนอื่นที่อยากได้ที่ขาย”
“น่ารำคาญจริง ๆ จะขายได้หรือไม่ได้ฉันก็จ่ายค่าที่ไปแล้วไง แล้วนายที่เป็นองค์ชายของเผ่าเอลฟ์มาทำอะไรตามตลาดตัวคนเดียวล่ะ?” พาซี่ถอนหายใจแสดงความหงุดหงิดแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาแข็งกร้าวขององค์ชายแห่งเผ่าเอลฟ์
“ทำไมจะมาเดินตลาดไม่ได้ ข้าก็แค่ออกมาหาวัตถุดิบไปทำอาหาร แล้วก็ช่วยเรียกชื่อแทนคำว่าองค์ชายจะได้ไหม? ได้ยินแล้วมันหงุดหงิด”
“ก็ได้ ๆ คุณชายยูกิ เอลโฟเรีย”
“อันนี้คือตั้งใจกวนประสาทกันหรือยังไง? เรียกแค่ยูกิก็พอแล้วก็ขอซื้อหม้อใบนี้หน่อย รูปลักษณ์แปลกตาดีไปได้มันมาจากไหนล่ะ?”
“ฉันเอามาจากอาณาจักรคาแต่จริง ๆ มันก็หาได้ทั่ว ๆ ไป มันเป็นหม้อที่ทำจากสแตนเลสทำให้มีน้ำหนักเบาแล้วก็เป็นที่นิยมในอาณาจักรเซียด้วย”
“อืม ก็เบาจริงแฮะแต่ก็ดูบอบบางกว่าหม้อที่ข้าใช้เยอะเลย”
ยูกิหยิบโน้นจับนี่ไปทั่ว อะไรที่แปลกตาเขาก็จะซื้อกลับไปเหมือนเอาไปสะสมเล่น ๆ และระหว่างนั้นก็มีเสียงท้องร้องดังมาจากพาซี่
“ตาย ๆ ถึงเวลากินแล้วสินะ” พาซี่ควักเอาขนมปังแข็ง ๆ ในกระเป๋าออกมากินเหมือนพอให้ประทังชีวิตได้แค่นั้น
“ไอ้ของแบบนั้นมันอร่อยเหรอ?” ยูกินั่งมองขนมปังแข็ง ๆ แห้ง ๆ ที่ทำเพื่อให้เก็บได้นานพลางคิดว่าตนเองเป็นคนกินแทน เขารู้สึกได้ถึงความคอแห้งและเวทนาที่ต้องทนกินของพรรค์นั้น
“ไม่หาอย่างอื่นเหรอ? แถวนี้ก็มีอาหารขายเยอะแยะแท้ ๆ”
“ขี้เกียจไปหาของกิน กินแค่นี้ก็ไม่ตายแล้ว” หลังจากกินเสร็จพาซี่ก็เอนหลังนอนต่อปล่อยให้ยูกิเลือกของและคิดเงินด้วยตัวเอง
พอยูกิกลับไปก็ไม่มีลูกค้าคนไหนมาซื้อของอีกเลยจนกระทั่งฟ้ามืด ร้านค้ารอบ ๆ เริ่มเก็บร้านแยกย้ายกันไปเหลือแค่พาซี่ที่นอนมองพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็เผลอหลับต่ออีกหลายชั่วโมง
“อะไรของลุงเนี่ย? คิดว่ามาเที่ยวหรือยังไงถึงเอาแต่นอนไม่สนใจร้านตัวเองเลย” ยูกิกลับมาที่ร้านอีกครั้ง เขาถอนหายใจแล้วพยายามปลุกพาซี่ให้ตื่นจากการหลับใหล
“คิดว่าใคร ที่แท้ก็เจ้าหนูยูกินี่เอง” พาซี่บิดตัวยืดเส้นยืดสายแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
“อย่ามาเรียกเจ้าหนูนะ เรียกแค่ยูกิเข้าใจไหมลุง !”
