ตอนที่ 1 รักแรกพบช่วงวัยเยาว์ (ตะวันไม่เคยหายไปจากขอบฟ้า)

รักนายเย็นชากับเจ้าฟ้าสุดป่วน

-A A +A

ตอนที่ 1 รักแรกพบช่วงวัยเยาว์ (ตะวันไม่เคยหายไปจากขอบฟ้า)

หมวดหนังสือ: 

     ณ.ต่างประเทศแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงที่อากาศกำลังเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและเริ่มต้นช่วงฤดูหนาว อากาศที่นี่ช่างแปลกยิ่งนัก จะมีสายฝนก่อนหิมะเสมอ เมื่อความหนาวเข้ามาปกคลุมผู้คนต่างก็ไม่ได้สนใจเรื่องอากาศสักเท่าไร ด้วยกิจวัตรที่ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพทุกอย่างก็ดำเนินไป   ตามปกติของคนที่นี่

               เสียงเด็กน้อยที่กำลังอ้อนพี่ชายก็ดังขึ้นจากห้องนอนของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง

               “จ้าวพี่ธารฟ้าพาน้องไปด้วยนะครับ” เสียงเด็กน้อยวัย 6 ขวบพูดขึ้น เขาเขย่าแขนพี่ชายด้วยแววตาที่ออดอ้อนเป็นประกาย พี่ชายมองหน้าเขาแล้วยิ้มเล็กน้อย

               “ไม่ได้หรอกนะ...พี่ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นนะจ้าวฟ้า พี่ต้องไปทำงานแทนท่านพ่อ ท่านแม่ งานนี้สำคัญมาก ห้ามมีข้อผิดพลาดใด ๆ จ้าวฟ้าคนดีของพี่รอพี่อยู่ที่โรงแรมนะครับ” ผู้เป็นพี่พูดพร้อมกับจับมือน้องชาย เขามีอายุแค่ 13 ปี แต่ดูสง่างามและมั่นใจ กล้าหาญ เฉลียวฉลาด สายตาที่อ่อนโยนของเขามองน้องชายด้วยความรัก

               เด็กน้อยมีท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาสะบัดมือพี่ชายออกพร้อมสะบัดหน้าหนีทันที

               “หน้าเบื่อแย่” เจ้าฟ้าพูด

               พี่ชายเดินคว้าตัวน้องที่กำลังจะเดินหนีไว้ เขายิ้มก่อนจะหยิกแก้มน้องชายเบา ๆ

               “เมื่อพี่เสร็จงานแล้วพี่จะพาจ้าวฟ้าไปเที่ยวนะครับ....นะครับคนดี”

               “สัญญาแล้วนะครับ” เจ้าฟ้ายิ้มเล็กให้พี่ชาย แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หญิงวัยกลางคน อายุราว 50 ปี เดินเข้ามาในห้องนอน

               “องค์ชายได้เวลาเสด็จแล้วค่ะ”

               “เดี๋ยวพี่มานะครับ”

               พี่ชายมองน้องชาย แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับองครักษ์ ก่อนที่เขาจากเดินออกจากโรงแรม เขาได้พูดกับ หญิงวัยกลางคนไว้

               “แม่นมครับ ถ้าจ้าวฟ้าต้องการสิ่งใดก็ตามใจน้องชายผมหน่อยนะครับ”

               “ค่ะ” หญิงวัยกลางคนยืนยิ้ม เธอมองไปที่เจ้าธารฟ้าที่เดินออกจากโรงแรมไป  ภาพตอนวัยเยาว์ในปรากฏขึ้นในหัวของเธอ ความทรงจำเก่า ๆ ที่เธอเลี้ยงดูเจ้าธารฟ้ามา ตอนนี้เจ้าธารฟ้าเติบโตขึ้นและทรงงานแทนท่านพ่อท่านแม่ได้อย่างสง่างามยิ่งนัก

               “เจ้าชายน้อยของฉันทรงเติบโตแล้ว”

ทางด้านของเจ้าฟ้าตอนนี้ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เด็กน้อยนั่งเขี่ยอาหารเล่นไปมาด้วยความเบื่อหน่ายที่เขาต้องอยู่ห้องในโรงแรมแบบนี้

               “องค์ชายน้อยทานอาหารเช้าเถอะค่ะ”

               “จ้าวพี่ใหญ่กับจ้าวพี่รอง ต่างก็ทรงงานที่ท่านพ่อท่านแม่มอบหมายให้ทำ ทำไมท่านพ่อ ท่านแม่ถึงไม่ให้เราทำงานด้วยละครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แววตาที่บ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ

