STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 37 เด่นโดด
แปดปีผ่านไป พวกโยฮันได้ไต่เต้าจนมาถึงหมายเลขหนึ่งหลักซึ่งด่านต่อไปต้องเอาชนะมือขวาของผู้บริหาร
“ถ้าวันนี้เราเอาชนะมือขวาได้ พวกเราก็คงต้องแยกกันไปเติบโตแล้วสินะ” เซรอนนั่งนิ่งพลางมองดาบในฟักที่กำลังจะเอาไปประลองกับมือขวาของผู้บริหาร
“สบาย ๆ น่า พวกเราก็แค่แยกไปทำงานเฉย ๆ ไม่ได้ไปตายที่ไหนสักหน่อย” บาย่าตบหลังเบา ๆ เพื่อปลุกขวัญกำลังใจ
“ฉันกลัวจะไปเจอพวกแปลกหน้าน่ะสิ ปกติพวกเราก็ไม่ค่อยกินเส้นกับกลุ่มอื่นอยู่แล้วและถ้าเราแยกกันก็คงหาคบคนที่ไว้ใจไม่ได้อีกแล้ว”
“ก็แค่แสดงอำนาจให้พวกมันสยบใต้เท้าก็จบแล้ว” โยฮันตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างหนักแน่น
“แหม ดุดันจริง ๆ” อาเวียนยิ้มเยาะชอบใจกับคำตอบของโยฮัน
“ช่วยอ่อนโยนแล้วก็ลดการใช้กำลังลงสักหน่อยเถอะ พวกนายเอาแต่จะพุ่งชนจนเหมือนวัวควายไปแล้วเนี่ย” มิร่าขมวดคิ้วจ้องหน้าโยฮันกับอาเวียนจนพวกเขาต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาแทน
เจ้าสำนักที่ไร้การติดต่อไปนานตอนนี้เขากลับมายืนอยู่ตรงหน้าเพื่อเป็นคนดูแลการประลองในครั้งนี้
“อีกแค่นิดเดียวพวกนายก็จะขึ้นมายืนเคียงข้างฉันได้แล้ว อีกไม่กี่ปีพวกนายอาจจะชนะฉันแล้วขึ้นมาเป็นเจ้าสำนักก็ได้”
“ผมจะทำให้ได้” โยฮันจ้องตาเขม็งอยากจะเอาชนะเป้าหมายตรงหน้าให้ได้
หลังจากเตรียมสถานที่เรียบร้อยพวกเขาก็เริ่มการประลองทีละคู่ แต่ทุกอย่างกลับเหนือความคาดหมายเพราะพวกโยฮันเอาชนะมือขวาได้ทุกคู่เลย
“มาถึงเลเวลเจ็ดแล้วสินะ แต่หลังจากนี้ต่างหากล่ะที่เป็นของจริง” เจ้าสำนักนั่งไขว่ห้างดูมือขวาคนเก่าโดนสังหารอย่างเลือดเย็น
พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว ภารกิจมากมายที่ได้ทำตั้งแต่ตอนเป็นเด็กใหม่ไปจนถึงภารกิจยาก ๆ ของหมายเลขหนึ่งหลัก ภารกิจที่ทำตั้งแต่เก็บกวาดขยะไปจนถึงลอบสังหารขุนนางพวกเขาก็ทำมาหมดแล้ว
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกนายคือตำแหน่งมือขวาของผู้บริหาร ส่วนใครจะได้ไปทำงานที่สาขาไหนก็ให้ผู้บริหารเลือกเองแล้วกัน”
พอเจ้าสำนักพูดจบก็มีผู้บริหารโผล่ออกมาและหนึ่งในนั้นก็คือรุ่นพี่ลินน่าที่ไม่ได้เจอหน้ามานานเช่นกัน
“พอเห็นลูกศิษย์ได้ดีก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมาหน่อย ๆ เลยนะ”
พอพวกโยฮันหันมาเห็นก็กรูกันเข้ามาทักทายกันอย่างครึกครื้น
“พี่ลินน่ายังคงงดงามไม่เปลี่ยนแถมยังสวยขึ้นเยอะเลยนะคะ” มิร่ากล่าวชมไม่หยุดจนลินน่าเขิน
