หญิงสาวความจำเสื่อม

หนุ่มบ้านไร่ หัวใจอลเวง

-A A +A

หญิงสาวความจำเสื่อม

ทันทีที่มาถึงโรงพยาบาลคุณหมอก็รีบนำผู้บาดเจ็บเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน ตะวันฉายกับชลธรนั่งรออยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้องด้วยความรู้สึกเป็นห่วงหญิงสาวผู้นั้นแปลกๆ ทั้งที่ไม่เคยเจอหน้าและไม่เคยเจอกันมาก่อน หรืออาจเป็นเพราะความเป็นห่วงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็คงใช่ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ต้องเป็นห่วงกันเป็นธรรมดาน่ะถูกแล้ว

ขณะที่นั่งรอคุณหมอออกจากห้องฉุกเฉินตะวันฉายก็ถามเพื่อนว่า

“ไอ้ชล แกคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอะไรมั้ยวะ”

ชลธรส่ายหน้าพลางบอกว่า

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงวะ ก็ฉันไม่ใช่คุณหมอนี่ คนที่จะให้คำตอบแกได้คือคุณหมอเท่านั้น”

“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า

แล้วอีกฝ่ายก็ถามอย่างแปลกใจว่า

“เอ๊ะ ทำไมแกถึงได้เป็นห่วงเป็นใยผู้หญิงคนนั้นจนออกหน้าออกตา ฉันก็เป็นห่วงเธอแต่ก็คงไม่ได้ครึ่งหนึ่งของแกซะละมั้งเนี่ย”

“เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ต้องเป็นห่วงกันสิวะ แกห้ามคิดอะไรไปไกลเด็ดขาดเพราะเราเพิ่งเจอผู้หญิงคนนั้นครั้งแรก”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรแกสักหน่อย”

“แกไม่ได้ว่า แต่หน้าตาของแกมันฟ้อง”

“เฮ้ย! นี่แกอ่านหน้าฉันออกขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ก็เออสิวะ”

“แกสุดยอดจริงๆ ว่ะเพื่อน”

“เอาละ ฉันว่าเรามาเปลี่ยนเรื่องคุยจะดีกว่านะโว้ย ว่าแต่...แกคิดว่าเราควรจะไปแจ้งความดีมั้ยวะ ไอ้ชล” ตะวันฉายถามความคิดเห็นจากเพื่อน

ชลธรจึงบอกว่า

“เราไม่รู้จักชื่อผู้หญิงคนนั้นเลย แล้วอีกอย่าง เราก็ยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใครด้วย ทางที่ดีฉันว่าเธอฟื้นก่อนจะดีกว่าแล้วค่อยถามชื่อเธอ”

“อืม โอเค เอาแบบนั้นก็ได้”

“ผู้หญิงคนนั้นก็หนอ เธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่กลับขับรถตรงถนนเปลี่ยวๆ คนเดียวในตอนค่ำมืดดึกดื่น ช่างไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองเอาซะเลย”

“เธออาจจะไม่รู้จักถนนเส้นอื่นก็ได้ เธออาจจะรู้จักแค่ถนนเส้นนั้นเธอก็เลยขับไปตรงถนนเส้นนั้น” อีกฝ่ายว่า

“ก็อาจจะใช่” ชลธรพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อน

แล้วการสนทนาของทั้งสองคนก็ต้องจบลงเมื่อคุณหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ตะวันฉายรีบลุกไปถามเป็นคนแรก

“คุณหมอครับ ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้างครับ”

คุณหมอจึงบอกว่า

“ตอนนี้เธอพ้นขีดอันตรายแล้วครับ ดีที่คุณสองคนพาตัวเธอมาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แต่ถ้าพามาส่งช้ากว่านี้เธออาจไม่รอด”

ชายหนุ่มยกมือไหว้คุณหมอ

“ขอบคุณนะครับคุณหมอ”

คุณหมอพยักหน้ายิ้มๆ

“ครับ ถ้างั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” คุณหมอหันหลังจะเดินออกไปแต่กลับถูกเรียก

“เดี๋ยวก่อนครับคุณหมอ เอ้อ เมื่อไหร่เธอจะฟื้นครับ” ตะวันฉายถาม

คุณหมอจึงกลับมาตอบว่า

“สมองของคนไข้ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากของแข็งๆ ที่ตีศีรษะ ซึ่งอาจทำให้คนไข้ฟื้นช้าสักหน่อย อาจจะอีกสองถึงสามวันจึงจะฟื้น แต่...”

