บทที่ 422: จำเอาไว้ว่าท่านเป็นหนี้ชีวิตข้า

-A A +A

บทที่ 422: จำเอาไว้ว่าท่านเป็นหนี้ชีวิตข้า

ยามนี้รอยยิ้มในดวงตาของเซียวถังอี้ลึกซึ้งมากขึ้นขณะที่เขาตอบว่า “ตกลง เจ้าลองถามมาสิ แล้วข้าจะไม่โกหก”

พอมู่ไป๋ไป่ได้ยินว่าอีกฝ่ายเต็มใจที่จะตอบคำถาม เธอก็รู้สึกว่ามันผิดปกติมาก แต่เธอก็ไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญในครั้งนี้ไปจริง ๆ ดังนั้นเธอจึงสลัดความรู้สึกไม่แน่ใจทิ้ง

ถัดมา หญิงสาวถามออกไปช้า ๆ ว่า “คำถามแรก เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่?”

หากชายหนุ่มมีเหตุผลอันสมควรที่จะปลอมตัวเป็นจวงอี้หราน การที่เธอถามเขาออกไปตามตรงว่าเขาคือเซียวถังอี้หรือไม่ เขาไม่มีทางตอบอย่างแน่นอน

เธอจึงวางแผนคิดจะใช้วิธีการล้อมกรอบโจมตี

รอยยิ้มที่มุมปากของเซียวถังอี้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะลอบถอนหายใจในใจและตอบว่า “ใช่”

คำตอบที่ได้รับส่งผลให้ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกาย 

ฉันคิดถูก! 

ขณะที่เธอกำลังจะถามคำถามเพิ่มเติม เธอก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าเป็นสหายกับอวี้เซิ่งและพี่เซียว ข้ามักจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับแม่นางไป๋จากพวกเขา ข้ารู้จักแม่นางไป๋มานานแล้ว”

มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด และผุดลุกขึ้นด้วยความโมโห “เซียว— จวงอี้หราน ท่านโกงข้า! ท่านสัญญากับข้าแล้วว่าจะตอบคำถาม 3 ข้อนี้โดยไม่โกหก!”

นับตั้งแต่ที่หญิงสาวได้รู้ความจริงว่าจวงอี้หรานคือเซียวถังอี้ มันก็ทำให้เธอพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเองมากขึ้น

อีกทั้งเธอยังระบายอารมณ์ใส่ชายหนุ่มเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก

“แม่นางไป๋ ข้ากำลังพูดความจริง” เซียวถังอี้ยกยิ้มมุมปากมองมู่ไป๋ไป่ราวกับว่าท่าทางของนางตอนนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก “แม่นางไป๋ เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าข้ากำลังโกหก?”

“นี่ท่านกำลังเสแสร้งใช่หรือไม่?” หญิงสาวสงบสติลงหลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอรู้ว่าคนผู้นี้จะไม่มีทางพูดความจริง เธอจึงกลอกตาใช้ความคิดอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่ถามอะไรท่านอีกแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลา แต่วันนี้ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ตอบแทนข้าแล้ว”

“จวงอี้หราน จงจำไว้ให้ดีว่าท่านเป็นหนี้ชีวิตข้า!”

ในตอนนั้นเอง รอยยิ้มที่มุมปากของเซียวถังอี้ค่อย ๆ จางหายไป ขณะที่เขาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง “เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะตอบคำถามทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้”

ถ้อยคำที่เขาเอ่ยส่งผลให้หัวใจของมู่ไป๋ไป่เต้นระรัว เธอเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีดำสนิทที่มีเสน่ห์ของชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว

เมื่อก่อนตอนที่เซียวถังอี้สวมหน้ากาก เธอรู้สึกว่าดวงตาของผู้ชายคนนี้ดูสดใสน่ามอง และเธอก็คาดเดาในใจว่าดวงตาที่สวยงามคู่นั้นจะเป็นอย่างไรหากไม่มีหน้ากากบดบังใบหน้า

นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวใจเต้นแรงมากขึ้น และพอเธอรู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เธอก็รีบหันไปมองทางอื่นด้วยความขัดเขิน

“อะแฮ่ม…” มู่ไป๋ไป่ไอแห้ง ๆ เพื่อปกปิดความคิดของตัวเองก่อนจะพูดว่า “ท่านจำสิ่งที่ท่านพูดเอาไว้ให้ดี”

เซียวถังอี้ยิ้มโดยที่ไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็วางยา 2 ขวดเอาไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินออกไป

