STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 27 ลามทุ่ง
“จะเอายังไงต่อล่ะครับ? ดูเหมือนพวกเราทั้งคู่จะหมดน้ำยากันแล้วคงต้องรอดูผลงานศิษย์ของตนเองแทน” โยฮันนั่งลงกับพื้นอยู่ห่างมิโกะไม่กี่สิบเมตร
“ช่างน่าสมเพชจริง ๆ คงเพราะข้าไม่ได้ออกแรงจริงจังมานานก็เลยอ่อนแอลงขนาดนี้”
“นี่ขนาดอ่อนแอลงแล้วเหรอครับ แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ผมสามารถหยุดท่านไว้ตรงนี้ได้”
“เหอะ โชคดีของเจ้าจริง ๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นข้าคงส่งเจ้าลงหลุมไปแล้ว”
โยฮันหัวเราะในลำคอจากนั้นไม่นานเดียร์ก็กลับมาหาเพื่อปิดฉากเจ้าสำนักเทวาคารประทับ
“อาละวาดกันหนักน่าดูเลยนะครับ” เดียร์เตรียมมานาเข้าปะทะกับมิโกะที่อยู่ในสภาพร่อแร่แต่ทันใดนั้นก็มีศรเวทมนตร์พุ่งตรงเข้าที่หัว แม้มันจะติดเสริมกำลังและโล่มานาจึงเข้ามาไม่ถึงตัวแต่นั่นก็หยุดเดียร์ไว้ได้
“ระเบิดลงที่นี่หรือยังไงเนี่ย สภาพดูเหมือนอยู่ในสงครามโลกเลยแฮะ” เซนกลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้งและกระโดดเข้าไปขวางเดียร์ไว้แม้มานาของตนเองจะอยู่ในสภาพไม่พร้อมสู้ก็ตาม
“พวกไหนอีกล่ะเนี่ย?”
คานะเข้ามาดูอาการของมิโกะก่อนจะใช้เวทมนตร์รักษาเพื่อให้แผลสมาน ส่วนซีโร่ก็ไปสมทบกับเซนอีกแรง
“กำลังเสริมจากเอลโฟเรียสินะ เมืองตัวเองกำลังโดนถล่มอยู่แต่ก็ยังกล้าส่งกองกำลังออกมาอีกนะ”
เซนหัวเราะเสียงดังเป็นจังหวะเหมือนกำลังเยาะเย้ย “บังเอิญว่าพวกคนที่ส่งไปเอลโฟเรียโดนเก็บหมดแล้วน่ะสิ พวกลุงต่างหากที่ส่งคนไปที่อื่นจนตัวเองต้องมาอยู่ในสภาพนี้”
“แหม ๆ คำพูดคำจายอกย้อนไม่ดูอายุ ถ้างั้นขอตัวก่อนล่ะ”
เดียร์พาโยฮันวิ่งหนีหายยอมปล่อยโอกาสในการสังหารมิโกะหลุดไป
“ฉันจะสะกดรอยตามไปเอง” ซีโร่วิ่งตามไปติด ๆ ไม่รอฟังความเห็นพวกพ้องเลยสักคำ
“ใจร้อนจริง ๆ แต่เธอก็คงเอาตัวรอดเองได้แหละ แล้วเราต้องทำอะไรต่อล่ะ?” เซนนั่งมองหน้ามิโกะรอฟังคำตอบ
“พวกเจ้าเป็นคนนอกไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งหรอก”
“คนนงคนนอกอะไรเล่า ในเมื่อสำนักเทวาคารประทับเป็นครอบครัวของคิโนริเราก็ต้องช่วยเหลือสิ”
“คิโนริ...จริงด้วยสิ ป่านนี้พวกนั้นคงหนีออกไปไกลพอให้สบายใจแล้ว ถ้าหากพวกเจ้ามีมานาสำรองข้าจะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง”
