ตำนาน "ซานตาคลอส" คุณลุงชุดแดง ผู้นำของขวัญไปมอบให้กับเด็กๆ ในวันคริสต์มาส ที่เราทุกคนต่างรู้จัก
เมื่อพูดถึงคริสต์มาส ภาพหนึ่งที่มักจะลอยมาในใจของผู้คนทั่วโลกคือชายแก่หนวดขาว ใส่เสื้อคลุมสีแดง มีเสียงหัวเราะ "โฮ่ โฮ่ โฮ่" ขี่เลื่อนกวางเรนเดียร์แจกของขวัญให้เด็กดี นั่นก็คือซานตาคลอส แต่เบื้องหลังภาพจำที่ดูอบอุ่นนี้ กลับมีเรื่องราวหลากหลาย ทั้งจากประวัติศาสตร์ ตำนานทางศาสนา ไปจนถึงความเชื่อพื้นบ้านในหลายวัฒนธรรมที่ผสานกันจนกลายเป็นบุคคลหนึ่งเดียวในใจคนทั้งโลก
จุดเริ่มต้นจากนักบุญนิโคลัส
ต้นแบบของซานตาคลอสมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ คือ “นักบุญนิโคลัส” (Saint Nicholas) ซึ่งเป็นบาทหลวงชาวกรีกที่อาศัยอยู่ในเมืองไมรา (Myra) บนแผ่นดินที่ปัจจุบันคือประเทศตุรกี ในช่วงศตวรรษที่ 4 นักบุญนิโคลัสมีชื่อเสียงในด้านความใจดีและเมตตาต่อผู้ยากไร้ โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ มีเรื่องเล่าว่าเขาเคยช่วยครอบครัวหนึ่งที่ยากจนมากจนต้องขายลูกสาวเป็นทาส ด้วยการแอบใส่ทองลงในถุงเท้าที่แขวนไว้เหนือเตาผิงในเวลากลางคืน เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นของธรรมเนียมการแขวนถุงเท้าในวันคริสต์มาสนั่นเอง
การเปลี่ยนผ่านจากนักบุญสู่ซานตาคลอส
แม้ Saint Nicholas จะเป็นนักบุญในศาสนาคริสต์ แต่เมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคปฏิรูปศาสนา ชื่อเสียงของนักบุญหลายคนถูกลดบทบาทลง อย่างไรก็ตาม ความนิยมในตัว Saint Nicholas กลับถูกสืบทอดผ่านวัฒนธรรมพื้นบ้านในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีการเรียกเขาว่า “ซินเตอร์คลาส” (Sinterklaas) และจัดขบวนพาเหรดในเดือนธันวาคมทุกปี
ในศตวรรษที่ 17 เมื่อชาวดัตช์อพยพไปยังอเมริกา พวกเขานำความเชื่อเรื่อง Sinterklaas ไปเผยแพร่ที่นั่นด้วย คำว่า “Sinterklaas” จึงค่อย ๆ ถูกแปรเปลี่ยนในภาษาอังกฤษเป็น “Santa Claus” กลายเป็นชื่อที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน
ซานตาคลอสในสหรัฐอเมริกา: การออกแบบบุคลิกสมัยใหม่
ภาพจำของซานตาคลอสในแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากบทกวีชื่อ A Visit from St. Nicholas หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า The Night Before Christmas เขียนโดย Clement Clarke Moore ในปี ค.ศ. 1823 ซึ่งเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชายผู้ใจดี ใส่ชุดขนสัตว์ นั่งรถเลื่อนที่ลากด้วยกวางเรนเดียร์ทั้ง 8 ตัว นำของขวัญมาให้เด็ก ๆ ในคืนก่อนวันคริสต์มาส
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 20 ภาพลักษณ์ของซานตาคลอสถูกเติมเต็มและตอกย้ำผ่านโฆษณาของบริษัทโคคาโคล่า ที่ว่าจ้างศิลปิน Haddon Sundblom ให้วาดภาพซานตาในชุดแดงสดสดใส รูปร่างอวบอ้วน ใบหน้าอ่อนโยน เพื่อใช้ในโฆษณาช่วงปลายปีตั้งแต่ปี 1931 เป็นต้นมา ภาพเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบให้กับซานตาคลอสในวัฒนธรรมสมัยใหม่ทั่วโลก
ความเชื่อเกี่ยวกับซานตาคลอสในแต่ละวัฒนธรรม
แม้ซานตาคลอสจะกลายเป็นสัญลักษณ์ร่วมของคริสต์มาสในระดับโลก แต่ในแต่ละวัฒนธรรมยังคงมีการตีความและเล่าเรื่องซานตาแตกต่างกันไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสีสันและรากทางวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่
- เนเธอร์แลนด์
Sinterklaas ถือเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนา เขาเดินทางจากสเปนมาถึงเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี พร้อมกับผู้ช่วยชื่อ “Zwarte Piet” หรือ Pete ผิวดำ ซึ่งคอยแจกขนมให้เด็กดี และตักเตือนเด็กที่ไม่เชื่อฟัง เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงในยุคใหม่ว่าแฝงการเหยียดผิว แต่ยังคงเป็นประเพณีสำคัญของชาวดัตช์จนถึงปัจจุบัน
- เยอรมนี