               “เพราะจ้าวฟ้ายังทรงพระเยาว์อยู่มากค่ะ” เด็กน้อยถอนหายใจ สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเศร้าทันที

               “เมื่อจ้าวพี่ทั้งสองโตขึ้น ก็ไม่มีใครเล่นกับเราแล้วซินะ”

               แม่นมยิ้ม เธอนั่งลงข้างองค์ชายน้อยโอบไหล่เขาไว้ “แต่องค์จ้าวพี่ก็ทรงรับปากกับจ้าวฟ้าไว้นี่ค่ะ เมื่อพระองค์เสร็จงานแล้วจะพาองค์จ้าวฟ้าเที่ยว รอหน่อยนะค่ะ”

               “ผมไม่เชื่อหรอก......นมเอาอาหารเก็บเถอะ ผมอิ่มแล้วครับ”แม่นมยิ้มแล้วเธอก็ยกอาหารออกไป ทิ้งให้เด็กน้อยอยู่ภายในห้องเพียงผู้เดียว เจ้าฟ้าล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ที่แสนอบอุ่น จนเขาผล็อยหลับไป แม่นมเดินเข้ามาดูองค์ชายน้อยที่หลับอยู่

               “เด็กหนอเด็ก” เธอห่มผ้าให้เขาด้วยความรักและห่วงใย

               เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เจ้าฟ้าตื่นขึ้นจากการนอน สายตาเขามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นแสงแดดอ่อน ๆ กำลังจะลาลับขอบฟ้า อากาศเริ่มหนาวเย็น เขาลุกออกจากเตียงเดินไปยังระเบียงของห้องนอน มองดูไปรอบ ๆ บนท้องถนนผู้คนเดินอยู่อย่างอิสระต่างคนต่างเดิน  ต่างคนต่างยิ้มแย้ม และแล้วสายตาของเด็กน้อยก็มองเห็นร้านซุปเปอร์มาเก็ตอีกฟากฝั่งของถนนซึ่งห่างออกไปประมาณ 3 ช่วงตึก

               เขาได้มีความคิดที่ต้องการจะออกไปร้านซุปเปอร์มาเก็ต เขากลับเข้าห้องหยิบกระเป๋าสะพายของพี่ชายที่วางไว้ แล้วเปิดประตูออกจากห้อง แต่เขาก็พบกับองค์รักษ์ที่ยืนอยู่หน้าห้องของเขาคนหนึ่ง

               “องค์ชายจะไปไหนครับ”

               “เปล่านี้... เราแค่หิวนะ เจ้าไปเอาอาหารให้เราหน่อยได้มั้ย”

               “ได้ครับ เดี๋ยวหม่อนสั่งให้ครัวจัดอาหารให้นะครับ” เขาพยักหน้า

               “ผมรอในห้องนะครับ” แล้วองครักษ์ก็เดินออกไปสั่งอาหารที่ห้องครัว เขายิ้ม

             ทุกอย่างเป็นไปตามแผ่น เมื่อทางโล่ง เจ้าฟ้าก็แอบออกจากโรงแรมโดยไม่บอกใคร เขาอยู่ในชุดกางเกงสีดำขาสั้น เสื้อแขนยาวสีฟ้าบาง ๆ มุ่งหน้าไปร้านซุปเปอร์มาเก็ตทันที

อีกด้าน

               ณ.เขตหมู่บ้านใกล้ ๆ โรงแรม ในบ้านหลังหนึ่ง

               “ตะวัน..ช่วยไปซื้อของที่ซุปเปอร์ให้แม่หน่อย”

               “ได้ครับ” เด็กชาย วัย 10 ขวบ เขาสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันพอสมควรพูดขึ้น

               “รีบหน่อยนะตะวัน พ่อใกล้จะถึงบ้านแล้วคงหิวแน่ ๆ”

               “ครับแม่” เขารีบจับเสื้อคลุมและปั่นจักรยานออกจากบ้านทันที เขาปั่นจักรยานมาถึงหน้าร้านซุปเปอร์มาเก็ต พร้อม ๆ กับเจ้าฟ้าที่เดินมาเช่นกัน พวกเขาต่างเดินเข้าร้านโดยไม่ได้สนใจซึ่งกันและกัน ต่างคนก็มุ่งหน้าไปยังจุดที่ตนเองต้องการจะซื้อของ

               ระหว่างที่เจ้าฟ้ายืนเลือกของกินที่ตนต้องการอยู่นั้น เขาได้หยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมาดูโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้างตนเองว่ามีใครอยู่บ้าง ซึ้งเป็นจังหวะที่มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นมีท่าทีแปลก ๆ  เขาได้เห็นเงินในกระเป๋าที่เด็กหยิบออกมาพอดี ความคิดชั่วร้ายก็ไหลเข้ามาในสมองของเขาทันที และทันใดนั้นก็มีชายอีกคนเดินเข้ามาหาเขา

