STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 33 สนใจ
การฝึกซ้อมที่จัดไว้อย่างเป็นระบบระเบียบทำให้พวกโยฮันสามารถเอาชนะรุ่นพี่ได้ในการประลองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง พอกลุ่มทั้งสามเห็นเช่นนั้นจึงเกิดความสงสัยในการสอนของลินน่าที่ทำให้พวกโยฮันมาถึงขนาดนี้ได้ยังไง ไม่ใช่แค่กลุ่มแต่คนในลานทั้งหมดกำลังให้ความสนใจทั้งพัฒนาการและเหตุผลที่จักรพรรดินีมาสอนเด็ก ๆ พวกนี้
“พี่เขาออกตัวไปสอนให้เด็กพวกนั้นซะงั้น ทีกับพวกเราไม่เห็นช่วยสอนสักอย่างเลย” กลุ่มผู้หญิงกำลังอาบน้ำและชะเง้อคอคุยกันไปมา
“ปกติเธอไม่ค่อยยุ่งกับใครหรอก ก็มีพวกเราเนี่ยแหละที่เหมือนเพื่อนของเธอมากที่สุดแล้ว”
“นั่นสินะ นึกถึงวันแรกที่เราเข้ามาที่ลานเด็กโตเลย ตอนนั้นก็โดนต้อนรับโหด ๆ เหมือนกันแต่พอลินน่าเข้ามาทักเรา พวกรุ่นพี่คนอื่นก็หนีกันหมดเลย”
“อืม ใครจะรู้ละว่าผู้หญิงที่งดงามขนาดนั้นจะแข็งแกร่งถึงขนาดสร้างความหวาดกลัวให้กลุ่มอื่น ๆ ได้ ถึงเธอจะไม่สอนอะไรเราแต่การได้รู้จักและคลุกคลีอยู่ด้วยกันมันก็เหมือนเป็นเกราะป้องกันแล้ว”
กลุ่มหญิงสาวอาบน้ำและนินทาคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ขณะที่ลินน่านั่งเหม่ออยู่ในห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงนอนเพียงห้องเดียว
“พักหลังมานี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นนะ” เสียงผู้หญิงโทนต่ำกล่าว
ลินน่าหัวเราะในลำคอพลางมองออกไปนอกหน้าต่างดูลานฝึกที่พวกโยฮันใช้กันอยู่ “เห็นเป็นงั้นเหรอ”
“ก็แหงสิ ปกติเธอเอาแต่นั่งอมทุกข์คิดแต่โทษตัวเองอยู่นั่นแหละ”
“ก็มันเรื่องจริงนี่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่เป็นแบบนี้หรอก” ลินน่าเหลือบมองดูหญิงสาวที่นอนติดเตียงอยู่ แม้สภาพร่างกายจะดูผอมแห้งและขาก็ลีบแต่ใบหน้าของเธอกลับสดใสอยู่ตลอดเวลา
“คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่ย้อนเวลาได้ ในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้วเธอก็ควรก้าวข้ามมันได้สักที”
“ฉันจะไม่ทิ้งเธอไปไหนทั้งนั้น เธอคือครอบครัวคนเดียวที่ฉันมี”
“แต่พวกอาจารย์ไม่ปล่อยเธอไว้แน่ ๆ การมีอยู่ของเธอมันเหมือนตำหนิในลานเด็กโตที่ควรทำความสะอาด แถมยังไงฉันก็ไม่สามารถทำบททดสอบได้อยู่แล้ว สุดท้ายก็ต้องโดนกำจัดทิ้งอยู่ดี...” ลินน่ากุมมือของหญิงสาวคนนั้นไว้แล้วค่อย ๆ เลื่อนมันขึ้นมาบนหน้าผากเสมือนการเติมเต็มกำลังใจของกันและกัน
“ฉันจะหาวิธีรักษาขาของเธอให้ได้ ไม่ว่าจะอีกกี่สิบปีฉันก็จะทำมันให้ได้”