“ดูมัดกล้ามเนื้อพวกนี้สิ” บาย่าบีบคลำตามตัวไม่หยุดจนบางครั้งก็ทำลินน่าจักจี้แทน
ส่วนโยฮัน อาเวียนแล้วเซรอนเอาแต่มองอยู่ข้าง ๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้นัก
“นายเข้าไปทักก่อนสิ” เซรอนกระซิบและสะกิดแขนอาเวียน
“ไม่เอาหรอก ถ้าชายฉกรรจ์อย่างเราไปเกาะแกะกับสาวงามขนาดนั้นเดี๋ยวก็มีข่าวลือไม่ดีหรอก เราต้องเจียมตัวสักหน่อยสิ”
“เฮ้ย นั่นคืออาจารย์ลินน่าของเรานะ ใครมันจะมานินทาเสีย ๆ หาย ๆ กันวะ”
“ปกติพวกเราก็มีข่าวลือเรื่องเป็นเด็กเส้นอยู่แล้วนะ ทั้งตอนที่พี่ลินน่าสอนแล้วก็เจ้าสำนักชอบคุยเป็นการส่วนตัวด้วย”
“สุมหัวคุยอะไรกันอยู่ล่ะ?” จู่ ๆ ลินน่าก็ชะโงกหัวเข้ามากลางวงสนทนาเล่นเอาเกือบเหวี่ยงมีดสั้นใส่เสียแล้ว
“ก็แค่คุยเล่นกันตามประสาผู้ชายน่ะครับ”
“จริงหรือเปล่า?” ลินน่ายิ้มเลศนัยพยายามหยอกล้อพวกโยฮัน
พวกเขาพูดคุยกันสนุกสนานแบ่งปันประสบการณ์ของกันและกันจนกระทั่งเจ้าสำนักกระแอมคอขัดจังหวะ
“เราต้องเลือกมือขวาแล้วนะ เอาไว้ไปคุยกันต่อหลังจากเลือกเถอะ”
“โธ่ ท่านเจ้าสำนักใจร้อนจริง ผู้บริหารคนอื่นไม่เห็นจะบ่นอะไรเลย” แม้จะเป็นผู้บริหารเหมือนกันแต่พวกเขากลับสงบปากสงบคำเมื่ออยู่ต่อหน้าลินน่า
“เหอะ เมื่อไรเธอจะมาท้าประลองฉันอีกล่ะ เธอในตอนนี้น่าจะแซงหน้าฉันไปแล้วนี่”
“อืม...ฉันไม่อยากเป็นเจ้าสำนักน่ะสิ เจ้าสำนักต้องคอยบริหารจัดการทั้งงบประมาณและบุคลากร ก็แค่ไม่อยากไปทำอะไรยุ่งยากพวกนั้นน่ะ”
เจ้าสำนักกินจิถอนหายใจ “ให้ตายสิ ตามใจเธอเถอะ”
สุดท้ายพวกผู้บริหารก็ได้เลือกมือขวาของตนเองโดยที่ลินน่าเลือกเฟียร์เพราะอยากปั้นเธอให้แข็งแกร่งกว่านี้
“จากนี้ต้องแยกจากกันแล้วนะ” เซรอนยื่นมือออกมาด้วยท่าทางเขินอาย
“ถ้าฝืนขนาดนั้นไม่ต้องทำก็ได้” อาเวียนกล่าว
“มันคือสัญลักษณ์ของพวกเรานะ”
เพื่อน ๆ ต่างก็หัวเราะจนน้ำตาไหลก่อนจะวางมือซ้อนกันเช่นเคยรวมถึงลินน่าก็มาร่วมวงด้วย
“ฉันจะเป็นผู้บริหารให้ได้” อาเวียนกล่าว
บาย่ายิ้มกว้างจ้องหน้าผู้บริหารของตนเอง “ต้องฝึกให้มากกว่านี้”
“เป็นผู้บริหารเองเหรอ ฉันจะเป็นเจ้าสำนักให้ได้เลยต่างหาก” โยฮันยิ้มกรุ้มกริ่มจินตนาการไปไกลถึงตอนที่ตนเองเป็นเจ้าสำนัก
“ส่วนฉันจะเป็นเจ้าแห่งดาบ”
ทุกคนหันมองเซรอนด้วยความสงสัย “นั่นมันไม่ใช่ตำแหน่งในสำนักเรานะ”
“เอาเถอะน่า เจ้าแห่งดาบก็คือคนที่ใช้ดาบที่เก่งที่สุดนั่นแหละ”
“ส่วนฉัน...อยากเห็นโลกให้มากกว่านี้” มิร่ายิ้มเขินเพราะมันดูเป็นเป้าหมายที่แปลกกว่าใคร
สุดท้ายก็เหลือเฟียร์ที่อ้ำอึ้งพูดไม่ออกจนกระทั่งทุกคนยิ้มเป็นกำลังใจให้