มู่ไป๋ไป่รอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของร่างสูงหายไปจากทางเดิน เธอจึงจะหยิบขวดยาบนโต๊ะขึ้นมาเปิดออกและดมกลิ่นมัน

“ฮึ ข้ายอมให้ก่อนหรอกนะ”

ขวดยานี้บรรจุยาสมุนไพรล้ำค่าสำหรับรักษาบาดแผลภายนอกเอาไว้

ในวังหลวงมีเพียงมู่เทียนฉงเท่านั้นที่จะใช้ของพวกนี้ได้

นี่น่าจะเป็นรางวัลที่ท่านพ่อของเธอประทานให้กับเซียวถังอี้

ในตอนที่มู่ไป๋ไป่คิดถึงชายหนุ่มปากแข็งที่ไม่ยอมรับตัวตนของตัวเอง แต่กลับเอายารักษาบาดแผลภายนอกที่มีเพียงในวังหลวงเท่านั้นออกมาให้เธอใช้โดยไม่ลังเล เธอก็รู้สึกถึงอารมณ์แปลก ๆ ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจ แต่เธอก็ไม่อาจอธิบายความรู้สึกนั้นได้

“ไป๋ไป่ เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!”

ในขณะที่หญิงสาวตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เสียงวิตกกังวลของเซียวถังถังก็ดังมาจากด้านนอก ก่อนที่เธอจะทันได้วางขวดยาในมือลง ประตูก็ถูกกระแทกเปิดออกเสียงดัง

จากนั้นคนเป็นศิษย์น้องก็พุ่งเข้ามาจับมือศิษย์พี่ใหญ่และลากออกไปด้านนอกอย่างเร่งรีบ “เซียวเซียวออกไปซื้อของข้างนอก จนป่านนี้แล้วนางก็ยังไม่กลับมา พี่รองของท่านเป็นห่วงจึงได้ส่งคนออกไปตามหานาง ผลก็คือเขาได้รู้มาว่าเซียวเซียวถูกคนของตระกูลเฉินลักพาตัวไป”

“ตระกูลเฉิน?” มู่ไป๋ไป่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในทันที แล้วเธอก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดขณะสาวเท้าเดินตามอีกฝ่ายลงไป “พี่รองของข้าอยู่ที่ไหน เราต้องไปห้ามเขาเอาไว้!”

“ข้าห้ามไม่ไหว!” เซียวถังถังพูดพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผากตัวเอง “ถ้าข้าห้ามเขาได้ ข้าคงไม่มาหาท่าน”

“เมื่อกี้ตอนที่พี่รองของท่านได้ยินว่าเซียวเซียวถูกจับตัวไป เขาก็รีบวิ่งออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ข้าจึงสั่งให้จื่อเฟิงกับคนอื่น ๆ ตามเขาไป แล้วข้าค่อยมาเรียกท่าน”

“เจ้าทำได้ดีมาก” มู่ไป๋ไป่มองศิษย์น้องด้วยสายตาชื่นชม

“แหะ ๆ …” เซียวถังถังยิ้มขัดเขินก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงเปลี่ยนมาทำหน้าจริงจังขณะถามว่า “ไป๋ไป่ ท่านรู้สถานการณ์ของตระกูลเฉินหรือไม่?”

“พวกเราเดินทางมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ปกติเซียวเซียวก็ไม่เคยออกไปไหนเลยนอกจากไปทำธุระตามที่ท่านสั่ง แล้วนางจะออกไปก่อเรื่องได้อย่างไรกัน?”

คราวนี้เป็นฝ่ายมู่ไป๋ไป่ที่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อถูกถามเช่นนี้ เธอก็หัวเราะแห้ง ๆ และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ให้ศิษย์น้องฟัง

“พูดตรง ๆ ก็คือเป็นข้าเองต่างหากที่ก่อปัญหา”

หากเมื่อวานเธอไม่ไปเรียกหลัวเซียวเซียวว่า ‘พี่สะใภ้รอง’ ต่อหน้าคุณหนูเฉิน เธอคงจะไม่ทำให้อีกฝ่ายหึงหวงจนก่อเรื่องวุ่นวายแบบนี้ แต่ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น ตอนนั้นเรื่องก็คงไม่มีทางจบลงง่าย ๆ 

ทว่าหญิงสาวไม่คาดคิดว่าคุณหนูเฉินยังไม่ยอมรามือจากมู่จวินเซิ่งกับหลัวเซียวเซียวและก่อเรื่องในวันนี้ขึ้น มันจึงทำให้เธอปวดหัวตุบ ๆ กับผลที่ตามมา

“เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เซียวถังถังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่ไม่ว่าคุณหนูเฉินจะริษยาคนอื่นมากแค่ไหน นางก็ไม่ควรทำเช่นนี้ ผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนพบเจอผู้ชายบนท้องถนนแล้วไปบังคับให้เขาแต่งงานกับตัวเอง คนแบบนางเหมาะสมแล้วหรือที่จะมาแต่งงานกับพี่รองของท่าน?”