               “ได้ยังวะ รีบหน่อยซิ” เขาถาม

               “กูมีวิธีแล้ววะ เด็กนี้หน้าจะเดินมาคนเดียว ในกระเป๋ามีเงินเยอะเลย เราปล้นเด็กคนนี้ดีกว่าวะ ง่ายดี ” พวกเขากระซิบด้วยภาษาท้องถิ้นของตนเอง

               “เอาอย่างนั้นเหรอ”

               “เอาแบบนี้แหละเดี๋ยวพอเด็กออกข้างนอกเราค่อยจับตัวไปที่เปลี่ยวแล้วแย่งเงินมา”

               “OK.”

               แต่ระหว่างนั้น ตะวันเดินซื้อของอยู่ข้าง ๆ ชายทั้งสองพอดี  เขาได้ยินที่ชายทั้งสองคนพูด แต่ก็แกล้งไม่เข้าใจ แต่จริง ๆ แล้ว ตะวันฟังสิ่งที่สองคนนั้นพูดออก ส่วนเจ้าฟ้าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสองคนนั้นกำลังจะทำอะไร เขายังคงหยิบขนมที่ชอบจำนวนมากจนพอใจแล้วไปจ่ายเงิน ทั้งสองเดินตามเขาไป ตะวันยืนมองเขาคิด

               “จะช่วยดีมั้ยนะ” เขาครุ่นคิดอยู่ จนเด็กน้อยเดินออกจากร้านโดยมีชายสองคนเดินตามไปติด ๆ 

             “ขอโทษนะครับแม่ผมอาจจะไปช้าหน่อย” เขาบ่นกับตัวเอง สุดท้ายตะวันก็วางของที่จะซื้อไว้แล้วรีบวิ่งตามพวกเขาไป แต่ทว่าพวกเขาได้หายไปจากท้องถนนแล้ว ตะวันวิ่งไปตามซอกซอยมุมที่เปลี่ยวและไม่มีคนเดินผ่าน เขาหาผ่านไป 3 ซอย ก็เจอกับห่อขนมตกอยู่ที่ปากซอย เขาวิ่งเข้าซอยมา จนเจอชายสองคนกำลังยืนขู่เด็กน้อยในมือเขากอดกระเป๋าของพี่ชายไว้แน่น ตะวันหาอาวุธที่เขาพอจะใช้ได้ และเขาก็เจอกับไม้ท้อนท้อนหนึ่ง เขาใช้แรงทั้งหมดของเด็กวัย 10 ขวบฟาดเข้าที่ขาของชายทั้งสองที่ยืนหันหลังให้อยู่อย่าเต็มแรง ทั้งสองล้มลงกองกับพื้นและร้องด้วยความเจ็บปวด ตะวันใช้ไม้ตีไปที่ชายคนหนึ่งเข้าที่ใบหน้าจนเขาสลบไป แต่อีกคนก็ลุกขึ้นได้ทัน ตะวันวิ่งมาที่เด็กน้อย เขาใช้ร่างของตัวเองบังเด็กน้อยไว้

               “เฮ้ยเพื่อน รีบลุกซิ” เขาเขย่าตัวเพื่อนที่สลบไม่ได้สติ ก่อนที่จะนำเอามีดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ตะวันไม่รอช้า เขาใช้ไม้ฟาดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาพลาด ชายคนนั้นจับไม้ไว้ได้ แล้วเหวี่ยงมีดเข้าใส่ตะวัน เขาหลบมีดได้แต่ก็ทำให้แขนด้านซ้ายของเขาโดนปลายมีด เลือดออกเป็นจำนวนมาก แต่เขากลับไม่ได้สนใจบาดแผลนั้น เด็กน้อยที่ยืนตกใจอยู่นั้นเมื่อเห็นเลือดไหลผ่านเสื้อคลุมของตะวันก็ร้องไห้ออกมาจนทำให้ชายคนนั้นต้องหันมองเขา ตะวันเห็นจังหวะที่เขาเผลอ เลยใช้เท้าเตะเข้าจุดใจกลางน้องน้อยเต็มแรง ทำเอาชายคนนั้นร้องไม่ออก หน้าแดงกล่ำนอนกลิ้งข้างเพื่อนที่กำลังได้สติกลับมา เมื่อตะวันเห็นอย่างนั้น  เข้าได้จับมือของเด็กน้อยวิ่งทันที เพราะเขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถสู้กับชายอีกคนได้แน่นอน