“แต่อะไรครับคุณหมอ” คราวนี้ชลธรเป็นคนถาม

คุณหมอจึงบอกว่า

“แต่ถ้าคนไข้ฟื้นขึ้นมาแล้วความทรงจำของคนไข้อาจหายไปบางส่วน คนไข้อาจจำได้เฉพาะเหตุการณ์ที่เพิ่งเผชิญมา แต่เหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้านั้นคนไข้อาจจะจำไม่ได้ แต่คุณสองคนไม่ต้องตกใจไปนะครับ หมอแค่ใช้คำว่าอาจจะ ต้องรอดูตอนที่คนไข้ฟื้นอีกทีว่าเธอจะจำอะไรเกี่ยวกับตัวเธอได้บ้างมั้ย ถ้าจำได้ก็ดีไป แต่ถ้าจำไม่ได้ก็พยายามช่วยฟื้นความทรงจำให้กับเธอครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวก่อนนะครับ” แล้วคุณหมอก็เดินออกไป

คล้อยหลังคุณหมอทั้งสองหนุ่มก็กลับไปนั่งที่เดิม แล้วตะวันฉายก็พูดขึ้นว่า

“นี่ถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นความจำเสื่อมขึ้นมาจริงๆ อย่างที่คุณหมอว่า แล้วเราจะช่วยเธอยังไงดีวะ”

“ไม่เห็นจะยากอะไรเลยนี่ เราก็แค่ดูแลเธอไปก่อนจนกว่าความจำของเธอจะกลับคืนมา หรือไม่ก็พาเธอไปแจ้งความกับตำรวจ” ชลธรออกความคิดเห็น

อีกฝ่ายนิ่งคิดสักครู่ ก่อนจะตั้งข้อสันนิษฐานว่า

“ดูจากบาดแผลบนหัวของผู้หญิงคนนั้นแล้วฉันว่าไม่ใช่แค่การชิงทรัพย์ธรรมดาแน่นอน เพราะบาดแผลใหญ่มาก คนร้ายมันจะน่าจะเอาไม้เบสบอลหรือไม่ก็อะไรสักอย่างที่แข็งๆ ตีหัวของผู้หญิงคนนั้น มันคงกะว่าจะเอาให้ถึงตายเลยละมั้ง”

“แกเป็นตำรวจหรือไงถึงได้พูดแบบนั้นน่ะ”

“ฉันก็แค่สันนิษฐานเฉยๆ”

“แต่ฉันว่ามันเป็นการชิงทรัพย์นั่นแหละ พอผู้หญิงคนนั้นไม่ให้กระเป๋าหรือของมีค่าไอ้คนร้ายมันก็เลยทำร้ายเธอด้วยการตีหัวแล้วเอาของไป”

“ถ้าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์จริงแล้วทำไมไอ้คนร้ายมันถึงไม่ขับรถของผู้หญิงคนนั้นไปด้วยเล่า ดูจากยี่ห้อของรถราคาน่าจะหลายล้านอยู่เหมือนกัน”

“มันจะเอาไปได้ยังไงในเมื่อรถสตาร์ทไม่ติด รถของผู้หญิงคนนั้นเสีย”

“ถ้ามันฉลาดมันคงหาวิธีเอาไปจนได้”

“เอาเถอะ อย่าเพิ่งเดาอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเลย เรารอให้ผู้หญิงคนนั้นฟื้นก่อนจะดีกว่าแล้วค่อยถามเธอ”