“หนวกหูจริง ๆ แล้วนี่มาทำอะไรที่ตลาดอีกล่ะ ไม่ใช่ว่าเวลานี้เด็ก ๆ ควรนอนแล้วเหรอ?”
“ก็แค่สงสัยว่าลุงจะยังหลับอยู่ไหม พอมาดูก็หลับอยู่เหมือนที่คิดเลย” พูดจบยูกิก็ยื่นขนมปังนุ่ม ๆ สอดไส้ไก่อบซอสให้ “กินของดี ๆ บ้างนะลุง เดี๋ยวจะเสียดายที่ได้เกิดมา”
“โอ้ คุณชายแห่งเผ่าเอลฟ์เอาอาหารมาให้ด้วยแฮะ งั้นฉันจะให้ของดี ๆ บ้างแล้วกัน” พาซี่ค้นของในเป้เก็บของและหยิบเอาดาบแปลก ๆ ออกมา
“อะไรล่ะเนี่ย? ขายอาวุธด้วยเหรอลุง?”
“ก็ขายมันทุกอย่างนั่นแหละ แล้วก็...นายช่วยเรียกฉันแค่พี่ก็พอ เรียกลุงมันดูแก่ไปหน่อย”
“พี่ก็พี่ แล้วดาบนี่มันมีอะไรพิเศษไหม?” ยูกิรับดาบหนัก ๆ นั้นไปแล้วลองเหวี่ยงดู
“มัน...ตวัดแล้วภาวนาด้วยแรงใจอันแข็งแกร่งก็จะทำลายเมืองได้ทั้งเมือง แต่มันใช้ได้ครั้งเดียวนะแล้วก็ก่อนจะใช้ต้องมาบอกฉันก่อน”
“เงื่อนไขอะไรวะนั่น แน่ใจใช่ไหมว่ามันใช้ได้?”
“แน่นอน” พาซี่ยิ้มยียวนเหมือนได้แกล้งน้องชายจริง ๆ
“งั้นก็ขอรับไว้แล้วกัน อืม...พี่รู้จักข้าอยู่แล้ว แล้วพี่ชายล่ะชื่ออะไร?”
“ไม่มีชื่อหรอก เรียกแค่พี่เฉย ๆ นั่นแหละ”
..................................................................................
“โธ่ พี่ก็พี่ งั้นวันนี้ข้ากลับแล้วนะ”
พาซี่โบกมือลาพร้อมกับยิ้มพึงพอใจเหมือนได้ผ่อนคลายไปด้วย จากนั้นเขาก็เก็บของเข้าที่พักเพื่อกลับไปนอนต่ออีกแล้ว
วันต่อมาเขาก็ออกมาตั้งร้านขายเหมือนอย่างเคยแต่ก็ไร้วี่แววลูกค้าอีกแล้ว จนกระทั่งตอนบ่ายมีคู่รักคู่หนึ่งเดินมาเลือกซื้อของแต่พาซี่ก็ยังเอนหลังนอนอยู่อย่างนั้น
“ช่วงนี้น้ำไม่ค่อยไหล สงสัยจะมีหนูลงไปติดท่อ”
พอชายคนนั้นพูดพาซี่ก็ลุกขึ้นมาขายของทันที
“ปวดหลังปวดข้อไปหาหมอหมาไม่หาย”
“สงสัยหนูจะไม่ชอบหมาก็เลยจมน้ำตาย” ชายหญิงคู่นั้นเลือกของที่ต้องการแล้วยื่นเงินจ่ายเหมือนลูกค้าทั่ว ๆ ไป
แป๊บเดียวคำสั่งใหม่ก็มาแล้วแฮะ พาซี่แงะเหรียญที่ลูกค้าจ่ายมาเพื่ออ่านคำสั่งของภารกิจ
องค์ชายคากิต้องการจ้างให้จัดฉากให้เอลฟ์ทั้งสองเผ่าทำสงครามกัน ขอยาพิษที่ทำให้ตายช้า ๆ และจับได้ยากเพื่อนำไปเป็นของขวัญแก่ราชาเผ่าดาร์คเอลฟ์
“ว่าไงพี่ชาย วันนี้ขายได้บ้างหรือยัง?” ยูกิเดินเข้ามาทักทายพอดีที่อ่านเสร็จ เขาชะเง้อคอมองดูพาซี่ด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ทันเห็นอะไร
“มาแล้วเหรอ วันนี้ซื้ออะไรดีล่ะยูกิ?”