               “แกไปจับตัวพวกมันมา”เขาพูดกับเพื่อนที่ได้สติด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด เพื่อนของเขาก็วิ่งตามเด็กทั้งสองไป

               สายฝนเริ่มโปรยปลายและตกแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตะวันวิ่งผ่านสวนสาธารณะ เขาได้พาเด็กน้อยหลบอยู่หลังต้นไม้ที่รายล้อมด้วยพุ่มไม้หนา           

               “ร้ายนักนะเจ้าเด็กบ้า จับได้จะฆ่าทิ้งเลยคอยดู” ชายผู้ร้ายวิ่งตามมา เขาหยุดมองไปรอบ ๆ  “หายไปไหนของมันนะ”

               แล้วเพื่อนอีกคนก็วิ่งมาสมทบ “เจอมั้ยวะ”

               “ไม่เจอ แม่งเห็นหลังไว ๆ วิ่งมาทางนี้”

            “ไปดูข้างหน้าซิ อาจจะหลบอยู่ในซอยข้างหน้า” ในช่วงเวลาที่หน้ากลัว เด็กน้อยมีทีท่าจะร้องไห้ออกมา ตะวันได้เอามือปิดปากเด็กน้อยไว้ เขาส่งสัญญาณไม่ให้เด็กน้อยส่งเสียง โดยเอามือข้างที่เลือดกำลังไหลใช้นิ้วชี้แตะปากของตัวเองเพื่อบ่งบอกว่าอย่าส่งเสียง เขาจ้องตาเด็กน้อยด้วยแววตาที่อ่อนโยน เมื่อชายสองคนวิ่งไปหาพวกเขาด้านหน้า ตะวันก็ถอนหายด้วยความโล่งใจทันที่ เขาปล่อยมือที่ปิดปากเด็กน้อยออก เข้ามองเด็กน้อยที่นั่งตัวสั่นด้วยความหนาว

               “นายหนาวเหรอ” ตะวันถามเขาด้วยภาษาอังกฤษ

               เด็กน้อยพยักหน้า ตะวันได้ถอดเสื้อคลุมออกและใส่ให้เด็กน้อยทันที

               “ใส่ไว้ จะได้ไม่หนาว” เขายังคงพูดภาษาอังกฤษกับเด็กน้อยอยู่

               “พ่อกับแม่ละอยู่ไหน” เด็กน้อยได้แต่ส่ายหน้า เขาไม่ตอบอะไรเลยกับตะวัน ในมือก็กอดกระเป๋าของพี่ชายไว้ตลอด แล้วทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่น เด็กน้อยตกใจกลัวกระโดดกอดตะวันไว้แน่น

               “พี่ชาย...ผมกลัว” เขาร้องไห้

               “อ้าว....เป็นคนไทยเหรอ” ตะวันพูดภาษาไทย

               “ผมกลัว...ผมกลัว”เขาร้องไห้หนักมากขึ้น

               “ไม่ต้องกลัวนะ” ตะวันลูบศีรษะเขาเบา ๆ เด็กน้อยสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของเขา เมื่อเด็กน้อยได้สติ เขามองเห็นบาดแผลที่แขนของตะวัน รีบดึงตัวเองออกจากตะวันแล้วใช้ผ้าเช็คหน้าสีฟ้าผืนที่เขาไม่เคยนำมันออกห่างจะตัวเลย เขามองผ้าเช็คหน้านี้ก่อนจะตัดสินใจพันแผลให้ตะวัน เขาผูกแผลตะวันไว้แน่นเพื่อต้องการให้เลือดหยุดไหล่

               “ผมรักผ้าเช็คหน้านี้มากนะครับ พี่ดูแลมันด้วยนะ สักวันผมจะกลับมาเอาคืนนะครับ” เด็กน้อยพูด

               “ไม่เป็นไร เอามันกลับไปเถอะ” ตะวันพูดแล้วยิ้ม

               “ไม่ ผมอยากให้พี่ดูแลมัน”

               แล้วจู่ ๆ ชายสองคนก็ได้กลับมาอีก

               “บ้าเอ่ย เด็กตัวแค่นี้ทำไมร้ายนักวะ”

               เมื่อเด็กทั้งสองได้ยินเสียงพูดของพวกเขาก็หยุดนิ่งเงียบทันที เด็กน้อยกำลังจะร้อง แต่ตะวันจับมือเขาแล้วยิ้มให้ จ้องมองตาเขาเพื่อจะบอกไม่เป็นไร แล้วเสียงฟ้าฝ่าดังขึ้นอีกครั้ง เด็กน้อยร้องไห้เบา ๆ เอามือปิดหูตัวเองไว้แน่น ตะวันตกใจที่เห็นเด็กน้อยกลัวขนาดนี้ เขาแอบมองชายสองคนนั้น เมื่อเห็นว่าพวกเขาได้จากไปแล้ว ตะวันก็ปลอบเด็กน้อยทันที