“อืม ถ้างั้นเรากลับบ้านกันเถอะ ป่านนี้อชิคงถามหาฉันแล้ว” ตะวันฉายบอก

“แล้วผู้หญิงคนนั้น...” ชลธรชี้เข้าไปในห้องฉุกเฉิน

อีกฝ่ายจึงบอกว่า

“คุณหมอกับคุณพยาบาลจะดูแลเธอเอง เมื่อเธอฟื้นคุณหมอจะโทร.ไปหาเรา”

“โอเค ถ้างั้นเรากลับกันเถอะ นี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย”

“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้น

แล้วทั้งสองหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องฉุกเฉิน และทิ้งความสงสัยไว้ตรงนั้นโดยไม่เอากลับไปด้วย เมื่อหญิงสาวผู้ที่พวกเขาช่วยเหลือฟื้นคุณหมอจะโทร.ไปบอกทันที เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงหายห่วงไปได้เลย พวกเขาจึงพากันกลับบ้านไปพักผ่อนทันที

 

 

ตะวันฉายกับชลธรแยกย้ายกันกลับบ้าน เมื่อตะวันฉายกลับมาถึงบ้านก็พบว่าลูกชายนั่งรอเขาอยู่ที่ห้องรับแขกกับป้าจิต เด็กชายยังไม่นอน เขาจึงเดินไปทักทายลูก

“อ้าว! อชิ ทำไมลูกยังไม่นอนอีกล่ะ”

“พ่อกลับมาแล้ว” เด็กชายกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเมื่อเห็นบิดากลับมา

ตะวันฉายยิ้มเอ็นดูลูกชาย ก่อนจะย่อตัวลงและดึงลูกชายมาหอมแก้ม

“ทำไมวันนี้ลูกนอนดึกจังครับ”

“ผมรอพ่อก่อนครับ” น้องอชิตอบพลางส่งยิ้มน่ารักๆ ให้บิดา

แล้วป้าจิตก็บอกผู้เป็นเจ้านายว่า

“ป้าจะพาขึ้นไปนอนแต่คุณอชิเธอไม่ยอมค่ะ เธอจะรอแต่พ่ออย่างเดียวเลยค่ะ”

“ก็ผมจะรอนอนพร้อมพ่อนี่ครับ” เด็กชายบอก

ตะวันฉายส่งยิ้มให้ป้าจิต ก่อนจะหันมาพูดกับลูกชาย

“พ่อขอโทษนะครับที่ทำให้ลูกรอ พอดีพ่อไปทำธุระมาน่ะก็เลยกลับดึกหน่อย คราวหลังถ้าพ่อกลับดึกอชิไม่ต้องรอพ่อนะครับ อชิเข้านอนก่อนพ่อเลยนะ”

“พ่อไปทำธุระอะไรมาครับ” ดูเหมือนว่าน้องอชิจะอยากรู้

ผู้เป็นบิดาจึงบอกว่า

“อ้อ พอดีพ่อกับอาชลกลับมาจากทำธุระในตัวเมืองแล้วเจอผู้หญิงคนหนึ่งบาดเจ็บหนักนอนสลบอยู่ข้างทาง ผู้หญิงคนนั้นถูกทำร้าย พ่อกับอาชลก็เลยพาเธอไปส่งโรงพยาบาลน่ะครับ”

“ตายจริง แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรมากมั้ยคะคุณตะวันฉาย” ป้าจิตได้ฟังที่เจ้านายเล่าก็ถึงกับตกใจ

“ก็เป็นมากอยู่นะครับ เธอถูกตีหัวจนเลือดไหลออกเยอะเลย คาดว่าแผลน่าจะใหญ่อยู่ คุณหมอบอกว่าน่าจะอีกสองถึงสามวันเธอจึงจะฟื้นครับ” ตะวันฉายบอกกับแม่ครัว

อีกฝ่ายยกมือทาบอกด้วยความตกใจอีกครั้ง

“อุ๊ยต๊าย เวรกรรมของเธอแท้ๆ เลยนะคะเนี่ย ว่าแต่ทำไมเธอถึงถูกทำร้ายได้ล่ะคะ”

“คือตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นถูกดักทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์หรือเธอถูกดักฆ่าโดยตรง ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้มาก ต้องรอให้เธอฟื้นก่อนถึงจะรู้ครับ แต่...”