“ในเมื่อเธอยืนกรานขนาดนั้น ฉันจะพยายามในส่วนที่ทำได้ก็แล้วกัน” เธอร่ายเวทมนตร์รักษาให้ลินน่าอีกทั้งยังเสริมกำลัง เพิ่มพละกำลังและเพิ่มความเร็วให้อีก
“ขอบใจ ฉันต้องไปสอนเด็ก ๆ พวกนั้นแล้ว พวกเขาอาจจะมีคนที่มีพรสวรรค์เรื่องการรักษาก็ได้” ลินน่าโบกมือลาก่อนจะเดินออกจากห้องไป
การฝึกซ้อมของพวกโยฮันยังคงดำเนินต่อไปหลายสัปดาห์
“บททดสอบในครั้งนี้คือการแสดงทักษะ” เจ้าสำนักกินจิพร้อมกับอาจารย์หลายคนเข้ามาเพื่อมอบโจทย์ของการทดสอบในครั้งนี้
“ใช่แล้ว ๆ และครั้งนี้จะพิเศษหน่อยก็เพราะฉันจะมาเป็นกรรมการด้วย” เจ้าสำนักเหลือบมองหน้าโยฮันเหมือนบอกเป็นนัยว่าการมาครั้งนี้ก็เพื่อพวกเขานั่นแหละ
พอประกาศโจทย์การทดสอบเสร็จพวกเขาก็เริ่มเตรียมสถานที่ทันที
“พวกนายได้ยินชัดแล้วสินะ ปกติบททดสอบจะมีสามแบบก็คือจดบันทึก แสดงทักษะและประลองจริง รอบนี้เป็นการแสดงทักษะซึ่งเหมาะกับพวกนายที่ฝึกมาพอดีเลย” ขณะที่ทุกคนกำลังตึงเครียดกับการที่มีเจ้าสำนักมาเป็นกรรมการ ลินน่าและพวกโยฮันกลับตื่นเต้นที่จะได้แสดงทักษะให้เห็น
“โห่ อยากจะประลองมากกว่าน่ะสิ” เซรอนถอนหายใจเสียดาย
“ใช่ ๆ ฉันก็อยากเหมือนกัน” ทั้งอาเวียนและบาย่าต่างก็อยู่ในช่วงคึกฮึกเหิมอยากลองวิชา
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ?” จู่ ๆ เจ้าสำนักก็โผล่มาข้าง ๆ เกาะไหล่โยฮันอย่างกับเพื่อนเล่น
ลินน่ากลืนน้ำลายอยากพูดคุยเกี่ยวกับวิธีรักษาแต่ก็เกรงว่าเจ้าสำนักจะไม่บอกอยู่ดี “พวกเรากำลังเตรียมการแสดงทักษะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ”
“เหรอ?” เจ้าสำนักเอียงคอมองหน้าลินน่าเหมือนตั้งใจจะกวนประสาท
“เหมือนท่านเจ้าสำนักจะว่างมากสินะคะ เป็นกรรมการก็ควรไปรอดูการแสดงทักษะไม่ใช่เหรอคะ?”
“ก็จริงของเธอแต่ฉันเห็นแวบเดียวก็รู้แล้วว่าต้องให้กี่คะแนน...แน่นอนว่าเธอได้เต็มสิบไปเลย”
“เหมือนมีเรื่องอะไรอยากพูดมากกว่านั้นนะคะ ถ้าเป็นเรื่องการออกจากที่นี่ท่านคงมาเสียเที่ยวแล้ว”
“โธ่...จะจมปลักอยู่กับเพื่อนคนนั้นไปถึงไหน ต่อให้เธอจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหนแต่ถ้าหยุดเดินไปข้างหน้าก็ไม่มีทางไปถึงปลายทางหรอก”
“พอดีว่าไม่อยากไปถึงปลายทางตัวคนเดียวค่ะ อย่างน้อยตอนนี้ฉันจะนำทางเด็ก ๆ พวกนี้ไปถึงปลายทางแทน”
“อืม ถ้างั้นฉันไปล่ะนะ...” เจ้าสำนักหันหลังเดินจากไปแต่จู่ ๆ เขาก็โผล่มาจากด้านหลังและเหวี่ยงมีดใส่ลินน่า
“แกล้งกันแรงไปหรือเปล่าคะ?” ลินน่าบิดตัวเล็กน้อยหลบคมมีดได้พอดี
“แหม ๆ ฝีมือยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเคยเลย ฉันหวังว่าสักวันเธอจะออกไปจากที่นี่และไปถึงปลายทางนั้นเสียที”