“เอาอันนี้แล้วกัน มันคือนาฬิกาใช่ไหม?” คราวนี้ยูกิเลือกนาฬิกาที่ทำมาใหญ่ดูขัดหูขัดตาแต่ก็เหมาะกับการติดไว้ในห้องโถง
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบสุขจนกระทั่งราชาดากูลและราชาโอเกียได้นัดประชุมกัน ในวันนั้นแผนการของคากิก็ได้เริ่มต้นขึ้นโดยที่พาซี่ได้ตามเก็บข้อมูลกองกำลังทหารและส่งยาพิษให้คากิ
“เจ้าคือคนของสำนักมนตร์ดำสินะ” องค์ชายคากิยืนกอดอกแสดงความน่าเกรงขามให้รู้ว่าเป็นเจ้าชายของเผ่าเอลฟ์
“ใช่ครับ ผมคือคนจากสำนักมนตร์ดำที่มาส่งข่าวและยาพิษครับ” พาซี่ก้มหัวทักทายตามธรรมเนียม
“ดีมาก ทำงานไวสมกับเงินที่จ่ายไปจริง ๆ” คากิคว้าเอาเอกสารรายงานไปอ่านลวก ๆ เหมือนไม่อยากอ่าน
“เนื่องจากอีกฝ่ายคือราชาดากูลที่เป็นถึงผู้มีเลเวลเก้า การจะวางยาพิษเขาต้องทำในจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้นซึ่งเขามีโรคประจำตัวทำให้ช่วงนี้ต้องนอนพักฟื้นอยู่บ่อย ๆ และเรายังใช้อ้างเรื่องชะลอความแก่ทำให้ผิวเต่งตึงได้อีกด้วย ผมแนะนำให้ใช้จังหวะนั้นส่งไปให้...”
“รู้แล้วน่า คิดว่าข้าโง่ถึงขนาดนั้นต้องอธิบายทุกขั้นตอนเลยหรือยังไง? มีหน้าที่แค่เอาของมาเสร็จแล้วก็ไปรองานใหม่ซะ”
พาซี่เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “รับทราบครับ ผมจะรอภารกิจใหม่นะครับ”
พาซี่หายวับไปกับตาทำให้คากิสะดุ้งตกใจเพราะไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน
“เหนื่อยจริง ๆ อยากกลับไปนอนแล้ว” หลังจากออกมาจากวังของเอลฟ์ พาซี่ก็พรางตัวอยู่บนต้นไม้เพื่อสังเกตพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของกองทหาร
การเคลื่อนไหวโดยรวมอยู่ในระดับหละหลวม แม้แต่คนของดากูลที่มีฉายาเทพสงครามยังไม่ได้เรื่องเลย ถ้าหากเกิดการปะทะก็คงเป็นฝ่ายดากูลที่มีเทพสงครามอยู่เป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเขาตายชัยชนะก็จะเป็นของฝั่งโอเกีย
ที่ลานฝึกใกล้ ๆ จะเห็นยูกิกำลังเอาอาหารมื้อกลางวันไปแจกจ่ายให้ทหารด้วยท่าทางร่าเริง เนื่องจากเขาไม่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้หรือการบริหารเลยทำให้ไม่รู้ว่าตนเองต้องทำอะไร แต่สุดท้ายเขาก็ได้ค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบและพร้อมที่จะทำมันตลอดเวลาคือการทำอาหาร
“น่าสงสารจริง ๆ ที่พี่ชายของตัวเองกำลังจะทำให้บ้านแตก” พาซี่กระโดดลงจากต้นไม้แล้วกลับไปที่ร้านขายของอีกครั้งและสับเปลี่ยนกับร่างปลอมที่ทิ้งไว้ทันที
นานวันผ่านไปจนกระทั่งราชาดากูลล้มป่วยจึงเป็นการเริ่มดำเนินการ คากิได้ส่งของขวัญ สมุนไพร เครื่องดื่มและขนมไปเพื่อเป็นการแสดงความเป็นห่วงอีกทั้งยังกล่อมว่าเป็นยาดีช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วและยังชะลอความแก่ได้อีก
“ยังขายอยู่อีกเหรอ?” ขณะที่วังกำลังวุ่นวายยูกิกลับออกมาเดินเล่นข้างนอกไม่ได้สนใจเรื่องของตระกูลเลยแม้แต่น้อย
“ขายสิ ไม่ขายแล้วจะเอาอะไรกิน”
ยูกิขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบนั้น “ก็เห็นกินแต่ขนมปังแข็ง ๆ ราคาถูก แล้วเงินมันไปไหนหมดแล้วล่ะ?”