ตระกูลเฉินถือว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองแห่งนี้ ระหว่างทางมู่ไป๋ไป่ได้เลือกถามคนที่เดินอยู่ตามท้องถนนว่าจวนตระกูลเฉินอยู่ที่ไหน แล้วเธอก็พาศิษย์น้องมุ่งหน้าไปที่นั่นทันที

ปัจจุบันประตูด้านหน้าจวนตระกูลเฉินเปิดกว้าง ที่นั่นไม่มีคนรับใช้รอต้อนรับแขกเลย ซึ่งมันดูเงียบผิดปกติ

หญิงสาวรู้สึกว่ามันแปลก ๆ จึงหันไปสบตากับเซียวถังถัง

ต่อมา ทั้ง 2 คนเดินเข้าประตูไปจนถึงลานด้านหน้า ตลอดจนถึงห้องโถงกลาง แต่พวกเธอก็ยังไม่พบใครแม้แต่คนเดียว

“ไป๋ไป่ เกิดเรื่องกับตระกูลเฉินแล้ว” เซียวถังถังขยับเข้าไปใกล้ศิษย์พี่ใหญ่ด้วยความหวาดกลัว “ทำไมเราเดินเข้ามาตั้งนานกลับไม่เจอใครอยู่เลย เหมือนกับว่าที่นี่เป็นจวนร้าง หรือว่าคนที่บอกทางเราเมื่อกี้กำลังหลอกเรากันแน่?”

“น่าจะไม่ใช่” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วและยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย “เจ้าพกแส้ว่านกู่ของข้ามาด้วยใช่หรือไม่? ส่งมาให้ข้า”

เซียวถังถังรีบหยิบแส้ว่านกู่ออกมาจากเอวแล้วส่งไปให้เจ้าของ “ไม่สมเหตุสมผลเลย ฟังจากที่ท่านพูด ตระกูลเฉินเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ ดังนั้นภายในจวนไม่ควรมีสภาพเป็นเช่นนี้”

“ถ้าคนที่บอกทางพวกเราเมื่อกี้ถูกคนของตระกูลเฉินจัดเตรียมเอาไว้ให้คอยบอกทางมั่ว ๆ กับพวกเราเพื่อที่จะถ่วงเวลาในการตามหาพี่รองของท่านกับเซียวเซียวล่ะ เราจะทำอย่างไร?”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็มีอิทธิพลมากถึงได้เตรียมจวนใหญ่โตให้ว่างเปล่าได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้” มู่ไป๋ไป่เอ่ยแย้งความคิดของศิษย์น้อง

“เจ้าดูผังของเรือนหลังนี้สิ มันงดงามมาก แค่มองประเดี๋ยวก็รู้แล้วว่ามีคนอาศัยอยู่ที่นี่ แสดงว่าเรือนหลังนี้ไม่ได้ร้างมาก่อน เพียงแต่ว่ามันร้างก่อนที่เราจะมาถึงเพียงเท่านั้น”

ขณะนั้นจู่ ๆ ก็มีเสียงลมพัดหวีดหวิวดังมาจากข้างหลัง หัวใจของมู่ไป๋ไป่หล่นไปอยู่ตาตุ่มทันที เธอใช้มือข้างหนึ่งพยายามปกป้องเซียวถังถังเอาไว้และฟาดแส้ว่านกู่ในมือขวาออกไป

เสียงคมชัดดังแหวกอากาศก่อนจะปะทะเข้ากับบางอย่าง

“แม่นางไป๋ ไม่ได้เจอกันนานเลย” ชายคนนั้นรับการโจมตีได้อย่างแม่นยำแล้วปล่อยแส้ลงสู่พื้น ก่อนจะหันมายิ้มให้มู่ไป๋ไป่

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: แหมมม พ่อคนปากแข็ง ว่าแต่คนที่โผล่มาตอนท้ายคือใครกันนะ!

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.