               “กลัวเสียงฟ้าเหรอ ไม่ต้องกลัวนะ” แต่ดูเหมือนคำปลอบของเขาจะไม่เป็นผลเลย เขาจึงถอดสร้อยคอที่ใส่เป็นรูปจี้ดวงอาทิตย์ ให้กับเด็กน้อยโดยคล้องคอให้เขา 

             “ใส่มันไว้นะ สร้อยนี้คือชื่อของพี่ พี่ชื่อตะวัน เมื่อฝนตกเมื่อฟ้าร้อง นายจะได้ไม่กลัว แม้จะกลัวก็กำมันไว้ แล้วบอกตัวเองว่าพรุ่งนี้ก็ยังมีตะวัน ตะวันไม่เคยหายไปจากขอบฟ้า  เข้าใจใช่มั้ย”เด็กน้อยพยักหน้าแล้วยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

               “เราออกจากที่นี่เถอะ พวกเขาคงไปแล้ว เดี๋ยวพี่ไปส่งนายนะ” เด็กน้อยพยักหน้า พวกเขาออกจากที่ซ่อนตัว มุ่งหน้าสู้ท้องถนนอีกครั้ง ตะวันจับมือเด็กน้อยเดิน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเด็กน้อยก็ได้กำสร้อยที่คอไว้แน่น ตะวันมองมือเล็ก ๆ ที่จับสร้อยคอเขาไว้แน่นและก็อมยิ้ม

               ทางด้านองค์เจ้าธารฟ้าที่กำลังเดินทางกลับโรงแรมก็ได้รับข่าวจากแม่นมว่าองค์เจ้าฟ้าได้ทรงหายตัวไป พวกเขาได้ดูกล้องวรจรปิด จนถึงตอนที่องค์เจ้าฟ้าเดินออกจากร้าน และกล้องตัวสุดท้ายที่จับภาพได้คือตอนที่องค์เจ้าฟ้าถูกอุ้มหายเข้าไปในซอยและไม่มีกล้องจับภาพได้อีกเลย ทุกคนต่างออกตามหาองค์เจ้าฟ้าด้วยความกังวล เจ้าธารฟ้าเดินไปตามถนนทุกซอกทุกซอย ฝนก็ตก ฟ้าก็ร้อง เขารู้ดีว่าน้องชายของเขากลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าฝ่ามากแค่ไหน

               ท้องฟ้าเริ่มมืด อากาศเริ่มหนาวบวกด้วยสายฝนและสายลมอากาศที่เลวร้ายตอนนี้กำลังทำให้องค์เจ้าธารฟ้าเป็นห่วงและกังวลมากขึ้นทุกที เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เสียงเด็กน้อยร้องเรียกหาพี่ชาย จากด้านหลังของอีกซอยหนึ่งก็ดังขึ้น เขาปล่อยมือจากตะวันแล้วรีบวิ่งไปหาพี่ชายที่อยู่ห่างออกไป

               “พี่ชายน้องอยู่นี่” เด็กน้อยดีใจมาก เขาวิ่งเข้ากอดพี่ชายที่หันมามองเขาพอดี

               ตะวันเห็นอย่างนั้นก็โล่งออก เขายิ้มออกมาด้วยความดีใจที่เด็กน้อยได้เจอครอบครัว แต่ความดีใจก็อยู่ได้ไม่นานเขานึกขึ้นได้ว่าแม่รอของจากเขา เขารีบกลับไปที่ร้านทันที

               “ตายแน่ แม่เอาเราตายแน่ ๆ”

               พี่ชายกอดน้องชายไว้แน่น “เกิดอะไรขึ้นจ้าวฟ้า”

               “พี่ตะวันช่วยน้องไว้ครับ” เด็กน้อยชี้มาทางที่ตะวันยืนอยู่ให้พี่ชายดู แต่ทุกอย่างว่างเปล่า ตะวันได้หายไปแล้ว

               “เขาหายไปแล้วพี่ชาย” เจ้าธารฟ้ายืนมองแล้วมองหน้าน้องชาย

               “เรากลับโรงแรมเถอะ หาชายสองคนนั้นให้เจอแล้วส่งให้เจ้าหน้ารัฐจัดการ หาข้อมูลของเด็กคนนั้นด้วย”