พวกโยฮันได้แต่ยืนตัวแข็งไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากพูดอะไร วินาทีที่เจ้าสำนักโผล่มาจะฟันลินน่าบรรยากาศมันไม่ใช่แค่การแกล้งกันเล่น ๆ แต่เหมือนเขาต้องการจะจัดการลินน่าจริง ๆ
“อย่าไปสนใจเขานักเลย เจ้าสำนักเขาชอบทำอะไรตามใจอยู่แล้ว”
“ก็พอเข้าใจได้ ตอนอยู่ลานเด็กเล็กเขาก็เป็นอาจารย์สอนเราเหมือนกัน”
“เขาเป็นคนสอนเองเลยเหรอ ดูท่าเขาจะถูกใจพวกนายจริง ๆ เพราะฉะนั้นไปแสดงให้เขาเห็นสิว่าเรามีคุณค่าพอหรือยัง”
“รู้ไหมว่าช่วงเวลานี้ต้องทำอะไร?” เซรอนกวาดสายตามองเพื่อน ๆ ต่างคนต่างเหมือนรู้ว่ากำลังจะทำอะไร
พวกเขาเดินมารวมกลุ่มและวางมือซ้อนอีกครั้งโดยให้ลินน่าวางปิดท้ายแล้วยกมือร้องเฮ้เหมือนเคย นั่นเป็นการเรียกขวัญกำลังใจเพื่อก้าวขึ้นไปบนลานทดสอบเพื่อแสดงทักษะที่ได้ร่ำเรียนฝึกมา
“ไหน ๆ ขอดูหน่อย” เจ้าสำนักกินจิขยับเก้าอี้ลงไปในลานเพื่อรับชมใกล้ ๆ
“เดี๋ยวผมจัดให้” เซรอนเป็นคนแรกในกลุ่มที่ได้แสดงทักษะ เขาชักดาบออกมาอยู่ในท่าเตรียมโดยที่สายตาจ้องไปยังหุ่นฟางตรงหน้า
เซรอนวิ่งเข้าใส่หุ่นฟางพร้อมกับฟันดาบสองจังหวะอย่างรวดเร็ว ในจังหวะแรกเขาได้ตัดแขนที่เสมือนอีกฝ่ายกำลังถืออาวุธและบิดดาบเป็นแนวนอนตัดคอของหุ่นฟางต่อ
“ใช้ได้ ไม่ใช่วิชาที่แปลกใหม่อะไรแต่ความเร็วในการเปลี่ยนวิถีดาบแล้วฟันต่อเนื่องนั้นยอดเยี่ยมมาก ๆ เอาไปสักหกเต็มสิบแล้วกัน”
“โห่ หกเองเหรอ” เซรอนเดินคอตกออกจากลานไป
คนต่อไปคืออาเวียน
“อย่างน้อยก็ขอเท่ากับเซรอนแล้วกัน”
อาเวียนเริ่มขยับเท้าเป็นจังหวะของนักมวย จังหวะที่เท้าแตะพื้นเขาก็ได้กระโจนเข้าหาหุ่นฟางแล้วใช้หมัดแย็บรัวชกไปที่ท้องและปิดท้ายด้วยการสับขาหลอกไปด้านหลังแล้วหมุนตัวเตะเข้าที่คอเต็ม ๆ
“นี่ก็ใช้ได้ เพราะฉะนั้นเอาไปหกตามที่อยากเลยแล้วกัน”
คนต่อไปเป็นมิร่า เธอเลือกใช้มีดสั้นเป็นอาวุธและระหว่างที่เดินเข้ามาเธอก็ควงมีดเล่นไปด้วยเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของทักษะที่อยากให้เห็น
“จะเริ่มแล้วนะคะ”
มิร่าสร้างคมมีดวายุไว้แล้วขว้างมันใส่หุ่นฟางพร้อม ๆ กับวิ่งตามไปฟันคอเป็นการปิดฉาก
“แม่นและว่องไวเหมือนกันนะเนี่ย เอาไปหกแล้วกัน”
ต่อไปเป็นตาของบาย่า
“ถึงเวลาวิชามีดบินสังหารแล้ว”
บาย่าใช้วิชาลอบสังหารที่ตนถนัดแสดงการฟัน ตัดและแทงจุดสำคัญสิบกว่าจุดภายในเวลาไม่กี่วินาที
“สวย ๆ เอาไปหก”
ต่อไปเฟียร์ก็เลือกใช้มีดสั้นเช่นกันแต่เธอไม่ได้เข้าประชิดเหมือนคนอื่น มีดสั้นนั้นเป็นแค่เครื่องมือสำหรับใช้เวทมนตร์เท่านั้น เวทมนตร์แรกที่เธอใช้ก็คือการยิงด้วยกระสุนวายุทะลุกลางหน้าผาก ต่อด้วยการสร้างคลื่นวายุพัดหุ่นฟางมาใกล้ ๆ เพื่อใช้ดาบวายุที่เสริมกับมีดสั้นผ่าครึ่ง