“ฉันอยากสร้างเวทมนตร์ใหม่ ๆ”
เมื่อคำปฏิญาณและการประสานมือจบลง พวกเขาก็ออกเดินทางแยกย้ายไปกับผู้บริหารของตนเองมีเพียงแค่โยฮันที่ยังอยู่ที่สำนัก
เจ้าสำนักกินจิกอดคอเดินมากับผู้บริหารสาขาอาณาจักรคา “นี่เพื่อนฉันเองชื่อเมียส ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่เลือกโยฮันเพราะฉันอยากจะเห็นพัฒนาของนายมากกว่าใครเลยล่ะ”
“ถึงฉันจะรู้ว่านายสนใจเด็กกลุ่มนี้อยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็บังเอิญจริง ๆ นั่นแหละที่เลือกพ่อหนุ่มคนที่นายถูกใจมาพอดี” ผู้บริหารเมียสเอากำปั้นชนกับกินจิเป็นการล้ำลึกความหลัง
“หลังจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะครับ” โยฮันกล่าวทักทายผู้บริหารเมียสด้วยความสุภาพเรียบร้อย
“ไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอกเพราะเราจะเริ่มงานแรกกันเดี๋ยวนี้เลย” ผู้บริหารพาโยฮันไปที่ห้องทำงานส่วนตัวที่แม้แต่คนในสำนักก็ไม่รู้
ผู้บริหารเมียสยื่นเอกสารคำจ้างวานให้ทันทีที่ไปถึง
“อันดับแรกนายต้องไปทำงานที่ค้างไว้ของมือขวาคนเก่าให้เสร็จก่อน มันไม่ใช่คำจ้างวานที่ยากอะไรหรอก”
“ครับ” โยฮันตอบรับทันทีและมุ่งหน้าไปยังที่หมายของภารกิจนั้นซึ่งที่นั่นก็คือสำนักดาบเทพที่มี โจว ซีซวน เป็นเจ้าสำนัก
ภารกิจสอดแนมการเคลื่อนไหวของบุคลากรในสำนัก นับเป็นภารกิจที่ความยากง่ายขึ้นอยู่กับเป้าหมาย หากอีกฝ่ายมีคนใช้เวทมนตร์ตรวจจับระดับสูงก็คงเป็นไปไม่ได้แต่ดู ๆ แล้วก็คงไม่มี
โยฮันปีนต้นไม้สูงเพื่อสอดส่องเข้าไปในสำนัก เขาต้องอยู่แถวนั้นนานหลายวันเพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวและจดบันทึกจนกว่าจะรู้กิจวัตรประจำวันทั้งหมด
พอจดบันทึกการเคลื่อนไหวได้ละเอียดแล้วเขาก็กลับไปหาผู้บริหารเพื่อรายงานผลงาน
“ใช้เวลาแค่ห้าวันเองนะเนี่ย ปกติคนอื่นเขาเฝ้าดูกันสองสามสัปดาห์กว่าจะจดได้เยอะขนาดนี้” ผู้บริหารเมียสยิ้มแป้นหลังจากอ่านรายงานของโยฮัน
“เรื่องงานไว้ใจผมได้เลยครับ”
“แต่...ยังขาดรายละเอียดไปบ้างอย่างหน้าตากับทรงผมสีผม แต่ก็ช่างเถอะเพราะนายอธิบายการเคลื่อนไหวกับลักษณะการทำงานไว้หมดแล้ว”
“ขอโทษครับ”
“ไม่ต้องตึงเครียดขนาดนั้นก็ได้ งานที่นายทำมามันเกินพออยู่แล้ว” ผู้บริหารเก็บรายงานไว้แล้วยื่นเอกสารงานใหม่ให้ต่อ
“งานนี้ก็สอดแนมการเคลื่อนไหวอีกแล้วเหรอครับ? หรือว่าจะเป็นคนเดียวกันกับคำจ้างวานเมื่อกี้”
ผู้บริหารยิ้มมุมปากก่อนจะตอบกลับ “ใช่ ๆ แล้วก็น่าจะมีอีกหลายภารกิจด้วย”