“เงินไม่ค่อยมีน่ะสิ วัน ๆ ขายได้แค่ชิ้นสองชิ้นเองมันจะไปพอยาไส้อะไรล่ะ”
ยูกิเอียงคอมองด้วยความสงสัยจากนั้นก็ซื้อของกลับไปเก็บเล่น ๆ อีกสองสามชิ้น และตอนเย็นเขาก็กลับมาพร้อมกับอาหารเหลือ ๆ ที่ทำให้พวกทหารกิน
“อย่างน้อยของพวกนี้ก็น่าจะอร่อยกว่าขนมปังแล้วกัน”
“โห่ ขอบคุณคุณยูกิจริง ๆ นาน ๆ ทีจะได้กินของดี ๆ กับเขาบ้าง ของพวกนี้นายทำเองใช่ไหม?” พาซี่หยิบอาหารขึ้นมากินและแสดงท่าทีเอร็ดอร่อยต่อหน้ายูกิทำให้เขายิ้มไม่หยุด
“แน่นอนอยู่แล้ว แม้ข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนท่านพ่อแต่ฝีมือการทำอาหารไม่มีใครในวังสู้ข้าได้เลยนะ”
“ครับ ๆ เถียงไม่ได้เลยเรื่องนี้ มันเป็นรสชาติที่สลักความตั้งใจไว้แม้จะไม่เห็นตอนทำ พรสวรรค์ด้านนี้ของนายมันสุดยอดจริง ๆ นะ” ระหว่างที่พูดชมเขาก็ยังกินไม่หยุดปาก
“กินช้า ๆ ก็ได้ไม่มีใครแย่งหรอก เอาไว้วันพรุ่งนี้ข้าจะเอามาให้อีก”
..............................................................................
แผนการของคากิยังคงดำเนินไปนานหลายเดือนเพื่อให้ฝั่งราชาดากูลไม่รู้สึกตัว ยาพิษที่ค่อย ๆ ทำลายปอดทำให้หายใจลำบากขึ้นและยังเนียนไปกับโรคชราและโรคทั่วไปของราชายิ่งจับได้ยากขึ้นอีก
ระหว่างนั้นพาซี่ก็ยังตั้งร้านขายของและรอรับคำสั่งใหม่ ไม่ใช่แค่นั้นเพราะหลาย ๆ ครั้งยูกิจะแบ่งอาหารที่ทำให้พวกทหารมาให้และยังซื้อของสะสมกลับไปเล่น ๆ ทุกครั้ง
และแล้วคำสั่งใหม่ก็มาถึง
ราชาดากูลตายแล้วและพวกดาร์คเอลฟ์ก็รู้ว่าเป็นฝีมือของฝั่งโอเกีย ตอนนี้ฝ่ายดากูลกำลังเคลื่อนทัพมาเพื่อเริ่มสงครามซึ่งคาดว่าจะถึงในวันพรุ่งนี้ คำสั่งจากผู้ว่าจ้างให้ใช้ช่วงเวลาชุลมุนเพื่อสังหารราชาโอเกียและภรรยาแล้วนำหัวไปให้เขาแบบลับ ๆ
“งานหลักมาสักทีสินะ องค์ชายคากิก็เจ้าเล่ห์จริง ๆ ที่คิดแผนนี้ขึ้นมาได้”
“คากิอะไรนะ?” ทันใดนั้นยูกิก็โผล่หัวออกมาจะเอาอาหารมาให้ตามปกติ
“ก็แค่บ่นไปเรื่อย รอบก่อนนายก็เล่าเรื่องพี่คากิให้ฟังนี่ แล้วช่วงนี้เขาเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“โห่ อย่าให้พูดเลย เจ้านั่นมันทำตัวอวดเบ่งเหมือนตัวเองเป็นราชาอย่างไรอย่างนั้นเลย แต่ช่วงนี้เห็นเข้าออกห้องของเสร็จพ่อบ่อย ๆ อาจจะเข้าไปประจบประแจงให้สละบัลลังก์ละมั้ง”
“แหม ดูเป็นคนน่าหมั่นไส้เนอะ”
“ใช่ ๆ น่าหมั่นไส้จนอยากไล่ออกจากวังเลย” ยูกิแกะห่อของกินแล้วนั่งกินกับพาซี่สองคนระหว่างที่พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน
ยูกิมักจะเล่าเรื่องในวังหรือจะบอกว่านินทาก็ได้ ส่วนพาซี่จะเล่าเรื่องโลกภายนอกให้ฟังเป็นการเปิดมุมมองของยูกิไปในตัว
“วันนี้ข้ากลับก่อนดีกว่า”
ยูกิหันหลังกำลังจะวิ่งกลับวังแต่พาซี่ก็ดึงแขนไว้ก่อน “พรุ่งนี้นายช่วยมาหาแต่เช้าเลยได้ไหม?”
“ได้สิ พรุ่งนี้เหมือนจะมีประชุมกันก็เลยว่าง ๆ อยู่แล้ว”
แม้พาซี่จะดูเป็นคนเย็นชาไม่ได้สนใจใครแต่กับยูกิและเอ็มเมลินนั้นไม่ใช่ เขามองเห็นคุณค่าที่คู่ควรที่จะทำงานด้วยกัน เอ็มเมลินที่มีความสามารถในการจัดการและเรียบเรียงงานทำให้พาซี่ทำงานได้ง่ายขึ้น ส่วนยูกิก็เป็นเสมือนผู้ช่วยที่ใช้อาหารทำให้ความเหนื่อยล้าหายไป
เช้าวันต่อมายูกิได้เดินทางมาหาพาซี่เหมือนที่นัดกันไว้
“ข้ามาแล้ว แล้วพี่มีอะไรถึงให้มาไวขนาดนี้ละ”
พาซี่โยนเบ็ดตกปลาให้ก่อนจะกล่าวต่อ “วันนี้ฉันจะพาไปตกปลา”
ยูกิที่ไม่เคยตกปลาจึงตอบตกลงทันทีและทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปยังดันเจี้ยนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร
“ไม่ใช่ว่าตกปลาก็ต้องไปที่ทะเลไม่ก็แม่น้ำเหรอ?” ยูกิเอ่ยถามหลังจากเดินทางมานานเป็นชั่วโมง
“นายนี่มันเชยจริง ๆ คนจริงเขาตกกันในดันเจี้ยนสิ” พาซี่พายูกิเดินลึกเข้าไปในดันเจี้ยนจนกระทั่งเจอกับทะเลที่อยู่ในดันเจี้ยนอีกที
“ข้างในมันกว้างใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ? มันไม่น่าเป็นไปได้แท้ ๆ แต่ก็ดูน่าสนุกดีนะ”
ยูกิที่ไม่ค่อยได้ออกจากอาณาเขตเมืองกำลังตื่นเต้นจนยิ้มไม่หุบ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยว่าที่แห่งนี้เป็นยังไงกันแน่
“ปกติในดันเจี้ยนต้องมีมอนสเตอร์ด้วยนี่ แต่ตั้งแต่เข้ามาข้าไม่เห็นสักตัวเลย”
พาซี่ยิ้มเยาะแล้วตอบกลับ “พวกมันคงกลัวฉันนี่แหละ เห็นอย่างนี้แต่ฉันเก่งสุด ๆ ไปเลยนะ”
ขณะที่ยูกิอยู่ที่ดันเจี้ยน ฝ่ายดากูลก็ได้ยกทัพมาถึงหน้าเมืองเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาเริ่มบุกเข้าเมืองและฆ่าล้างทุกคนที่เห็นไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยวหรือคนที่ทำมาค้าขาย
“มันหมายความว่ายังไงที่ว่าพวกเราเป็นคนฆ่าราชาดากูล” นากิและผู้อาวุโสรวมตัวกันประชุมด่วนขณะที่ข้างนอกกำลังเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือด
“พวกกระหม่อมก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่พวกดาร์คเอลฟ์ที่กำลังโกรธเกรี้ยวได้ตะเบ็งเสียงออกมาว่าเรามันฆาตกร บางทีอาจจะมีการเข้าใจผิดกัน...”