คานะมองหน้าเซนแล้วได้คำตอบโดยไม่ต้องถามสักคำ เธอยื่นขนมแท่งของยูกิให้ซึ่งตอนแรกมิโกะก็เอาแต่จ้องมองด้วยความสงสัยเพราะปกติมานาสำรองจะเป็นของเหลว
“แน่ใจนะว่ามันคือมานาสำรอง ไม่ใช่กินไปแล้วแอบวางยาพิษไว้หรอกนะ”
“ตามใจเถอะค่ะ” พูดจบคานะก็หยิบขนมอีกแท่งขึ้นมากินต่อหน้าทำให้มิโกะลองกินตามบ้าง
หลังจากพักฟื้นจนเดินไหวพวกเธอก็มุ่งหน้าไปที่สำนักเทวาคารประทับแต่ก็เห็นแค่ร่างไร้วิญญาณกับเศษซากอาคารบ้านเรือน
“เละตุ้มเป๊ะเลย ส่วนเจ้าของผลงานก็คงอยู่ตรงโน้นที่มีเสียงระเบิดตู้มต้ามอยู่” เซนปีนป่ายขึ้นที่สูงเพื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
ทันใดนั้นก็มีแสงไฟสีส้มอ่อนเกือบเป็นสีขาวสว่างจ้าราวกับมีดวงอาทิตย์มาบังเกิดตรงนั้น รวมถึงมีดวงไฟหลายดวงหมุนวนไปทั่วเหมือนดวงดาวกำลังโคจรรอบดวงอาทิตย์
“ไฟสีส้มอ่อนหรือ? ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าในสำนักมีคนไปถึงระดับนั้นได้แล้ว หรือจะเป็นพวกสำนักมนตร์ดำ” มิโกะวิ่งตรงไปยังแสงสว่างนั้นพร้อม ๆ กับพวกเซน
ที่ตรงนั้นมีศิษย์สำนักมนตร์ดำกำลังล้อมศิษย์ของสำนักเทวาคารประทับไว้ แต่ทุกคนในที่แห่งนั้นกลับกำลังถอยห่างจากผู้ที่อยู่ใจกลางดวงไฟเหล่านั้น
“นั่นคิโนริเหรอ ! ดูร้อนแรงสุด ๆ ไปเลยนี่” เซนกระโดดเข้าไปหาทำเอาศิษย์ทั้งสองสำนักสะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน
“เชื่อเขาเลย ถ้าใช้นักรบคลั่งได้ดั่งใจก็คงจะได้เห็นเซนเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง” คานะเตรียมคันธนูกับมานาไว้พร้อมยิงตลอดเวลา
“ทำไมการตื่นของสายเลือดถึงรุนแรงขนาดนี้ อาจจะหนักกว่าของข้าด้วยซ้ำ”
“การตื่นอะไรนั่นคงจะเป็นสาเหตุที่กิต้องพามาที่นี่สินะ แต่ต่อให้ไฟจะแรงแค่ไหนมันก็ทำอะไรเซนไม่ได้อยู่ดี” คานะยังยืนยิ้มสบายใจทำให้มิโกะมองด้วยแววตาสงสัยก่อนจะหันกลับไปจ้องมองคิโนริอีกครั้ง
เซนเดินฝ่าดวงไฟเข้าไปโดยไม่รู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย แต่เสื้อผ้าของเขากลับค่อย ๆ โดนเผาจนไม่เหลืออะไรสักชิ้นและต้องวิ่งหนีไปหลบอยู่หลังต้นไม้แทน
“ให้ตายสิ !” คานะตบหน้าผากอุทานลั่น
“พวกเจ้าไปช่วยทางอื่นเถอะ ข้าจะคุยกับหลานด้วยตัวเอง”
“แน่ใจใช่ไหมคะว่าร่างกายยังไหวอยู่?”