โยฮันได้แต่คิดสงสัยอยู่ในหัวเพราะไม่อาจก้าวล้ำข้อมูลส่วนตัวของผู้ว่าจ้างได้ หลังจากได้รับข้อมูลภารกิจเขาก็มุ่งหน้าไปสำนักที่อยู่ในรายชื่อเพื่อเก็บข้อมูลต่อ
ทางด้านอาเวียนที่อยู่อาณาจักรนอดได้รับภารกิจแรกที่ต้องแฝงตัวไปในเมือง
“หนาว...เย็น...โคตรจะหนาวโคตรจะเย็น” อาเวียนบ่นพึมพำตลอดทางจนไปถึงสำนักงานนักผจญภัย
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็มีสายตาสงสัยจ้องมองมาเป็นตาเดียวกัน คงเพราะภาพลักษณ์ที่อาเวียนแต่งตัวเหมือนขอทานทำให้พวกเขาไม่รู้ว่ามาทำอะไรในที่แห่งนี้
“ผะ...ผมมาสมัครเป็นนักผจญภัยครับ” อาเวียนพูดด้วยท่าทางเกร็ง ๆ ที่ไม่ใช่แค่การแสดงแต่เพราะหนาวจริง ๆ ต่างหาก
“น้ำหน้าอย่างแกเนี่ยนะจะมาเป็นนักผจญภัย แล้วดูจากสำเนียงคงไม่ใช่คนอาณาจักรนอดแน่ ๆ เวลาสื่อสารเดี๋ยวก็มีปัญหาอีกเพราะฉะนั้นพวกเรารับไว้ไม่ได้หรอก” ไม่เพียงแต่จะปฏิเสธแต่พวกเขายังแสดงกิริยาท่าทางไม่สบอารมณ์ออกนอกหน้าชัดเจน
“ผมเป็นมะ...ไม่ได้เหรอครับ? ทำไมถึงทำไม่ได้คะ...ครับ?”
“แค่พูดให้ชัดยังทำไม่ได้แล้วจะมาทำงานเป็นนักผจญภัยเนี่ยนะ ออกไปเถอะเกะกะคนอื่นเขา” เจ้าหน้าที่คนนั้นสะบัดมือไล่อย่างกับหมูอย่างกับหมา สุดท้ายอาเวียนก็ต้องเดินออกมาและเร่ร่อนต่อไปเหมือนคนขอทานที่ไร้บ้านจริง ๆ
ระบุเป้าหมายเรียบร้อย ต่อไปก็เตรียมตัวสร้างสถานการณ์ อาเวียนเดินสำรวจไปทั่วเมืองเพื่อหาจุดลับตาคนที่จะลงมือสังหารเจ้าหน้าที่คนนั้น
เมื่อถึงเวลาเลิกงานอาเวียนก็สะกดรอยตามเจ้าหน้าที่คนนั้นไปเรื่อย ๆ จนไปถึงจุดลับตาคนเขาก็ลงมือสังหารด้วยการรัดคอจากด้านหลัง แต่ไม่เพียงแค่นั้นเพราะหลังจากที่เจ้าหน้าที่สิ้นใจเขาก็ได้ทุบเตะต่อยไปที่ตัวเพื่อสร้างหลักฐานว่าเกิดการต่อสู้ขึ้นจริง ๆ
แค่นี้ก็ทำตามคำจ้างวานเรียบร้อยแล้ว พอมีการสืบสวนก็จะชี้ตัวไปที่คนขอทานที่เข้าไปในสำนักงานนักผจญภัย มีพยานหลายคนเห็นการพูดคุยของสองคนดังนั้นเราก็แค่ทิ้งหลักฐานเกี่ยวกับคนขอทานไว้ก็เป็นอันจบ
อาเวียนยิ้มอย่างภาคภูมิใจกลับมายังสำนักมนตร์ดำที่อยู่ใต้ดินเพื่อรับความอบอุ่น
อีกด้านหนึ่งที่อาณาจักรอาฟได้มิร่าไปเป็นมือขวา ในเดือนแรกเธอยังไม่ได้รับภารกิจใด ๆ เลยสักครั้งมีเพียงแค่การฝึกซ้อมและจัดเอกสารในห้องข้อมูล
“เบื่อไหม?” ผู้บริหารเอ่ยถามพลางอ่านหนังสือไปด้วย
“ก็นิดหน่อยค่ะ ปกติพวกเราทำงานกันแทบจะตลอดเลย”