“กระหม่อมว่าพวกเราขอเจรจาสงบศึกชั่วคราวเพื่อสอบสวนหาข้อเท็จจริงเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าว
“อืม จัดการเลยเดี๋ยวข้าจะไปคุยกับเสด็จพ่อก่อน”
ทั่วทั้งเมืองตกอยู่ในความวุ่นวายและไม่นานพวกดาร์คเอลฟ์ก็ล้อมทั้งเมืองและวังไว้หมดแล้ว แต่ยังดีที่การเจรจาเป็นผลทำให้พวกเขาหยุดรอการสืบสวนสอบสวนก่อน
การสืบสวนหาข้อเท็จจริงดำเนินไปจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน
“นั่นมันเกิดเรื่องบ้าอะไรวะ !” ยูกิตกใจตะโกนลั่นแต่พาซี่ก็พาเขาซ่อนตัวก่อนที่ทหารของดาร์คเอลฟ์จะเห็น
“ตรงนั้นมันอันตราย แอบไว้ก่อนดีกว่า”
การปิดล้อมของทหารดากูลยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายวันซึ่งระหว่างนั้นยูกิก็ยังพยายามเข้าไปในวังเพื่อดูว่าครอบครัวของตนเองยังอยู่ดีหรือไม่
“ขอบใจที่ช่วย” ยูกิลอบเข้ามาในวังได้ด้วยความช่วยเหลือของพาซี่
เขาเข้าไปพบกับเสด็จพ่อเป็นอันดับแรกเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแต่หารู้ไม่ว่าพาซี่ก็ได้รู้ตำแหน่งของราชาและราชินีของเผ่าเอลฟ์เช่นกัน
.................................................................................
“มีคนของเราไปลอบปลงพระชนม์ราชาดากูลเหรอ? ใครเป็นคนสั่งหรือจะเป็นการใส่ร้ายป้ายสี” ราชาโอเกียนั่งกุมขมับเครียดจนใบหน้าซีดโทรม
“จากคำให้การของฝั่งดาร์คเอลฟ์ มีกลุ่มคนจู่โจมราชาดากูลในช่วงที่กำลังบรรทม ตอนแรกพวกเขาก็ไม่เชื่อนักแต่พอรวมกับเรื่องสมุนไพรที่ส่งไปทำให้พวกเขาคิดว่าเป็นแผนการทำให้ราชาดากูลอ่อนแอและทำให้โดนลอบสังหารได้ง่าย ๆ” นากิกล่าวตามรายงานที่รวบรวมมาได้
คากิทุบโต๊ะเสียงดัง “เจ้าพวกนั้นมันแค่อยากหาเรื่องยึดครองแผ่นดินของเราเท่านั้นแหละ ข้าจะส่งสมุนไพรพิษให้ทำไมเพราะถ้าเกิดสงครามข้าก็ซวยเหมือนกัน”
“เหอะ พี่คากินั่นแหละน่าสงสัยที่สุดแล้ว” ยูกิกล่าวพร้อมกับจ้องหน้าคากิเหมือนอยากกดดันให้ยอมรับ
“ข้าเหรอ ! ข้าที่เป็นผู้สืบทอดราชาต่อจากเสด็จพ่อจะหาเรื่องให้อาณาเขตตัวเองโดนยึดทำไม กลับกันแกนั่นแหละที่มีโอกาสทำเรื่องบัดซบพวกนี้ที่สุด”
“ไม่รู้สิ ถึงข้าจะไม่ชอบที่นี่แต่ข้าก็คงไม่สิ้นคิดถึงขนาดชักศึกเข้าบ้านหรอก”