“แน่ใจสิ และข้าก็ยังอยากใกล้ชิดกับคิโนริให้มากกว่านี้”
คานะมองดูสีหน้าเป็นกังวลอมทุกข์เหมือนคนที่มีเรื่องติดค้างในใจจนยากที่จะลืม
“งั้นก็ได้ค่ะ” คานะโบกมือเรียกเซนและเขาก็วิ่งตัวงอเอามือปิดเป้ากลับมาหา
“ฉันว่าฉันต้องไปหาชุดใส่ก่อน”
“ก็นั่นไง พวกชุดจากศพเยอะแยะเต็มไปหมด”
“ของคนตายเนี่ยนะ มันดูน่ากลัวไป...” พูดไม่ทันขาดคำคานะก็ถีบเซนลงไปข้างล่างเป็นการบังคับให้หาเสื้อผ้าใส่เสียที
หลังจากที่เซนแต่งตัวเสร็จพวกเขาทั้งสองก็มุ่งหน้าตามร่องรอยการปะทะไปไกลจากเมืองหลายกิโลเมตร ที่นั่นมีเหล่าเจ้าสำนักและร่างปลอมกำลังตะลุมบอนกันมั่วไปหมดจนดูไม่ออกว่าใครเป็นตัวจริงกันแน่
“อะไรกันวะนั่น?” เซนยกมือลูบคางดูครุ่นคิดสุด ๆ
“แบบนี้เราจะไปช่วยอะไรได้ล่ะ ถ้าดันพลาดก็โดนพวกเดียวกันเอง คงต้องรอให้กิมาดูด้วยตัวเองแล้ว” คานะมองไปยังถนนอีกเส้นที่มุ่งขึ้นเหนือก่อนจะกล่าวต่อ “ตามซีโร่ไปจัดการเจ้าสำนักมนตร์ดำนั่นกันเถอะ”
ก่อนหน้านี้ที่อาณาจักรอาฟที่ซึ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดีเว้นแต่ฟรานที่โดนเมโลนตามติด
“ช่วยหยุดก่อนได้ไหมครับ?” เมโลนฉุดกระชากลากฟรานลงมาที่พื้นอีกครั้ง เขาจับแขนของฟรานไว้แน่นแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรง
“อะไรอีกคะ? ทำไมต้องมาขวางกันขนาดนี้ด้วย ถ้าตำแหน่งนั้นมันสำคัญนักก็ยกให้คนอื่นที่อยากได้ไปเถอะ”
“ไม่ได้สิครับ ต้องเป็นคุณที่มีพัฒนาการยอดเยี่ยมที่สุดและยังครอบครองเวทมนตร์ทั้งสี่ธาตุซึ่งสามารถพลิกแพลงและดัดแปลงการใช้งานได้หลากหลาย ในการต่อกรกับจอมมารเราจำเป็นต้องมีท่านนะครับ”
“จอมมารอะไรนั่นให้ท่านผู้นั้นจัดการก็ได้ไม่ใช่หรือยังไงคะ?”
“ถึงรอบก่อนจะทำได้แต่คราวนี้คำทำนายไม่เหมือนเดิมแล้วครับ ท่านผู้นั้นไม่อยากสร้างความตื่นตระหนกให้คนทั่วไปก็เลยบอกไม่หมด จริง ๆ แล้วในคำทำนายบอกไว้ว่าจอมมารในครั้งนี้จะถูกกำจัดได้ด้วยฝีมือของผู้กล้าเท่านั้น ถ้าหากขาดผู้กล้าไปสตาร์คินก็คงล่มสลายแน่ ๆ”
เมโลนปล่อยแขนฟรานเพื่อให้เธอใจเย็นลง
“แล้วในคำทำนายได้บอกไหมว่าใครคือผู้กล้า...หรือต้องมาเดากันเอาเองว่าเป็นใคร”
“ถึงจะไม่มีบอกแต่ก็ต้องดูคนที่มีศักยภาพสูงสุดผ่านการวิเคราะห์จากหลาย ๆ คน ซึ่งทั้งอาจารย์ในโรงเรียนหลวงและผู้เฒ่าแห่งปัญญาก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านคือคนที่มีศักยภาพสูงสุด”
“ศักยภาพเหรอ ถึงฉันจะไม่มีเวทมนตร์วิเคราะห์แต่ฉันก็กล้ายืนยันว่าคนที่มีศักยภาพสูงสุดก็คือ ซึฮากิ ฮลาฟกาด”
“กบฏที่หนีทหารและสังหารคนไปมากมายแต่กลับได้ตำแหน่งอาจารย์พิเศษ เขาคนนั้นเต็มไปด้วยมลทินและข้อครหามากมายซึ่งแค่นั้นก็ยังทำให้ประชาชนเดือดดาลมากพอแล้ว ถ้าทุกคนได้ยินคำพูดเมื่อกี้ของท่านพวกเขาคงหมดหวังกับชะตากรรมของมนุษยชาติแน่ ๆ”