“เหรอ...อยู่ที่นี่ต้องทำใจหน่อยนะเพราะงานมันค่อนข้างน้อย ลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือคนของอาณาจักรอื่นมาอยู่แถวนี้พอดี เราไม่ค่อยมีลูกค้าที่เป็นคนพื้นที่เพราะอาณาจักรนี้มันเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ? ตอนมาที่นี่ก็เห็นแต่อมนุษย์เต็มไปหมดไม่เห็นหน้ามนุษย์ปกติเลย ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้เลย”
ผู้บริหารเห็นท่าทางห่อเหี่ยวของมิร่าจึงยื่นหนังสือให้อ่านด้วย
“จะไปฝึกก็ได้แต่อากาศที่นี่มันไม่ค่อยน่าอภิรมย์สักเท่าไร ปกติสาขาเรามักจะนอนเล่นไปวัน ๆ มากกว่า”
“มีคำจ้างวานครับ” หมายเลขหนึ่งหลักที่สังกัดอยู่ที่นี่เปิดประตูพรวดพราดเข้ามา
“โอ้ ! งั้นฉันจะให้เธอไปทำแล้วกัน จะได้คุ้นชินกับที่นี่ด้วย”
มิร่ารับงานนั้นมาและมุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบทันที
“เธอคงจะเป็นคนจากสำนักมนตร์ดำสินะ” ผู้ว่าจ้างและคณะเดินทางตั้งเต็นท์รอการมาของมิร่า พอเจอหน้าเขาก็ยื่นมือออกมาทักทายพอเป็นพิธีแล้วเริ่มแจงรายละเอียดงานในครั้งนี้ทันที
“เนื่องจากคำขอในตอนแรกขอแค่หนึ่งคนแต่รายละเอียดที่แจงมาเมื่อสักครู่มันต้องใช้คนอย่างน้อยสามคน ดังนั้นเราจำเป็นต้องกลับไปขอคนเพิ่มก่อนค่ะ”
ขณะที่กำลังชี้แจงการดำเนินการจู่ ๆ คนของผู้ว่าจ้างก็พุ่งเข้ามาด้านหลังพร้อมกับมีดสั้นที่เตรียมมานาไว้แล้ว แต่ก่อนจะได้ฟันมิร่าก็ผลักเขากระเด็นด้วยเวทมนตร์วายุ
มิร่าถอนหายใจเสียงดัง “อุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะได้ทำงานแต่ดันมาเจอพวกโง่เนี่ยนะ”
“มัวทำอะไรอยู่ ผู้หญิงแค่คนเดียวจัดการมันซะ” ผู้ว่าจ้างตะโกนสั่งลูกน้องให้บุกเข้าไป
ตั้งใจคุยถ่วงเวลาเพื่อให้คนอื่นเตรียมมานาสินะ เห็นตอนแรกก็สงสัยว่าใช่พวกนักล่าหรือเปล่าแต่ตอนนี้ยืนยันได้แล้ว
“กลับไปนอนพักแบบที่ผู้บริหารบอกดีกว่า”
กลุ่มหนุ่มสาวพุ่งเข้าใส่มิร่าจากทุกทิศทางแต่ในจังหวะเดียวกันเธอได้สร้างกำแพงเพลิงล้อมรอบไว้ จากนั้นก็ใช้เวทมนตร์วายุทำให้กำแพงเพลิงพุ่งออกไปรอบ ๆ ทำให้พวกผู้ว่าจ้างเสียจังหวะไปครู่หนึ่ง
“จับมันให้ได้ !”
ทันใดนั้นก็มีคลื่นวารีซัดออกมาจากตรงกลางทลายการป้องกันของพวกผู้ว่าจ้าง จังหวะเดียวกับมิร่าก็ได้พุ่งตามหลังคลื่นมาตัดคอผู้ว่าจ้างทิ้ง
“หัวหน้า !” เสียงตะโกนตกใจดังอยู่เพียงแค่อึดใจก่อนจะหายไปตลอดกาล
ผู้ว่าจ้างและคณะเดินทางโดนกวาดล้างทั้งหมดทิ้งแค่ซากศพไว้ให้สัตว์ป่ากัดกินต่อไป
ขณะเดียวกันที่อาณาจักรเซียก็กำลังทำภารกิจสืบสวนข้อมูลของขุนนาง โดยมีเซรอนเป็นหัวหน้าการสืบแต่คนที่สืบข้อมูลได้กลับเป็นศิษย์คนอื่นแทน
“ขอโทษจริง ๆ นะ พอดีฉันไม่ค่อยถนัดการสืบข้อมูลน่ะ” เซรอนนั่งหน้าง่อยระหว่างที่รวมตัวประชุมแผน