“ฉันชอบอันนี้นะ เอาไปเจ็ด”
เฟียร์เดินกลับไปรวมกลุ่มพร้อมกับรอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีใจที่ได้คะแนนเยอะ
“คอยดูเถอะ รอบหน้าฉันจะเอาเจ็ดคะแนนมาบ้าง” เซรอนกล่าว
คนสุดท้ายในกลุ่มก็คือโยฮันที่ก่อนหน้านี้นั่งเงียบตั้งสมาธิอยู่
“หวังว่าผมจะได้คะแนนดี ๆ บ้างนะครับ”
“ถ้าอยากได้คะแนนดีก็ทำให้มันดี ๆ แล้วกัน” เจ้าสำนักยิ้มเลศนัยดูตื่นเต้นที่จะได้เห็นฝีมือของโยฮัน
“แน่นอนครับ [ลำนำบทที่หนึ่ง - วังวนก้นบาดาล]” เวทมนตร์วารีค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นงูตัวเล็กที่กำลังชูคอขู่ โยฮันใช้มันเลื่อยเข้าไปจู่โจมหุ่นฟางในขณะที่ตนเองใช้มนตร์ดำสร้างหมอกไปด้วย
พอหมอกจางลงหุ่นฟางก็โดนบดขยี้เละกลายเป็นเศษฟางตามทุ่งเสียแล้ว
“ใช้เวทมนตร์ขึ้นสูงได้แล้วเหรอ ถึงประสิทธิภาพจะอ่อนปวกเปียกแต่ในอนาคตต้องเป็นใหญ่แน่ ๆ เอาไปแปดเลยแล้วกัน”
โยฮันยิ้มภาคภูมิใจวิ่งกลับไปหาเพื่อน ๆ
“เหมือนจะครบทุกคนแล้วสินะ ไม่สิเหลืออยู่คนหนึ่งหรือจะบอกว่าสองคนดีล่ะ” เขาเหลือบมองหน้าลินน่าเหมือนตั้งใจพูดกับเธอโดยตรง
ลินน่าถอนหายใจทำหน้าไม่พอใจก่อนจะเดินเข้าไปในลาน “โรสมาไม่ได้ค่ะ” เธอเหวี่ยงมีดสั้นฟันหนึ่งครั้งจากจุดที่ยืนอยู่ แต่ทันใดนั้นหุ่นฟางทั้งตัวที่อยู่ในลานและตัวสำรองที่อยู่ข้าง ๆ กลับโดนตัดคอทั้งหมด
“ฉันยังไม่มีทักษะอะไรใหม่ ๆ มาแสดงให้เห็นหรอกค่ะ” ลินน่าหันหลังสะบัดหน้าหนีจงใจแสดงความไม่พอใจให้เห็นอย่างชัดเจน
“ฉันหวังว่าสักวันเธอจะออกไปจากที่นี่สักทีนะ” ลินน่ายกมือโบกเหมือนเป็นการปัดคำพูดของเจ้าสำนักทิ้ง
หลังจากการแสดงทักษะจบก็ได้เวลาพักผ่อนเพื่อรอรับการฝึกในวันพรุ่งนี้
“อยากลองเตรียมออกจากที่นี่บ้างแฮะ เหมือนต้องประลองกับพวกอาจารย์จริง ๆ ถึงจะออกจากที่นี่ได้” เซรอนนอนชูแขนเหมือนกำลังจับดาบเหวี่ยงไปรอบ ๆ
“อาจจะประลองกับคนรุ่นเดียวกันก็ได้ แล้วที่ว่าการทดสอบจะยากขึ้นเรื่อย ๆ หากอยู่ที่นี่นานมันจะเป็นยังไงนะ?” อาเวียนยืดเส้นยืดสายเตรียมตัวนอน
“ลองไปถามพี่ลินน่าดูสิ พี่เขาอยู่ที่นี่เกินกำหนดมาตั้งสองสามปีแล้ว ถ้าการออกจากที่นี่ต้องประลองกับอาจารย์ เธอที่อยู่มานานก็คงต้องประลองกับเจ้าสำนักแล้วแหละ” โยฮันดึงแขนอาเวียนช่วยกันยืดเส้นยืดสาย
“ก็จริงแฮะ พรุ่งนี้ไปถามดีกว่า”
เช้าวันถัดมาเซรอนก็ปรี่เข้าไปถามทันที
“ไม่บอก”
“โห่ !” พวกเขาส่งเสียงอุทานกันอย่างพร้อมเพรียง
“ถามแค่นี้เอง ทำเป็นขี้งกไปได้” เซรอนส่งสายตาอ้อนวอนอย่างถึงที่สุดแต่ก็ทำให้ลินน่าใจอ่อนไม่ได้
“เลิกถามจี้แล้วเอาเวลาไปฝึกไป ตั้งแต่เดือนนี้ฉันจะเพิ่มความเข้มงวดของการฝึกแล้ว”