ฟรานยืนนิ่งสงบจิตสงบใจได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ
“แค่คุณไม่ไปบอกใครก็ไม่มีปัญหาแล้วนี่ค่ะ” พูดจบฟรานก็กระโดดขึ้นบนท้องฟ้าแล้วใช้เวทมนตร์วายุผลักเหมือนกำลังบิน
“บังเอิญว่าพวกเราไม่ชอบโกหกครับ” เพียงพริบตาเดียวเมโลนก็โผล่มาดักหน้ากลางอากาศและยกดาบฟาดฟรานลงพื้นไป
“ไหนบอกว่าจะไม่ทำร้ายกันไงคะ?” ฟรานใช้โล่มานาและเวทมนตร์วายุชะลอแรงตกทำให้ลงถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย
“ผมไม่มีทางเลือกจึงต้องใช้ไม้แข็งเพื่อให้ท่านอยู่ในกรอบที่ควรจะเป็น”
“แค่ฉันทำตามกฎหมายของบ้านเมืองยังไม่พอให้อยู่ในกรอบอีกเหรอ? หรือกรอบที่ว่าคงหมายถึงต้องทำตามคำสั่งเหมือนทาสที่ถูกผูกสายจูงตลอดเวลาสินะ”
“พอได้แล้วครับท่านผู้กล้า”
ทันใดนั้นเมโลนก็โผล่มาตรงหน้าอีกครั้งโดยที่ฟรานตามการเคลื่อนไหวไม่ทันเลยแม้แต่เส้นผม
เอาอีกแล้ว นี่เราห่างชั้นกันถึงขนาดไม่เห็นการเคลื่อนไหวสักนิดเลยเหรอ ฟรานใช้โล่มานาป้องกันทุกทางต่อให้จะเสียมานาไปมากแต่ก็ไม่มีทางเลือกนัก
“ล้มเลิกความคิดเถอะครับท่านผู้กล้า”
เมโลนโผล่มาด้านหลังผ่านโล่มานาเข้ามาประชิดตัวและเตะเข้าที่สีข้าง
“แม้ท่านจะมีศักยภาพสูงที่สุดแต่ในตอนนี้ก็ยังอยู่แค่เลเวลเจ็ด”
พอฟรานจะสวนกลับเมโลนก็หายไปจากสายตาและโผล่มาอีกด้านแล้วชกเข้าที่ท้องอีกหนึ่งครั้ง
“ถ้าท่านอยู่ในกรอบก็จะพัฒนาฝีมือจนสามารถต่อกรกับจอมมารได้”
คราวนี้ฟรานโดนชกเข้าที่หน้าจนเสียหลักล้มและจังหวะนั้นเมโลนก็เตะเสยเข้าที่คางซ้ำไปอีก
“แต่หากท่านออกนอกกรอบแล้วไปเจอกับภัยอันตรายที่รับมือไม่ได้ทุกอย่างก็จะจบ”
แต่คราวนี้ฟรานยกมือรับหมัดของเมโลนได้ทันทำให้เขาตกใจตาโตทึ่งในการปรับตัวของผู้กล้า
“ฟังดูก็มีเหตุผล...แต่ฉันก็จะไปอยู่ดี” ฟรานชักดาบเทพประทานและเตรียมมานาพร้อมฟาดฟัน
“ทำไมถึงดื้อด้านขนาดนี้ครับ...” ระหว่างนั้นก็มีออร่ามานาแพร่ขยายมาจากด้านหลังที่แม้แต่เมโลนก็ยังขนลุก
ชายในชุดซอมซ่อเหมือนคนไร้บ้านยืนมองอย่างห้าวหาญ เพราะหมวกปีกกว้างที่ใส่อยู่ทำให้เห็นหน้าไม่ชัดและยังคาบกิ่งไม้แทนบุหรี่อีกต่างหาก
“รังแกเด็กแล้วมีความสุขมากไหม?” เสียงของเขาดังสะท้านเข้าไปในอกราวกับพึ่งโดนนักมวยรุ่นใหญ่ชก
ตาลุงนั่นมันคนที่มาช่วยเมื่อตอนนั้นนี่ ฟรานค่อย ๆ เดินถอยห่างอาศัยจังหวะที่เมโลนกำลังสนใจชายคนนั้นอยู่
“ใครอีกล่ะเนี่ย? เผยใบหน้าและชื่อเสียงเรียงนามมาซะ”
ชายคนนั้นยิ้มในหน้าดูน่าขนลุกไม่แพ้มานาที่เขาแสดงให้เห็น
“ลองเดาดูสิ” เขาถอดหมวกเอามานาบที่อกเผยให้เห็นใบหน้าเต็ม ๆ