“ไม่เป็นไรครับ คนเราก็มีเรื่องที่ไม่ถนัดกันทั้งนั้น” ลูกทีมของเขากล่าวด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูไม่เดือดร้อนใด ๆ
“คุณมือขวาแค่คอยดูแลด้านนอกก็พอครับ พวกเราจะเข้าไปขโมยข้อมูลมาเอง” ลูกทีมอีกคนกล่าวต่อขณะที่เตรียมการลอบเข้าไปในเขตของขุนนาง
“ฝากด้วยล่ะ” เซรอนที่เป็นหัวหน้าทีมกลับทำได้แค่เฝ้าทางเข้าออกเท่านั้น
ลูกทีมสี่คนลอบเข้าไปในอาณาเขตทิ้งหัวหน้าทีมไว้คนเดียว ระหว่างนั้นเขาก็ทำได้แค่มองซ้ายมองขวาจนบางทีก็เผลองีบไปครู่หนึ่ง
“ไปกันได้แล้วครับ” พวกเขาออกมาหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
“อืม กลับไปส่งงานกันดีกว่า” เซรอนยืนบิดตัวแต่จังหวะนั้นดันมียามมาเห็นพอดี แต่โชคดีที่พวกเขาหนีออกมาได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยให้ตามตัวได้
ภารกิจในอาณาจักรเซียมักจะเป็นการติดตามและล้วงข้อมูลมากกว่าเนื่องจากแต่ละคนก็มีสายสัมพันธ์กับสำนักมนตร์ดำ ทำให้การจ้างวานฆ่าหรือลักพาตัวมีราคาที่สูงมากกว่าอาณาจักรอื่น
“ทำไมผู้บริหารถึงเลือกเรามานะ?” เซรอนนอนซึมอยู่บนโต๊ะทำงานเล็ก ๆ ในห้องโทรม ๆ ที่มีคนแก่ ๆ ฟังเสียงบ่นอยู่ข้าง ๆ
“หันมาถามตรง ๆ เลยก็ได้ไม่ต้องมาทำเป็นพูดลอย ๆ เลย”
“โธ่…ท่านผู้บริหาร มันก็ต้องมีช่วงเวลาบ่นระบายบ้างสิครับ ถ้าผมไปถามมันก็ไม่ใช่การระบายสิ”
ผู้บริหารเดินมาข้าง ๆ แล้ววางมือลงบนบ่า “ฉันเลือกนายเพราะเห็นข้อบกพร่องตรงนั้นนั่นแหละ ถ้านายทำงานที่นี่ได้ดีอนาคตคงสดใสน่าดูเลยเนอะ”
เซรอนขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าทำได้สินะครับ” ผู้บริหารไม่ตอบอะไรแล้วกลับไปนั่งที่เหมือนเดิม
อีกด้านหนึ่งที่อาณาจักรโรป
“ที่นี่คือศูนย์เหรอเนี่ย? มันดูเล็กกว่าที่คิดนะ” บาย่าเงยหน้ามองอาคารสูงสามชั้นที่โดนหิมะปกคลุมอยู่
“ที่นี่แหละ หลังจากนี้เธอจะได้เข้าออกบ่อย ๆ เพราะพวกเขาคือลูกค้ารายใหญ่ของเรา” ผู้บริหารพามือขวาคนใหม่มาแนะนำสถานที่ที่ห่างไกลผู้คนท่ามกลางทุ่งหิมะสีขาว
“นี่มือขวาคนใหม่เหรอ? คนเก่าอุตส่าห์ทำงานคล่องแล้วแท้ ๆ แต่ดันมาแพ้ซะได้” ยามเฝ้าทางเข้าถอนหายใจกล่าวด้วยท่าทางหงุดหงิด
“คนอ่อนแอก็ต้องแพ้อยู่แล้วสิคะ” บาย่ากล่าวต่อทันที
“เออ ๆ เข้าไปได้แล้ว”
บาย่าและผู้บริการก้าวเท้าเดินเข้าไปในอาคารศูนย์แต่ข้างในก็ดูเหมือนโรงเตี๊ยมธรรมดา ๆ จนกระทั่งผู้บริหารเปิดประตูลับใต้พื้นขึ้นมา
“อย่าอยู่ห่างจากฉันล่ะ พวกนั้นคงระแวงคนแปลกหน้าแน่ ๆ และอย่าไปคุยกับคนอื่นนอกจากคนจ้างวานเชียว”