“แบบนั้นก็แจ๋วสิ”
“ต้องแจ๋วอยู่แล้วเพราะพวกนายจะได้สัมผัสความตื่นเต้นจากการท้าทายขีดจำกัด”
“ใช่ ๆ จัดมาเลย”
พวกโยฮันคึกฮึกเหิมยืนเรียงหน้ากระดานรอฟังตารางการฝึกด้วยแววตาเป็นประกาย
“หลังจากนี้ฉันจะเพิ่มเหล็กถ่วงน้ำหนักให้กับทุกส่วนของร่างกาย และทุกวันตอนเย็นพวกนายต้องประลองกับฉันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง”
“หนึ่งต่อหนึ่งแบบที่มีเหล็กถ่วงด้วยเนี่ยนะ เราจะเอาอะไรไปสู้ล่ะ” บาย่าจ้องตาไม่กะพริบเหมือนอยากให้ต่อให้บ้าง
“อืม พยายามเข้าล่ะ” ลินน่ายิ้มระรื่นไม่มีการต่อให้ใด ๆ ทั้งสิ้น
มหากาพย์การฝึกซ้อมได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ละคนจะฝึกตามอาวุธหลักให้เป็นจุดแข็งให้ได้ถึงจะไปฝึกอาวุธอื่นต่อ ขณะเดียวกันลินน่าใช้เวลาทั้งวันไปกับการอ่านและค้นคว้าอยู่ในห้องสมุดรอเวลาประลองถึงจะออกไปพบปะกับลูกศิษย์ที่น่ารัก
“ไม่มีหนังสือใหม่มาบ้างเลยเหรอ ต่อให้อ่านตำราการรักษาเป็นร้อยเล่มแต่ก็ไม่มีวิธีรักษาอาการของโรสเลย แม้แต่หมอของสำนักก็ยังหาวิธีรักษาไม่ได้แล้วเราจะไปหาวิธีจากไหนล่ะเนี่ย” มือทั้งสองข้างบีบกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ขาหัก...ไม่ใช่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง....ก็ไม่ใช่ อาการของโรสมันหนักยิ่งกว่าแค่อ่อนแรง เพราะแค่ขยับขาสักนิดก็ยังไม่ได้เลย” พอยิ่งอ่านไปแล้วไม่เจออะไรมันก็ยิ่งทำให้เธอสิ้นหวังเข้าไปอีก ถึงแม้จะอยากรักษาครอบครัวคนเดียวที่มีแต่พอไม่เห็นหนทางมันก็เหมือนตนเองกำลังเดินถอยหลังลงหลุมไปพร้อม ๆ กัน
“สนุกไหมครับที่ได้เป็นอาจารย์สอนรุ่นน้อง” เฟลเลอร์นั่งลงฝั่งตรงข้ามและยังหยิบขนมขึ้นมากินดูไร้มารยาทเสียจริง
“ก็สนุกกว่าการได้นั่งบนบัลลังก์แล้วคอยชี้นิ้วสั่งแล้วกัน”
“แต่การชี้นิ้วสั่งมันก็สบายกว่านะ”
“ถ้ามาเพื่อพูดคุยเรื่อยเปื่อยก็จงไปซะเถอะ เสียสมาธิอ่านหนังสือหมดแล้ว”
“ผมก็แค่อยากรู้ว่าทำไมรุ่นพี่ถึงยังไม่ออกไปจากที่นี่ จากที่ได้ยินเจ้าสำนักกับรุ่นพี่คุยกันเหมือนจะมีบุคคลที่สามมาเกี่ยวข้องด้วย ผมสงสัยจริง ๆ นะครับว่าเมื่อก่อนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ลินน่าเงียบกริบทำเป็นไม่ได้ยินที่เฟลเลอร์พล่ามออกมา
“อืม ๆ ผมไม่รบกวนแล้วดีกว่า ความลับก็ถือว่าเป็นเสน่ห์ของผู้หญิงนี่”
หลังจากที่เฟลเลอร์เดินออกไป ลินน่าก็ได้เก็บหนังสือทั้งหมดแล้วกลับไปหาโรสทันที
“เมื่อก่อนสินะ” ลินน่ายืนมองโรสที่นอนฝึกเวทมนตร์ไปเรื่อย
เมื่อโรสสบตากับลินน่าเธอจึงเอ่ยถามออกมา “กลับมาทำหน้าอมทุกข์อีกแล้ว เธอยังคิดเรื่องวันนั้นอยู่อีกเหรอ?”