ในเยอรมนีมีการแบ่งบทบาทของซานตาคลอสออกเป็นหลายตัวตน เช่น “St. Nikolaus” ซึ่งมาแจกของในวันที่ 6 ธันวาคม และ “Weihnachtsmann” หรือ “ชายคริสต์มาส” ที่มักมีลักษณะคล้ายซานตาคลอสแบบอเมริกัน และมาเยี่ยมเด็กในคืนวันที่ 24 ธันวาคม โดยบางพื้นที่ยังมี “Krampus” สิ่งมีชีวิตหน้าตาน่ากลัวที่มากับไม้เรียว คอยลงโทษเด็กซน
- นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์
ประเทศแถบสแกนดิเนเวียเชื่อว่าซานตาคลอส (ที่เรียกว่า “Joulupukki” ในฟินแลนด์) อาศัยอยู่ในภูเขาทางเหนือ หรือบางแห่งเชื่อว่าอยู่ใน Lapland เขตหนาวทางตอนเหนือของฟินแลนด์ ซานตาของที่นี่จะมีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับนักบวชสูงวัย ใส่ชุดคลุมหนา มีลักษณะใจดีและเคร่งขรึม บางพื้นที่ยังมีตำนาน “Tomte” หรือ “Nisse” ซึ่งเป็นภูติจิ๋วใจดีที่แอบช่วยงานในบ้านช่วงคริสต์มาส
- อิตาลี
เด็กอิตาลีไม่ได้รอซานตาคลอส แต่รอ “La Befana” หญิงชราบินไม้กวาดที่มาแจกขนมให้เด็กดีในคืนวันที่ 5 มกราคม ตามตำนาน เธอเคยปฏิเสธที่จะเดินทางไปเยี่ยมพระเยซูกับนักปราชญ์สามคน แล้วมาเสียใจภายหลัง เธอจึงเดินทางแจกขนมให้เด็กทั่วโลกเพื่อตามหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
- สเปน
เด็กชาวสเปนจะรอของขวัญจาก “สามกษัตริย์” หรือ “Los Reyes Magos” มากกว่าซานตาคลอส โดยจะได้รับของขวัญในวันที่ 6 มกราคม วันฉลอง Epiphany ซึ่งเป็นวันที่เชื่อว่าเหล่านักปราชญ์เดินทางไปพบพระเยซูเป็นครั้งแรก เด็ก ๆ จะเขียนจดหมายถึงกษัตริย์ทั้งสามแทนซานตา
- ญี่ปุ่น
แม้ญี่ปุ่นจะไม่ใช่ประเทศคริสเตียน แต่วันคริสต์มาสกลายเป็นเทศกาลแห่งความสุขและความรัก โดยซานตาคลอสเป็นสัญลักษณ์ของการให้และการใช้เวลากับครอบครัว ในวัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นยังมี “ซานต้าญี่ปุ่น” หรือ “ฮอตโตะเคะ” (Hotoke-San) ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ผสานความน่ารักและคาแร็กเตอร์แบบญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน แม้ไม่มีรากศาสนา แต่มีความหมายทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง
- ประเทศไทย
ในประเทศไทย ซานตาคลอสไม่ได้ถูกฝังรากในศาสนาหรือวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลปลายปีที่สื่อถึงความสุข การให้ และความอบอุ่น จึงไม่แปลกที่โรงเรียน ร้านค้า หรือแม้แต่วัดบางแห่ง จะมีการจัดกิจกรรมรับซานตาคลอสมาแจกของขวัญให้เด็ก ๆ เพื่อสร้างรอยยิ้มและเชื่อมโยงคนในชุมชนเข้าด้วยกัน
ซานตาคลอสในยุคสมัยใหม่
ในโลกปัจจุบัน ซานตาคลอสไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของศาสนา แต่กลายเป็นไอคอนทางวัฒนธรรมที่หลอมรวมความเชื่อหลากหลาย พร้อมทั้งถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการตลาดอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม สำหรับเด็ก ๆ ซานตาคลอสยังคงเป็นตัวแทนของความหวัง ความมหัศจรรย์ และความเชื่อที่ว่า สิ่งดี ๆ จะมาถึงเสมอเมื่อเราทำดี
แม้จะมีคำถามอยู่บ่อยครั้งว่าซานตาคลอสมีอยู่จริงไหม คำตอบอาจไม่ได้สำคัญเท่าความหมายที่เขามอบให้กับโลก ความสุขเล็ก ๆ ในวันสิ้นปี รอยยิ้มของเด็ก ๆ และโอกาสที่ผู้ใหญ่จะกลับไปเชื่อในความมหัศจรรย์อีกครั้งหนึ่ง
สรุป: จากบุคคลจริง สู่ตำนาน และกลายเป็นพลังแห่งความหวัง
เรื่องราวของซานตาคลอสเริ่มต้นจากบุคคลที่มีเมตตา กลายเป็นตำนานทางศาสนา แล้วแปรเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ ความหลากหลายของซานตาในแต่ละประเทศไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาแยกออกจากกัน กลับยิ่งสะท้อนความเป็นมนุษย์ที่รักการให้ และเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น
สุดท้าย ไม่ว่าซานตาคลอสจะอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ สเปน ลาปแลนด์ หรือในจินตนาการของเด็กไทย เขาก็ยังคงเดินทางผ่านคำบอกเล่า วัฒนธรรม และรอยยิ้มในคืนคริสต์มาสทุกปี
อ้างอิงรูปภาพ
- 👁️ ยอดวิว 76
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น