“คิดว่าจะมุดหัวหนีหัวซุกหัวซุนแต่กลับโผล่มาให้เห็นเลยเนี่ยนะ จอมมารแห่งดาบ”
ตาลุงนั่นคือจอมมารแห่งดาบเหรอ ฟรานมองดูอีกครั้งเหมือนไม่เชื่อในสายตาตัวเอง
“ลองเดาดูสิ” ด้วยท่าทางใจเย็นและคำพูดที่เหมือนตั้งใจกวนประสาททำให้เมโลนหันดาบไปหาจอมมารทันที
“ถ้าสามารถกำจัดแกได้ฉันต้องได้รับคำชมจากท่านผู้นั้นแน่ ๆ”
“ถ้าทำได้นะ”
เมโลนไปโผล่ด้านหลังและฟาดดาบมานาใส่จอมมารแห่งดาบทันที และในที่สุดฟรานก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเมโลน
ประตูมิติเนี่ยนะ ความสามารถเหมือนกับยอซจอมมารแห่งการเดินทางไม่มีผิดเลย
ระหว่างนั้นฟรานก็ฉวยโอกาสกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าบินหนีไป
รอฉันก่อนนะกิจัง เธอยังคงเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าใกล้ความเร็วเสียง นอกจากใช้เวทมนตร์วายุก็ยังใช้เวทมนตร์เพลิงจุดระเบิดและเวทมนตร์วารีเพื่อลดอุณหภูมิตัวเองไปด้วย เวทมนตร์หลากหลายชนิดถูกใช้ผสมผสานกันเป็นอย่างดีแต่มานาของเธอก็ค่อย ๆ ลดลงเหมือนจะไปไม่ถึงฝั่ง
ฟรานลดระดับความสูงลงแล้วใช้ตรวจจับตลอดเส้นทางเพื่อหาดันเจี้ยนในทะเลอันกว้างใหญ่ เมื่อเจอทางเข้าดันเจี้ยนเธอก็จะเข้าไปกวาดล้างและสูบเลือดเนื้อเพื่อฟื้นฟูมานาให้ไวที่สุดแล้วจึงเดินทางต่อทันที
ระหว่างนั้นเมโลนที่ได้ปะทะกับจอมมารแห่งดาบก็ได้รับรู้ความจริงของสิ่งที่เรียกว่าจอมมาร เขาถูกคมดาบฟันเป็นแผลเต็มตัวแต่ก็ไม่ถึงตายเหมือนเป็นความตั้งใจของจอมมารแห่งดาบเสียเอง
“ทำไม...ถึงไม่ฆ่าล่ะ?” เมโลนยิ้มถามขณะที่หายใจถี่เพราะใช้แรงทั้งหมดจนเกือบหายใจไม่ทัน
“เมโลนผู้ข้ามผ่าน…”
“รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ? ถ้าไม่ใช่คนของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่น่าจะรู้ชื่อเต็มของฉันนี่”
“อิสคาผู้หลงเหลือ ยูผู้สังเกต อัลอัสผู้ปลอบประโลม โมมัสผู้หลบหนี มัดธาผู้สังหาร บาโธผู้ปกปัก ลิฟฟ่าผู้แสวงหา ดับดันผู้หยิบยืม ยอกอผู้แบ่งปัน กายอผู้รวบรวมและเซโมผู้พิพากษา”
เมโลนจ้องมองตาไม่กะพริบและยิ่งได้ยินชื่อเหล่านั้นเอ่ยออกมามันก็ยิ่งทำให้เขาสั่นกลัวจนพูดไม่ออก
“ปะ...เป็นไปไม่ได้ คนนอกไม่มีทางรู้ชื่อเต็มของพวกเราแน่ ๆ”
“อย่ากังวลไปเลย ตอนนี้ฉันยังไม่ฆ่านายหรอก” เขาเก็บดาบเข้าฝักแล้วหันหลังเดินหายไปปล่อยให้เมโลนรักษาตัวเองต่อไป
เมโลนหัวเราะหลังจากคิดทบทวนในหัวว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสู้กับจอมมารได้
เจ้านั่นมันฟันตั้งแต่ที่เรายังเปิดประตูไม่เสร็จด้วยซ้ำ เป็นการตรวจจับและความเร็วที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ แต่ก็ยังมีอะไรแปลก ๆ อยู่ ทำไมพอตรวจสอบดูเจ้านั่นถึงอยู่แค่เลเวลแปดทั้ง ๆ ที่มันควรจะก้าวข้ามเลเวลเก้าไปแล้ว มีเรื่องให้ไปรายงานท่านผู้นั้นเยอะเลยแฮะ