               “ครับ” องครักษ์รับคำสั่ง

               เมื่อถึงโรงแรม องค์เจ้าฟ้าได้เดินผ่านห้องที่เหล่าองครักษ์อยู่ เขาได้ยินเสียงไม้ตีดัง ตุบ ๆ ๆ เสียงขององครักษ์ร้องขอความเมตตา

               “จ้าวพี่ จ้าวพี่อย่าทำร้ายองครักษ์ของน้อง” เขาพยายามจะเปิดประตูแต่องครักษ์ของเจ้าธารฟ้าได้ขัดขวางไว้ เขารีบวิ่งตามไปหาเจ้าพี่ไปทันที เพื่อขอความเมตตาจากพี่อย่าทำร้ายองครักษ์ของเขาเลย เจ้าธารฟ้าที่มีอารมณ์ครุ่นเคืองและโกรธ เขานั่งที่เก้าอี้ในห้อง ด้วยสีหน้าเย็นชา แม้เขาจะรู้สึกหนาวแต่เขาก็นั่งรอน้องชายทั้งที่เนื้อตัวเปียกบอน รอฟังคำพูดจากน้องชาย เจ้าฟ้านั่งคุกเข่าต่อหน้าพี่ชาย โดยมีนมเดินเข้ามากอดเขาไว้

               “องค์จ้าวธารฟ้า ทั้งสองพระองค์ทรงเปียกขนาดนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะเดี๋ยวไม่สะบายนะคะ” แต่เจ้าธารฟ้าก็ไม่ตอบอะไรนั่งมองน้องชายด้วยสายตาที่ดุดัน แม้อายุจะแค่ 13 ปี แต่ก็ถูฝึกเรื่องวินัยทางทหารมาไม่น้อย ยามที่พระองค์ไม่ยอมก็ไม่มีใครคัดได้เช่นกัน

               “จ้าวพี่อย่าตีองครักษ์เลย” เขาร้องไห้

               “เมื่อทำผิดก็ต้องลงโทษ”

               “แต่พวกเขาไม่ผิด น้องผิดเอง”

               “นายทำผิดบ่าวย่อมรับ เจ้าว่าถูกมั้ย”

               “นายทำผิดนายก็ต้องรับโทษ เหตุใดต้องให้บ่าวรับด้วย” เจ้าฟ้าสะอื้นน้ำตาไหลอาบแก้ม

               “เจ้ารู้หรือมั้ยชีวิตเจ้ามีค่ามากกว่าพวกเขา”

               “ไม่จริง ทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน”

               “หรือจะให้เราลงโทษเจ้า พี่ตามใจเจ้ามากเกินไปใช่มั้ย หรือจ้าวฟ้าจะรับโทษแทนพวกเขา”

               “ไม่นะจ้าวธารฟ้า ให้นมรับโทษแทนจ้าวฟ้าเถอะ นมก็มีส่วนผิดที่ดูแลจ้าวฟ้าไม่ดี ลงโทษนมแทนเถอะ”

              “ไม่นะ ไม่นะจ้าวพี่ น้องผิดไปแล้ว จ้าวพี่จะลงโทษน้องอย่างไรก็ได้แต่อย่าลงโทษใครเลย"

            “ก็ได้ พี่ยอมให้เจ้าแค่ครั้งนี้นะ  ไปบอกให้พวกเขาหยุด” เจ้าฟ้ายิ้มทั้งน้ำตา เขากำลังจะลุกไปหาองครักษ์ของเขาแต่ก็ถูกห้ามโดยเจ้าพี่

               “เจ้าไม่ต้องไปเจอพวกเขาอีก ตั้งแต่นี้พี่จะเปลี่ยนตัวองครักษ์ใหม่” เจ้าฟ้าก้มหน้า  “นมพาจ้าวฟ้าไปอาบน้ำเถอะ เรื่องทำโทษเมื่อถึงวังค่อยว่ากัน”

               “ค่ะ....ไปเถอะค่ะองค์จ้าวฟ้า” เธอพยุงร่างของเด็กน้อยกลับห้อง ส่วนองค์เจ้าธารฟ้าได้เดินไปยังห้องขององครักษ์ (๑)

เมื่อองค์เจ้าฟ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาได้นั่งเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในมือก็กำสร้อยและเสื้อที่เปื่อยเลือดไว้

             “ทำไมเวลาจ้าวพี่โกรธถึงได้หน้ากลัวเช่นนี้ละนม จ้าวพี่ใจร้าย”

               นมถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ เขา “องค์จ้าวฟ้าอาจจะไม่เข้าใจ แต่องค์จ้าวพี่ได้ทำสิ่งที่ถูกที่สุดแล้ว”