“พอได้แล้วทั้งสองคน” ราชาโอเกียกล่าวขัดเพื่อหยุดการทะเลาะกันของสองพี่น้อง
พวกเขาพยายามปรับความเข้าใจกันโดยการส่งตัวแทนเพื่อคุยกัน แต่ต่อให้ฝั่งโอเกียปฏิเสธก็ไม่อาจลบความสงสัยไปได้ สุดท้ายฝั่งดาร์คเอลฟ์ก็เริ่มบุกเข้ามาอีกครั้งทำให้ราชาโอเกียไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้
“ลูก ๆ หนีไปด้านหลัง เดี๋ยวพวกทหารจะช่วยกันเปิดทางให้” แต่ถึงกระนั้นนากิกับคากิก็ยังดึงดันจะอยู่ช่วยให้ได้ส่วนยูกิที่ทำอะไรไม่ได้จึงเลือกที่จะหันหลังหนีไป
ยูกิเก็บข้าวของที่จำเป็นและยังพกดาบที่เคยได้จากพาซี่ไปด้วย พวกทหารช่วยกันฝ่าการปิดล้อมออกไปข้างนอกและหนีไปไกลเท่าที่จะทำได้จนฝั่งศัตรูเลิกตาม
หลายวันผ่านไป
“ท่านยูกิครับ !” หน่วยสอดแนมที่ออกไปดูสถานการณ์ที่เมืองกลับมาพร้อมกับข่าวร้าย
“องค์ราชากับองค์ราชินีทรงสิ้นพระชนม์แล้วครับ”
“มั่นใจใช่ไหมไม่ใช่แค่ฟังมา”
“ขอรับ ข้าเห็นพวกมันถือพระเศียรขององค์ราชามาด้วย ข้าคิดว่าพวกมันกำลังจะเดินทางกลับแล้วครับ”
ยูกินั่งนิ่งไปพักหนึ่งแล้วก็เหลือบไปเห็นพาซี่ที่กำลังจ้องมองมาพอดี
“พี่ !” ยูกิคว้าดาบและวิ่งตามพาซี่เหมือนเห็นความหวังเล็ก ๆ
“พี่เคยบอกใช่ไหมว่าดาบเล่มนี้มันแข็งแกร่งแต่ต้องมาขออนุญาตจากพี่ก่อน”
“อยากใช้แล้วเหรอ? เอาสิ นายอยากกวัดแกว่งดาบนั้นที่ไหนก็ทำซะตั้งแต่ตอนที่ยังทำได้ แต่ถ้าเจอพวกเก่ง ๆ พลังของดาบมันก็โดนป้องกันได้เหมือนกันนะ” พาซี่ยิ้มเลศนัยเหมือนรู้อยู่แล้วว่ายูกิต้องการอะไร
“อย่างน้อยก็ขอเอาคืนสักหน่อย ข้าจะไปที่เมืองของพวกมัน ตอนนี้ทหารออกมารบแสดงว่าที่เมืองไม่มีคนคุ้มกัน”
“ตามใจเลย ทหารของนายน่าจะรู้ตำแหน่งอยู่แล้ว ถ้าไปตอนนี้ก็น่าจะถึงก่อนพวกมันพอดี” พาซี่วางมือลงบนดาบเสมือนการปลดปล่อยพลัง จากนั้นเขาก็เดินจากไปทั้งอย่างนั้น
ยูกิและพรรคพวกที่เหลืออยู่มุ่งหน้าไปยังเมืองของพวกดาร์คเอลฟ์เพื่อเอาคืนสิ่งที่พวกนั้นทำบ้าง
“จะได้ผลจริงเหรอ?” ยูกิยกดาบขึ้นเหนือหัวพร้อมกับเพ่งรวมมานาไว้ พอรวบรวมมานาเสร็จเขาก็ฟาดดาบลงตรงหน้าทำให้เกิดพายุลูกใหญ่พุ่งผ่านเมืองและยังแบ่งออกเป็นสี่ลูก และยังปล่อยลูกไฟออกมารอบ ๆ ทำให้ทั้งเมืองพังเละเทะและโดนไฟไหม้ไปหมด