“อืม” ลินน่าตอบรับสั้น ๆ แล้วนั่งลงข้างเตียง “ถึงมันจะผ่านมาหลายปีฉันก็ยังจำวันนั้นได้ไม่ลืม วันที่ชีวิตของเราเปลี่ยนไปตลอดกาล”
ความทรงจำอันแสนเลวร้ายที่พวกเธอได้ประสบพบเจอกลับมาฉายภาพซ้ำเมื่อได้ยินเฟลเลอร์พูดถึงมัน
“อุตส่าห์อดทนรอตั้งหนึ่งปีจนฉันขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มได้สักที ตอนนี้แหละฉันจะเอาเธอมาเป็นของฉันให้ได้” กลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหลายสิบคนกำลังยืนล้อมลินน่าที่พึ่งเข้ามาลานเด็กโตได้แค่หนึ่งปี
“ฉันไม่ใช่สิ่งของที่ใครจะมาเอาไปได้หรอกนะ ยิ่งกับพวกที่โตแต่ตัวและยังใช้กำลังฉันก็ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่” ลินน่ายืนต่อปากต่อคำแม้ตนเองจะโดนล้อมไม่เหลือทางหนีอีกแล้ว
“ไฟไหม้ !” ทันใดนั้นก็มีเสียงหญิงสาวตะโกนลั่นมาพร้อมกับควันไฟ
“ไฟไหม้อะไรตอนนี้วะ” พวกเขาหนีกระจายหายกันไปทันที
หญิงสาวคนนั้นวิ่งตรงมาและจูงแขนลินน่ากลับโรงนอนก่อนที่พวกรุ่นพี่จะรู้ว่าไฟไม่ได้ไหม้จริง ๆ
“เธอไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้ก็ได้ ฉันน่าจะจัดการพวกมันได้ทั้งหมดอยู่แล้ว”
“อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงสิ สู้เล็งจัดการไปทีละคนไม่ดีกว่าเหรอ”
“มันยุ่งยากน่ะสิ ฉันขี้เกียจไปคอยดูคอยตามพวกมันจะตาย”
ทั้งสองนั่งลงที่เตียงพักหายใจ
“ก็รู้ว่าตัวเองแรงไม่ค่อยมียังจะตามมาอีก”
โรสสูดหายใจถี่เหมือนจะตายแต่ก็ยังยิ้มได้อยู่ “สบาย ๆ น่า ฉันกำลังอยู่ในช่วงฝึกอยู่พอดีเลย”
“ก็ได้...เราจะหาจังหวะเล่นงานพวกมันทีละคน เอาให้กลับมาห้าวอีกไม่ได้เลย”
“ใช่ ๆ ต้องจัดมันให้หนักเลย” โรสยิ้มกว้างให้กับแผนอันบรรเจิดของพวกเธอ
หลายวันต่อมา ทุกสิ่งกลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อลินน่ากลับมาที่โรงนอนแล้วพบกับโรสในสภาพสะบักสะบอมใกล้ตาย ขาทั้งสองข้างโดนของแข็งทุบตีอย่างรุนแรงรวมถึงแขน หลัง ใบหน้าและลำตัวจนสภาพดูไม่ได้
“โรส !” เธอใช้เวทมนตร์รักษาพร้อมกับอุ้มไปที่ห้องพยาบาล อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตของโรสไว้ได้แต่ขาทั้งสองข้ามกลับไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป
วันนั้นเป็นวันเดียวกับที่ทุกคนได้รับรู้ความสามารถของลินน่าจนได้ฉายาว่าจักรพรรดินี เธอไล่กวาดล้างกลุ่มทั้งหมดรวมถึงพวกที่เคยพูดจาไม่ดีหรือแค่มองด้วยสายตาผิดแปลกก็โดนเช่นกัน มันเป็นวันที่เจ้าสำนักและบุคลากรเกือบทั้งหมดมาที่ลานเด็กโตเพื่อหยุดสถานการณ์นี้
“ถ้าตอนนั้นฉันตัดสินใจเร็วกว่านี้แล้วจัดการพวกมันไปตั้งแต่แรก เธอก็คงไม่ต้องเจ็บตัวหรอก”
โรสหัวเราะในลำคอก่อนจะวางมือลงบนหัวของลินน่าแล้วขยี้เล่นหยอกล้อ “เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องตัดสินใจและทำมันซะ จะได้ไม่เสียใจเหมือนตอนนั้นอีก”
“อืม ฉันจะไม่ลังเลอีกแล้ว”
พอถึงช่วงเย็นลินน่าก็ไปพบปะกับพวกโยฮันที่ประลองกันเล่น ๆ เพื่ออบอุ่นร่างกาย แววตาตั้งมั่นจ้องมองเข้ามาในดวงตาของลินน่าสังเกตการเคลื่อนไหวและสภาพร่างกายทั้งหมด
“ผมขอคนแรก” เซรอนบิดคอดังกรอบแล้วชักดาบตั้งท่าเตรียม
“ใช้ทุกอย่างที่มีมาเลย”
“ครับ !”