“ค่ะ” บาย่าพยักหน้าตอบ
พวกเขาเดินลงบันไดวนใต้ดินไปเรื่อย ๆ จนไปเจอกับกระเช้าสำหรับลงไปข้างล่างต่ออีกทอดหนึ่ง เมื่อบาย่าก้าวเท้าตามผู้บริหารเข้าไปก็ต้องตกใจเพราะมันกำลังร่วงลงพื้น
“จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?” บาย่าเกาะแขนผู้บริหารกลัวตกลงไปตาย
“มันก็แค่กระเช้าที่ใช้แทนบันได ปกติพวกเธอก็โดดขึ้นลงอาคารบ้านช่องเป็นปกติอยู่แล้วจะมากลัวอะไรกับของแค่นี้ล่ะ”
“มันดูแคบ ๆ แล้วก็มองไม่ชัดด้วย”
“แค่แวบเดียวเท่านั้น” พอพูดจบพวกเธอก็ลงมาถึงชั้นล่างที่มีไฟส่องสว่างทุกมุมห้อง
ถ้าจะก้าวขาเข้าไปพวกเธอก็ต้องผ่านห้องแรกเพื่อฉีดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเสียก่อน พอผ่านไปก็จะเห็นคนพลุกพล่านเดินไปทั่วต่างกับชั้นบนลิบลับเลย
ที่นี่คือศูนย์สินะ ดูไม่เหมือนที่คิดไว้เลยสักนิด
“คุณผู้บริหารมาแล้วสินะครับ งานในครั้งนี้ค่อนข้างยุ่งยากหน่อยเพราะต้องการของแบบมีชีวิต” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเหมือนสนิทสนมและยังเหลือบมองบาย่าเป็นระยะ ๆ
ผู้บริหารเปิดอ่านเอกสารอ่านตรงหน้า “โห่ นอกจากเอาแบบมีชีวิตก็ยังต้องการตั้งสิบประเภทอีก งั้นฉันมอบงานนี้ให้เธอรับผิดชอบนะบาย่า” เธอยื่นเอกสารงานให้บาย่าอ่าน
บาย่าขมวดคิ้วตกใจจนคิดไม่ทัน “เอาแบบมีชีวิตเหรอคะ? ถ้าแบบนั้นก็ต้องใช้คนเยอะมาก ๆ ซึ่งต้องเพิ่มเงินนะคะ”
“ก็เพิ่มไปสิ” ชายคนนั้นกล่าวขัดจังหวะ
“งั้นขอแก้เงินค่าจ้างเพิ่มเป็นสามเท่านะคะ ช่วยลงชื่อยืนยันด้วยค่ะ” บาย่าเหลือบมองผู้บริหารเหมือนอยากให้ช่วยดูว่าตนเองทำถูกต้องหรือไม่
“ได้สิ แล้วถ้าเอามาแบบสมบูรณ์ไร้รอยแผลเดี๋ยวจะเพิ่มเงินพิเศษให้นะ”
“ไว้ใจเราได้เลยค่ะ” บาย่ารับเอกสารที่แก้เงินค่าจ้างมาให้ผู้บริหารอ่านซ้ำอีกที
หลังจากเจรจาการจ้างวานเสร็จสิ้นพวกเธอก็กลับขึ้นมาข้างบนทันที
“เห็นข้างล่างนั่นแล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?” ผู้บริหารเอ่ยถาม
“มันดู...น่ากลัว”
“อืม สำหรับคนที่ฆ่าคนมาตั้งเยอะดันมารู้สึกกลัวกับห้องสว่าง ๆ พวกนั้นซะได้ แต่ก็เข้าใจได้เพราะพวกคนในศูนย์มันมีแต่พวกบ้า”
“พวกเขาดูบ้าจริง ๆ ค่ะ” บาย่าพยักหน้ารัว ๆ เพื่อตอกย้ำความคิดนั้น
ส่วนเฟียร์ที่ได้ไปทำงานอาณาจักรไอร์ก็วิ่งวุ่นทำภารกิจที่เข้ามาไม่หยุด จากปกติเธอมักจะทำงานเบื้องหลังให้เพื่อน ๆ แต่พอแยกจากกันเธอก็ต้องออกมาทำงานเบื้องหน้าแทน
“คุณมือขวาช่วยดูอันนี้ด้วยสิ” ลินน่ายื่นเอกสารให้ดู
“วันนี้มีนัดประชุมแผนนะคะ”
“ภารกิจลอบสังหารเป็นแผนยังไงบ้างครับ?”