ยูกิกวาดสายตามองพลเรือนที่อาศัยอยู่ในเมืองล้มตายกันหลายพันคน เขามองดูดาบในมือด้วยสายตาตกตะลึงไม่คิดว่ามันทรงพลังมากขนาดนี้
จังหวะเดียวกันลูกชายของราชาดากูลก็กลับมาเจอพอดีแต่ยูกิกลับจ้องหน้าด้วยความโกรธเกรี้ยวแทน
“ดาร์คเอลฟ์เผ่าพันธุ์ที่เป็นเหมือนสิ่งปนเปื้อนจงหายไปซะให้หมด ข้า ยูกิ เอลโฟเรีย จักต้องชำระสิ่งปนเปื้อนไปให้หมด เอลฟ์ที่แท้จริงมีเพียงพวกเราเท่านั้น”
หลังจากพูดจบยูกิก็วิ่งหนีไปกับพรรคพวกโดยอาศัยจังหวะชุลมุนของชาวบ้านที่กำลังอพยพออกมาจากเมือง
“ภารกิจครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดีเลยนะ ถ้าไม่มีนายไปจัดการราชาโอเกียก็คงจะลำบากน่าดู” โยฮันยิ้มพึงพอใจแล้วยื่นเงินค่าจ้างจำนวนมหาศาลให้
“ครับ แต่ถึงอย่างนั้นคนอื่นก็ทำงานกันได้ดีไม่แพ้กัน ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสังหารราชาดากูลได้ด้วยซ้ำแต่เพราะสมุนไพรพิษแบบอ่อน ๆ นั่นทำให้ร่างกายอ่อนกำลังลง คนที่คิดแผนนี้คงไม่ใช่คากิแต่เป็นโยนใช่ไหมครับ?”
“ใช่แล้ว นายนี่มันหัวไวจริง ๆ คนที่เสนอแผนนี้ก็คือเจ้าโยนที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพวกนาย แม้เขาจะไม่มีพลังเดอะแต่ด้วยความชาญฉลาดก็เลยไต่เต้าขึ้นมาได้”
“แสดงว่าเขาจะได้เป็นผู้บริหารของอาณาจักรอาฟสินะครับ” พาซี่ยกถ้วยชาจิบไปพลาง ๆ ระหว่างที่นับเงิน
“อืม จะบอกแบบนั้นก็ได้ ส่วนนายก็จะได้เป็นผู้บริหารอาณาจักรคาแล้วก็จะรับมือขวาที่นายเล็งไว้มาทำงานได้ แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ก็จะเลื่อนขึ้นเป็นผู้บริหารเช่นกันเพราะฉันคุยกับเพื่อน ๆ ไว้แล้วว่าจะให้เป็นผู้ตรวจการแทน”
“นี่ก็เป็นหนึ่งในแผนของท่านเจ้าสำนักด้วยเหรอครับ?” พอนับเงินเสร็จพาซี่ก็เก็บเข้ากระเป๋าพร้อมกลับไปนอนอย่างสบายใจ
“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าเป็นเรื่องที่ควรเป็นก็ใช่อีก สุดท้ายสิ่งที่ฉันต้องการก็คือการกุมอำนาจทั้งสำนักไว้โดยสมบูรณ์”
“เอาใจช่วยนะครับ” พาซี่เดินหนีออกไปทันทีเหมือนขี้เกียจฟังอุดมการณ์ของเจ้าสำนัก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 22
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น