เซรอนใช้เวทมนตร์วายุฟันออกไปก่อน จากนั้นก็วิ่งตามคมดาบวายุไปติด ๆ จังหวะที่ลินน่าหลบคมดาบวายุเขาก็ฟาดดาบตัดกันเป็นกากบาท ไม่เพียงแค่นั้นเขายังแทงดาบออกไปตรง ๆ พร้อมกับยิงกระสุนวายุออกไปกับปลายดาบด้วย
ฝั่งลินน่าสร้างกำแพงหินป้องกันการโจมตีทั้งหมดแต่เซรอนก็ไม่ท้อเสริมกำลังไปที่ดาบกระหน่ำฟันหวังทำลายกำแพงนั้นให้ได้
“มองกว้าง ๆ หน่อยสิ” จู่ ๆ ลินน่าก็โผล่มาด้านหลังแล้วเตะสกัดขาให้ล้มลงเสมือนเป็นการโดนศัตรูสังหารไปแล้ว
“โธ่ ไวขนาดนี้ใครจะมองทัน”
“มา ๆ เดี๋ยวฉันขอลองบ้าง” บาย่าที่ฝึกการเคลื่อนไหวกับทักษะการสังหารจึงคล่องแคล่วว่องไวกว่าใครในกลุ่ม เธอโยนมีดคู่สลับกันไปมาเหมือนกำลังโยนบอลจากนั้นก็ไปยืนรออยู่ตรงหน้าลินน่า
จังหวะแรกบาย่าเสริมกำลังทั้งตัวและใช้เพิ่มความเร็วเสริมเข้าไปอีก แค่การก้าวเท้าแรกเธอก็พุ่งไปถึงห้าเมตรและเพียงแค่สามก้าวก็ไปถึงตัวลินน่าแล้ว
บาย่าขว้างมีดไปพร้อมกับระเบิดมานาจากนั้นก็อ้อมไปด้านข้างไปถึงตัวลินน่าได้สำเร็จ แต่พอมีดของเธอแทงเข้าไปมันกลับแตกเป็นเสี่ยง ๆ อย่างกับเป็นใบไม้แห้ง
“ได้ไง...” พูดไม่ทันขาดเธอก็โดนเตะสกัดขาร่วงลงพื้นเสียแล้ว
“แค่เสริมมานานิดหน่อยอย่าคิดว่ามีดมันจะเข้าเนื้อพวกเก่ง ๆ หรอกนะ เธอต้องใส่พลังให้มากกว่านี้”
คนต่อไปเป็นอาเวียนที่เด่นทั้งพละกำลังและความว่องไว
“ฝากตัวด้วยนะครับ”
“เจอมือเปล่าทั้งทีฉันคงต้องน้อมรับสินะ” ลินน่าโยนมีดทิ้งเช่นเดียวกับอาเวียนที่ใช้แค่มือเปล่า
อาเวียนใช้การขยับเท้าเข้าออกเพื่อหลอกล่อการปล่อยหมัดและในจังหวะที่เห็นช่องว่างเขาก็ชกออกไปทันที แต่หมัดของเขากลับผ่านตัวลินน่าไปเป็นเพราะเธอพุ่งเข้ามาประชิดตัวและโดนคลุกวงในเป็นที่เรียบร้อย
ลินน่าล็อกคอตีเข่าเข้าที่ท้องแต่อาเวียนก็ไม่ยอมให้ทำอยู่ฝ่ายเดียวจึงต้องล็อกคอและตีเข่าสวนกลับวัดความอึดกันแทน
“ลองหาทางออกไปดูสิ” ลินน่ากระซิบข้างหูและตีเข่าแรงขึ้นไปอีก
“ถ้าทำได้ผมทำไปแล้ว”
ทั้งสองยื้อกันไปมาโดยที่อาเวียนพยายามเหวี่ยงลินน่าทิ้งแต่เธอกลับเกาะติดแน่น สุดท้ายลินน่าก็เป็นฝ่ายเหวี่ยงแทนแต่เธอใช้เท้าเขี่ยขาของอาเวียนไปด้วยทำให้เสียสมดุลได้อย่างง่ายดาย