ทั้งผู้บริหารและศิษย์หมายเลขหนึ่งหลักต่างก็เข้ามาต่อแถวรอการดำเนินงานจากเฟียร์ ด้วยความสามารถการวิเคราะห์และวางแผนทำให้เธอเป็นที่ต้องการจากทุกทีม
ในวันนี้เธอยุ่งอยู่กับการประชุมวางแผน พอวันต่อมาเธอก็ต้องมุ่งหน้าไปรวมกลุ่มกับทีมแรกเพื่อสำรวจดันเจี้ยน ตอนกลางวันเธอต้องเขียนรายงานการสำรวจ ตอนเย็นเธอต้องไปทำภารกิจลอบสังหารต่อ ตอนดึกเธอต้องลอบเข้าไปในอาณาเขตของขุนนางเพื่อแอบคัดลอกบัญชีของตระกูล
“เธอช่วยมาดูงานนี้ให้หน่อยสิ” ผู้บริหารลินน่ากล่าว
“ค่ะ...” เฟียร์ตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าเหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อ
“เนื่องจากการเติบโตของการส่งออกผลผลิตทำให้ขุนนางหลาย ๆ เจ้าเริ่มจ้างให้เราไปขัดขาคู่แข่ง แต่อีกฝ่ายก็ดันจ้างมาเหมือนกันทำให้เราต้องชั่งน้ำหนักความคุ้มค่า...” ขณะที่ผู้บริหารกำลังสาธยายเฟียร์ก็ได้หลับคาโต๊ะไปเสียแล้ว
“ทำงานหนักมากเลยนะ งั้นวันนี้ก็พักเถอะ”
แต่ละคนที่แยกย้ายกันไปได้เจออุปสรรคมากมายแต่ก็สามารถฝ่าฟันและฝึกปรือฝีมือให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ถึงกระนั้นสุดท้ายทุกคนก็ย่อมมีขีดจำกัดของตนเอง
สองปีที่ผ่านมาพวกเขาหยุดอยู่กับที่แทบจะไม่เห็นความแตกต่างเลยสักนิดเดียว และยังมีข่าวการเปลี่ยนตัวเจ้าสำนักที่ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายสิบปีแล้ว
“ข่าวใหญ่หน้าหนึ่งเลยนะเนี่ย” อาเวียนอ่านหนังสือพิมพ์ประจำสัปดาห์
“เปลี่ยนตัวเจ้าสำนักเนี่ยนะ?” มิร่านอนสบาย ๆ อยู่บนเตียงพร้อมกับอ่านข่าวไปด้วย
“เอาแล้ว ๆ แบบนี้ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ” เซรอนยิ้มกว้างเหมือนได้เพิ่มแรงใจเพราะคนอย่างเจ้าสำนักก็ยังมีเปลี่ยนมือบ้าง
“แหม ๆ ใครกันนะที่ได้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่” บาย่านั่งกระดิกเท้ามองออกไปข้างนอกที่มีแต่หิมะสีขาว
“นั่นคือข่าวสัปดาห์นี่เหรอ? ไหน ๆ ฉันขอดูด้วยสิ” ผู้บริหารลินน่าเดินเข้ามาด้านหลังเฟียร์เพื่ออ่านข่าวในมือไปด้วยกัน
เนื่องจากกินจิได้พ่ายแพ้ในการท้าประลองทำให้ตำแหน่งเจ้าสำนักเปลี่ยนตัว การเปลี่ยนตัวของเจ้าสำนักไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวหัวหน้าแต่นโยบายและแนวทางของสำนักก็จะเปลี่ยนไปตามเจ้าสำนักด้วย
“เจ้าสำนัก...โยฮัน”
เพื่อน ๆ ต่างก็ตกตะลึงอ้าปากค้างและยังต้องขยี้ตาอ่านใหม่อีกรอบ
“เจ้าสำนักโยฮันผู้ที่เป็นมือขวาของผู้บริหารได้ทำการท้าประลองทั้งผู้บริหารและเจ้าสำนัก ชัยชนะของเขาทำให้สำนักมนตร์ดำวุ่นวายจนไม่เป็นอันทำงาน”
“ผมต้องไปแล้ว” อาเวียนกล่าวกับผู้บริหารของตน
“ยังไงงานก็น้อยอยู่แล้ว ฉันขอกลับไปนะ” มิร่าโบกมือลาผู้บริหารและเดินออกมาโดยไม่รอฟังคำตอบเลย
“เอาจนได้นะพวก” เซรอนเตรียมขึ้นเรือทันทีที่ได้อ่านข่าว
“คงต้องกลับไปฉลองสักหน่อย ถ้ามีเวลาอะนะ” บาย่าวิ่งฝ่าพายุหิมะไปยังท่าเรือด้วยตัวคนเดียว
“พี่ลินน่าคะ...หนูขอกลับได้ไหมคะ?” เฟียร์ถามแบบกล้า ๆ เกร็ง ๆ แต่ลินน่าและลูกทีมกลับพยักหน้ายิ้มให้กำลังใจเป็นคำตอบ
พวกเขาเดินทางกลับไปยังสำนักมนตร์ดำพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายเพื่อไปหาโยฮันเจ้าสำนักมนตร์ดำคนใหม่


แสดงความคิดเห็น