เมโลนกำมือแน่นฝืนทนความเจ็บปวดเพื่อลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ที่สำนักมนตร์ดำเหลือแค่ผู้ตรวจการกับคนจากศูนย์อีกสองคน พวกเขายังพยายามพูดคุยกันให้มากที่สุดหวังให้จบเรื่องกันก่อนจะได้นองเลือด
“ช่วยตอบให้ดีด้วยนะครับ ทำไมถึงทำร้ายพวกเรา...หรือทรยศสำนักมนตร์ดำไปแล้ว” เบลแฮมยกดาบขึ้นมาตรงหน้าเตรียมพร้อมฟาดฟัน
“ฉันก็ตอบไปแล้วไง ก็แค่เบื่อกับชีวิตในตอนนี้แล้ว”
พอผู้ตรวจการพูดจบเบลแฮมก็พุ่งเข้าใส่และเหวี่ยงดาบฟันตรง ๆ เป็นการหยั่งเชิงก่อน ผู้ตรวจการใช้มือเสริมกำลังชกสวนกลับเพื่อวัดกำลังกันแต่สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายโดนดันถอยกลับมาเอง
“ในเมื่อเบื่อชีวิตแล้วพวกเราก็จะช่วยส่งไปปรโลกแล้วกัน”
คราวนี้ผู้ตรวจการเป็นฝ่ายบุกเข้าไปเอง แม้จะดูเป็นการพุ่งใส่ตรง ๆ แต่เขาก็ยังยกมือตั้งการ์ดตลอดเวลาไม่เห็นช่องโหว่จากด้านหน้าเลยสักนิดเดียว
เบลแฮมเหวี่ยงดาบฟาดฟันปะทะกับการออกหมัดอันรวดเร็วของผู้ตรวจการ แต่ระหว่างนั้นฟาเดย์ก็มองเห็นช่องโหว่จึงยิงกระสุนมานาใส่ซึ่งมันก็ทะลุเสริมกำลังเข้าที่ขาขวาได้สำเร็จ
“ยอมจำนนเสียเถอะคุณลุง” เมื่อผู้ตรวจการเสียหลักจนก้าวขาพลาดมันก็ทำให้เบลแฮมมีโอกาสตอบโต้กลับ เขาใช้เวทมนตร์วารีพัดเข้าหาผู้ตรวจการเพื่อบดบังทัศนวิสัยแล้วฟาดดาบผ่านคลื่นน้ำเข้ามาพอดี
ต่อให้มองไม่เห็นวิถีดาบแต่ผู้ตรวจการก็รู้ทิศทางจากมานาได้จึงสร้างโล่วายุยื้อไว้แล้วเคลื่อนตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็วเพื่อชกใส่เบลแฮมที่กำลังเพ่งสมาธิไปกับการเหวี่ยงดาบ
หมัดของผู้ตรวจการทะลุการป้องกันตรงเข้าไปที่สีข้างแต่ก่อนที่หมัดจะถึงตัว ฟาเดย์ก็ได้ยิงกระสุนมานาสกัดไว้ได้ทันจากนั้นเบลแฮมก็ฟันเฉียงหนึ่งครั้งต่อด้วยการหมุนตัวตามแรงเหวี่ยงและฟันซ้ำไปอีกหนึ่งครั้งจนผู้ตรวจการต้านทานไม่ไหว
“เห็นหรือยังล่ะ...คุณผู้ตรวจการ ที่สำนักมนตร์ดำยังอยู่มาถึงตอนนี้ได้ก็เพราะมีพวกเราคอยช่วยเหลือ แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ? หรือเป้าหมายของแกก็คือทำลายความสัมพันธ์ของพวกเรา”
เบลแฮมยังคงบุกทะลวงเข้าไปไม่หยุดยั้ง ส่วนผู้ตรวจการที่ได้รับบาดเจ็บทั้งตัวโดยเฉพาะขาที่ทำให้การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วที่เป็นข้อดีของตนเองถดถอยลง
“ดิ้นรนเข้าไปสิ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตให้คุ้มค่าซะ ถ้าหากคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน...ฉันอาจจะช่วยฆ่าให้แบบไม่เจ็บปวดมากก็ได้”