“อย่าลืมใช้ทุกส่วนของร่างกายสิ ไม่ใช่แค่การจับล็อกแต่ทุก ๆ การเคลื่อนไหวต้องมีความสร้างสรรค์ที่จะใช้ประโยชน์จากร่างกาย”
คนต่อไปคือมิร่าที่ถนัดการใช้มีดผสมผสานกับเวทมนตร์
มิร่าเคลือบเวทมนตร์เพลิงไว้ที่มีด จากนั้นก็วิ่งเข้าไปฟันตรง ๆ ซึ่งระหว่างนั้นเธอได้ร่ายเวทมนตร์วารีทำให้พื้นที่ยืนเฉอะแฉะพร้อมลื่นได้ตลอดเวลา
จังหวะที่ลินน่าตั้งรับการฟันของมิร่ามันทำให้เธอลื่นเสียหลัก มิร่าไม่รอช้าเสริมมีดสั้นด้วยเวทมนตร์เพลิงอีกครั้งแต่คราวนี้มันเหมือนกลายเป็นดาบยาวเพื่อเพิ่มระยะหวังผลแต่จังหวะที่ดาบเพลิงกำลังจะเข้าถึงตัว ลินน่าก็ได้ใช้เวทมนตร์ปฐพีหุ้มร่างของตนเองไว้ทำให้ดาบเพลิงของมิร่าไร้ผลไปเลย
มิร่าใช้เวทมนตร์วายุหมุนวนเป็นสว่านเจาะเกราะหินนั้นแต่เธอดันลื่นพื้นที่ตนเองทำไว้เสียเอง พอจะลุกขึ้นมาตั้งหลักมีดสั้นของลินน่าก็จ่อมาที่คอของเธอเสียแล้ว
“ใช้ได้เลยแต่ยังดีได้กว่านี้”
คนต่อไปคือเฟียร์ที่เลือกยืนห่างออกไปหลายสิบเมตรตั้งใจใช้ความถนัดของตนเองให้ได้เปรียบสูงสุด
“เอาสิ ถ้าอยากวัดเรื่องเวทมนตร์ฉันก็พร้อมเหมือนกัน”
เฟียร์สูดลมหายใจเต็มปอดเพื่อรวบรวมสมาธิให้นิ่งที่สุด พอเตรียมตัวเสร็จเธอก็กระหน่ำกระสุนวายุใส่อย่างบ้าคลั่งแต่ทั้งหมดกลับถูกป้องกันไว้ได้ด้วยโล่มานาธรรมดา ๆ
“จะเอาแต่ยิงกระสุนวายุเหรอ !” ลินน่าตะโกนมาแต่ไกลด้วยท่าทางสบาย ๆ มันยิ่งทำให้เฟียร์เร่งความเร็วกระสุนขึ้นไปอีก
“มานาเยอะใช้ได้เลยนะ” หลังจากตั้งรับมาสักพักลินน่าก็ตัดสินใจวิ่งฝ่าดงกระสุนเข้าไปหาเฟียร์
“คงต้องสอนเวทมนตร์ใหม่ ๆ ให้ซะแล้วสิ” สุดท้ายลินน่าก็มาถึงตัวโดยไม่มีแผลเลยสักจุดและแน่นอนว่าเธอก็เตะสกัดขาเฟียร์ให้ล้มลงไปเหมือนคนอื่น ๆ
“เหลือนายคนเดียวแล้วนะ...โยฮัน” แววตาสงสัยมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้นพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ผมพร้อมแล้ว” โยฮันจ้องมองและยิ้มตอบรับเช่นกัน


แสดงความคิดเห็น