             “ถูกยังไง จ้าวพี่สั่งโบยองครักษ์ของน้องป่านี้จะตายหรือเปล่า”  

              “ไม่ตายหรอกคะ ก็องค์จ้าวฟ้าได้ช่วยองครักษ์ผู้นั้นไว้นะคะ”

               “แต่ยังไงก็ใจร้ายอยู่ดี”

               “ฟังนมนะคะ หากคืนนี้จ้าวธารฟ้าหาจ้าวฟ้าไม่เจอ เมื่อกลับวังจ้าวฟ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้คะ”

             เขาส่ายหน้า “องครักษ์และเหล่าทหารของจ้าวฟ้ารวมทั้งนมด้วยจะไม่มีใครรอดเมื่อกลับถึงวัง ทุกคนต่างต้องรับโทษ แม้แต่องค์จ้าวธารฟ้าก็ต้องรับโทษเช่นกัน การที่องค์จ้าวพี่ทำอย่างนี้เพราะปกป้องทุกคน อย่างน้อยเรื่องคืนนี้ก็จะมีแค่เหล่าองครักษ์ส่วนพระองค์เท่านั้นที่รู้”

            “เรื่องนี้จะไม่ถึงหูท่านพ่อกับท่านแม่ใช่มั้ย” เขาถาม นมพยักหน้า ซึ่งเวลานี้พี่ชายได้ยืนฟังสิ่งที่นมพูดกับน้องชาย ก่อนจะกลับห้องของตัวเองไป

              “นอนเถอะนะจ้าวฟ้าน้อย พรุ่งนี้จ้าวพี่จะพาเที่ยวก่อนกลับนะคะ” เขามองหน้านม ในใจเขากังวลและไม่อยากเที่ยวแล้ว นมห่มผ้าให้เขา แล้วนำเสื้อที่เจ้าฟ้ากอดไว้ออกจากมือเขา ก่อนจะออกจากห้องไป เขาได้บอกนมว่า

               “นมครับ เสื้อตัวนั้นมีความหมายกับผมมาก นมช่วยพามันกลับไปด้วยนะครับ เพราะเสื้อตัวนี้เป็นของคนที่ช่วยชีวิตผมไว้”

              “คะ” แล้วนมก็ปิดประตู

             เจ้าฟ้าถอดสร้อยคอออกมาดู เขาจำภาพแววตา รอยยิ้ม บาดแผล และปานสีแดงไว้ในหัวของเขา

            “ผมจะไม่ลืมพี่ตะวัน พี่ตะวันรอผมนะ ผมจะตามหาพี่ให้เจอ”

ห้องนอนเจ้าธารฟ้า แม่นมเดินเข้ามาที่ห้อง

               “เหตุใดถึงใจร้ายกับจ้าวฟ้านักละคะ”

               “น้องเอาแต่ใจ ไม่ยอมเชื่อฟังผู้ใด นี่คงเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ของเขา”

               “ แบบนี้จ้าวฟ้าไม่คิดว่าจ้าวพี่ใจร้ายหรือคะ”

               “นม พรุ่งนี้ค่อยแก้ไขแล้วกัน”

              “แล้วจ้าวธารฟ้าจะทรงทูลท่านพ่อ ท่านแม่หรือเปล่าคะ”

              “เราจะบอกเอง”

             “แต่.....”

             “ไม่เป็นไร นมไปนอนเถอะ” (๒)

             “คะ”

          เมื่อรุ่งอรุณวันใหม่เจ้าธารฟ้าได้พาองค์เจ้าฟ้าเที่ยวตามสัญญา แม้องค์เจ้าฟ้ายังคงงอลพี่ชายอยู่แต่ก็ยอมไปเที่ยวด้วย พี่ชายจับมือน้องชายเดิน ไปทุกที่ที่สวยงาม จนถึงเวลาพักทานอาหาร ทั้งสองพระองค์ทรงทานอาหารที่จุดชมวิวที่สวยที่สุด เหล่าองครักษ์ก็แต่งตัวธรรมดาเพื่อไม่ให้ใครรู้ ต่างก็นั่งอยู่ห่าง ๆ ทานอาหารด้วยกัน

            “จ้าวฟ้าไม่สนุกเหรอ ที่มาเที่ยวกับพี่” เขาเงียบไม่ตอบ

            “โกรธพี่เรื่องเมื่อวานหรือ”

         เจ้าธารฟ้ายิ้มและนั่งมองน้องชายที่ทานอาหารโดยไม่พูดกับเขาสักคำ

        “รู้หรือมั้ยเมื่อเราโตขึ้นเราต้องแบกภาระมากมาย ชีวิตของประชาชน ชีวิตของคนที่รัก ชีวิตของใครอีกมากมาย แต่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบที่จะปกป้องทุกคนได้ หากองครักษ์ผู้นั้นไม่ถูกลงโทษจ้าวฟ้าก็คือผู้ที่จะถูกลงโทษ แต่องครักษ์เขาก็มีความผิดในแบบของทหาร แต่เขายอมถูกทำโทษมากกว่าที่เขาจะได้รับ เพราะต้องการปกป้ององค์จ้าวฟ้า และหากวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวฟ้า ทุกคนก็จะ...”