“พอเห็นเพื่อนตายก็เลยเป็นแบบนี้สินะ” ผู้ตรวจการใช้เวทมนตร์วายุสร้างเป็นกำแพงรอบตัวและค่อย ๆ ขยายขอบเขตเพื่อดันเบลแฮมออกไป
“ไอ้พวกสำนักมนตร์ดำจะไปรู้สึกอะไรเล่า ! ฉันอ่านรายงานของสำนักแกมานักต่อนักและการฆ่าฟันกันเองเพื่อไต่เต้าก็เป็นเรื่องปกติ ทั้งเพื่อนทั้งครอบครัวไม่เคยมีอยู่ในหัวของพวกแกอยู่แล้วนี่”
ฟาเดย์ยิงกระสุนมานาเจาะกำแพงวายุเป็นจังหวะเดียวกับที่เบลแฮมพุ่งเข้าฟันซ้ำไปที่ร่องรอยของฟาเดย์ การฟันที่เสริมทั้งมานาและพละกำลังเข้าไปทำให้กำแพงวายุพังทลายลง
“ฉันเข้าใจ” ผู้ตรวจการตั้งท่ารออยู่แล้ว เขาเอี่ยวแขนสุดแล้วชกปะทะกับคมดาบของเบลแฮม
หมัดที่ทุ่มแรงและมานาจำนวนมากทำให้ได้ผลักเบลแฮมกระเด็นออกไปทันที เมื่อเขาเคลื่อนไหวได้ช้าลงก็เลยต้องใช้มานาช่วยเสริมพละกำลังและเสริมความเร็วเพื่อกลบจุดด้อยนั้น
“ยังมีแรงเหลืออยู่อีกแฮะ” เบลแฮมกลับมาตั้งหลักได้และกระโจนเข้าหาทันทีไม่ให้ผู้ตรวจการมีเวลาพัก
ผู้ตรวจการสร้างกำแพงวายุอีกครั้งแต่คราวนี้ฟาเดย์ได้ยิงกระสุนมานาขัดจังหวะการรวบรวมมานา สุดท้ายผู้ตรวจการก็ต้องรับดาบของเบลแฮมด้วยเสริมกำลังที่ถุงมือเท่านั้น ดาบนั้นได้ฟันทะลุเสริมกำลังและผ่ามือของผู้ตรวจการเป็นสองซีกแต่อย่างน้อยก็ยังเหลือมืออีกข้าง
“ดิ้นรนอีกสิวะ !” เบลแฮมถีบให้ล้มแทนที่จะใช้ดาบปลิดชีพเพื่อให้ผู้ตรวจการอยู่อย่างทรมานต่อ
“ร้องครวญครางออกมาซะ !” คราวนี้เขาเตะเสยคางแล้วกระทืบซ้ำ ๆ โดยเฉพาะมือข้างที่ฉีกขาด
“แกใช้ชีวิตด้วยการคร่าชีวิตผู้คนมานับไม่ถ้วนแต่กลับมาช่วยเจ้าพวกนั้นเนี่ยนะ อย่างน้อยถ้าไม่ล้ำเส้นคนของฉัน เราก็จะแค่รายงานติเตียนไปเฉย ๆ”
ผู้ตรวจการดีดตัวลุกขึ้นมาและใช้มือที่เละไปแล้วเหวี่ยงใส่เหมือนเป็นหมัดหลอก จากนั้นเขาก็ปล่อยหมัดจริง ๆ แต่แทนที่จะชกเบลแฮมเขากลับเล็งไปหาฟาเดย์ที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตรแทน
หมัดนั้นได้ปล่อยคลื่นมานาอัดกระแทกตัวฟาเดย์ออกไป แต่ระหว่างนั้นเบลแฮมก็ได้ยกดาบฟันไปที่แขนของผู้ตรวจการ จังหวะเดียวกันผู้ตรวจการก็ใช้เสริมกำลังและโล่มานาลดแรงปะทะพร้อม ๆ กับสะบัดเลือดจากมือเละ ๆ นั่นใส่ตาเบลแฮมเพื่อเปิดโอกาสสวนกลับ
ผู้ตรวจการหมุนตัวเตะสกัดขาทำให้เบลแฮมเสียหลักและวินาทีที่กำลังจะล้มก็มีหมัดเสยเข้าที่คางเหมือนเป็นการเอาคืนที่โดนเมื่อกี้
“ถ้าหากฉันรู้ตัวเร็วกว่านี้ก็คงดี” หลังจากเสยคางไปหนึ่งครั้ง ผู้ตรวจการก็ได้กระโดดถีบและวิ่งตามไปอัดหมัดเข้าที่หน้าอีกครั้งแต่แรงและมานาของเขากลับเหลือน้อยจนไม่อาจจัดการเบลแฮมได้
“ไอ้แก่นี่ !” ฟาเดย์ยิงกระสุนมานาเข้ากลางหลังผู้ตรวจการพอดีและยังกระหน่ำยิงซ้ำไปเรื่อย ๆ ด้วยความโกรธเคือง
ผู้ตรวจการนอนนิ่งแต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่ เบลแฮมพลิกตัวเขาขึ้นมาเพื่อดูสภาพอันน่าสมเพชของชายชราผู้นี้
“สมกับเป็นผู้ตรวจการ สภาพดูไม่จืดแต่ก็ยังมีแรงสวนกลับได้อีกนะ” เบลแฮมยกดาบแทงลงไปที่ท้องเพื่อดูสีหน้าว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน
“ผู้ตรวจการสินะ” ชายแก่หัวเราะในลำคอแทนที่จะร้องครวญครางอย่างที่เบลแฮมต้องการ
พอยิ่งเห็นผู้ตรวจการหัวเราะเบลแฮมก็ยิ่งโมโหจนเส้นเลือดปูด เขายกดาบแทงไปเรื่อย ๆ จนตัวเป็นรูพรุน ไม่พอแค่นั้นเพราะเขาได้กระชากคอเสื้อผู้ตรวจการขึ้นมาเพื่อกระหน่ำชกหน้าและต่อด้วยเตะเข้าที่คางและหน้าไม่ยั้ง
“เด็กฝึก หมายเลขสิบ หมายเลขหนึ่ง มือขวา ผู้บริหาร ผู้ตรวจการ” ชายแก่บ่นพึมพำไปเรื่อยทำให้เบลแฮมคิดว่าเขาได้เสียสติไปแล้ว
“เวรเอ๊ย ! พอเห็นแบบนี้ก็ไม่รู้จะทรมานไปทำไมแล้ว” เมื่อพูดจบเบลแฮมก็ปักดาบลงตรงหัวใจของผู้ตรวจการ เขายืนมองดูลมหายใจที่ค่อย ๆ หายไป
"ไปกันเถอะหัวหน้าเบลแฮม เราต้องกลับไปรายงานเรื่องทั้งหมด" ฟาเดย์เดินล่วงหน้าไปก่อนเหลือเพียงเบลแฮมที่ยืนดูอยู่ตรงนั้น
จบแล้วสินะ อย่างน้อยไอ้ชีวิตเฮงซวยนี่ก็ช่วยเด็กพวกนั้นได้หนึ่งครั้ง เขายิ้มกว้างยินดีกับความตายของตนเองราวกับเป็นของขวัญจากสรวงสวรรค์
ขอร้องล่ะ จัดการโยฮันและลบวัฏจักรอันเลวร้ายของที่แห่งนี้ให้ทีเถอะ
ภาพของเด็กตัวน้อยกำลังวิ่งเล่นกันในลานกว้างได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง มันคือภาพที่ตัวเขาและเพื่อน ๆ กำลังสนุกกับชีวิตในสำนักโดยที่ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร
“ตั้งใจเรียนและคว้าตำแหน่งดี ๆ มาให้ได้นะ”
“ครับแม่ !” เด็กชายยิ้มกว้างตอบกลับทันที
“มาได้แล้วเจ้าสมองกล้าม พวกเราจะเล่นซ่อนหากันแล้วนะ” เด็กสาวคนหนึ่งควักมือและตะโกนเรียก เด็กชายตัวน้อยได้หันหลังมาโบกมือลาพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวิ่งไปเล่นกับเพื่อน ๆ
“มาแล้วสินะ...อาเวียน” รอยยิ้มของเด็กสาวทำให้อาเวียนเขินจนยิ้มตาม
[หมายเหตุจากผู้เขียน]
เนื่องจากต้องทำงานประจำและเตรียมสอบไปด้วยทำให้เวลาในการเขียนนิยายลดลงไปมาก แน่นอนว่าทางผู้เขียนจะไม่มีทางทิ้งเรื่องนี้เด็ดขาดต่อให้เขียนได้แค่เดือนละตอนก็จะยังเขียนต่อไป ต่อให้งานเขียนไม่มีคนอ่านหรือขายไม่ได้ก็จะเขียนต่อไป เพราะผลงานชิ้นนี้เป็นเรื่องที่อยากเขียนจริง ๆ ไม่ต้องห่วงเพราะเมื่อการสอบผ่านไปผู้เขียนก็จะกลับมาเขียนด้วยความเร็วปกติอีกครั้ง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 167
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น