               เจ้าฟ้ามองหน้าพี่ชาย “เขาจะตายมั้ยครับ”

               “ไม่หรอก พี่ชายจ้าวฟ้าไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น จำไว้นะเมื่อเจ้าโตขึ้น อ่อนแอได้ ร้องไห้ได้ หักงอได้ แต่อย่ายอมแพ้ ครั้งนี้พี่อยากให้เจ้าจำไว้เป็นบทเรียน การที่เราเอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล ทุกอย่างหากผิดพลาดมันจะส่งผลตามมากมาย ครั้งนี้โชคดีที่เจ้าปลอดภัย แต่โอกาสมันไม่ได้มีทุกครั้งนะจ้าวฟ้า” เขาน้ำตาไหล

               “พี่ต้องทำอย่างไรให้น้องชายสุดที่รักหายโกรธหนะ”

               “น้องอยากเจอ คนที่ช่วยชีวิตน้องไว้ พี่เขาชื่อตะวัน”

               “อยากเจอเขาทำไมกัน”

               “น้องยังไม่ได้ขอบคุณ... และต้องการคืนของ.... และจะเอาของกลับคืน..... และ.....จะแต่งงานกับเขาด้วย”

               “ห่า....จ้าวฟ้า”

               “น้องพูดจริง ๆ น้องจะแต่งงานกับเขา จ้าวพี่ทำให้น้องไม่ได้หรือ”

               เจ้าธารฟ้าตกใจเล็กน้อยแต่ก็คิดว่านี่คือความคิดของเด็กคนหนึ่ง เมื่อโตขึ้นเขาคงลืมเรื่องนี้ไปแน่นอน แต่อย่างไรก็คงต้องลองตามหาตัวเด็กคนนั้นดู

               “ก็ได้ พี่เชื่อ พี่จะพยายามตามหาเขาแล้วส่งเจ้าไปหาเขานะ”

               “จริงนะจ้าวพี่” เจ้าฟ้ายิ้มออกมาได้

               “เล่าเรื่องของเขาให้พี่ฟังหน่อย"

               แล้วเขาก็เล่าเรื่องของตะวันที่ช่วยเขาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยแววตาที่ชื่นชม นำเสียงเขาดูมีความสุขเวลาพูดถึงตะวัน

..........................................................................................................................................................................................

             ทางด้านตะวันคืนนั้น เขาปั้นจักรยานกลับบ้านไปด้วยเนื้อตัวมอมแมม พ่อกับแม่เห็นตะวันเดินเข้ามาด้วยสภาพแบบนั้นถึงกับตกใจ ผู้เป็นแม่เมื่อเห็นแผลที่แขนของลูก เธอร้องไห้ออกมาทันที ต่างสอบถามตะวันว่าเกิดอะไร ตะวันเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้พ่อกับแม่ฟังอย่างละเอียด พวกเขารู้สึกภูมิใจในตัวของตะวันแต่ก็กังวลเช่นกัน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็พาตะวันไปทำแผลที่โรงพยาบาล เมื่อโรงพยาลเปิดข่าวดู ก็ได้มีข่าวโจรสองคนถูกจับในข้อหายาเสพติด สถาพพวกเขาดูไม่ได้เลยในเวลานี้ นักข่าวสอบถามพวกเขาว่าเกิดอะไร พวกเขาไม่ตอบ พูดแต่ว่าขอโทษครับพวกผมจะไม่เสพยาอีกแล้ว ผลตรวจเลือดพวกเขามีสารเสพติดจริง ประวัติเข้าคุกราวกับเป็นสวนสนุกเข้า ๆ ออก ๆ ตะวันเห็นหน้าชายทั้งสอง เขาก็บอกพ่อกับแม่ทันทีว่าพวกนี้แหละที่ทำร้ายผมกับเด็กอีกคน พ่อแม่มองหน้าและพาตะวันไปสถานีตำรวจทันที เพื่อแจ้งความเอาผิดพวกนี้อีกทางหนึ่ง ตำรวจรับเรื่องดำเนินคดีเพิ่มชายสองคนนั้นทันทีเช่นกัน.........๓

 

 

Hanna hB.

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.