“แต่อะไรคะคุณตะวันฉาย”

“แต่คุณหมอบอกว่าถ้าเธอฟื้นขึ้นมาความจำของเธออาจหายไปบางส่วน เพราะเธอถูกของแข็งๆ ตีหัวแล้วกระทบกระเทือนไปถึงสมอง เธออาจจำได้เฉพาะเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งจะเผชิญมา ส่วนเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้านั้นเธออาจจำไม่ได้ แต่คุณหมอบอกว่าไม่ต้องตกใจ ต้องรอให้เธอฟื้นก่อนแล้วจะรู้ว่าเธอจะจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองได้บ้างมั้ย”

ป้าจิตได้ฟังที่เจ้านายเล่าก็รู้สึกสงสารผู้หญิงคนนั้นเสียเหลือเกิน หล่อนถึงกับถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ! เธอช่างโชคร้ายจริงๆ เลยนะคะ เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวถูกทำร้ายจนเจ็บหนัก แล้วถ้าเกิดความจำเสื่อมขึ้นมา...”

“ต้องรอให้เธอฟื้นก่อนครับ ตอนนี้ยังด่วนสรุปอะไรไม่ได้”

“เอ้อค่ะ” หล่อนพยักหน้ารับรู้

แล้วน้องอชิก็หาวง่วงนอน เด็กชายจึงบอกกับบิดาว่า

“พ่อครับ ผมง่วงนอนแล้วครับ”

“ไปสิครับลูก” ตะวันฉายยิ้มให้ลูกชาย ก่อนจะหันไปบอกแม่บ้าน “ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับป้าจิต”

“ค่ะ ป้าก็จะไปนอนเหมือนกันค่ะ”

“ครับ” เจ้านายหนุ่มพยักห2น้า ก่อนจะพาลูกชายเดินออกไปจากห้องรับแขกทันที

ส่วนป้าจิตก็จัดการปิดไฟ จากนั้นก็เดินออกไปเช่นกัน

 

 

เช้าวันใหม่...อรรถพล ธัญวณีย์ และอติวิชญ์กำลังนั่งทานอาหารเช้ากันอยู่ สถานการณ์บนโต๊ะอาหารเงียบกริบ ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาทานอย่างเดียว แต่ยังไม่ทันจะทานอิ่มเสียงโทรศัพท์ของอรรถพลก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดูว่าเป็นเบอร์ของใคร แต่ในหน้าจอไม่ปรากฏชื่อเขาก็ลังเลว่าจะรับสายดีหรือไม่

“ใครกันที่โทร. มา”

“ใครโทร. มาหาคุณเหรอคะ” ธัญวณีย์ถามผู้เป็นสามี

อีกฝ่ายจึงส่ายหน้า

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ในหน้าจอไม่ปรากฏชื่อเลย และเบอร์นี้ผมเองก็ไม่คุ้นด้วย” แต่เขาก็ตัดสินใจกดรับสาย “สวัสดีครับ นี่เบอร์ใครครับ”

“หนูชื่อจิ๊บค่ะ เป็นเพื่อนของยายณิสค่ะ” ปลายสายตอบกลับมา ที่แท้เป็นเพื่อนของปาณิสรานั่นเอง

“อ้าว! หนูจิ๊บ มีอะไรหรือเปล่าถึงได้โทร. มาหาพ่อ” เขาถามกลับไป

ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบว่า

“เอ้อ คือว่าตอนนี้ยายณิสหายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ พวกหนูขับรถไปก่อนค่ะ ส่วนยายณิสขับตามหลังพวกหนู แต่...แต่พวกหนูนึกว่ายายณิสจะขับตามไปติดๆ หันหลังไปอีกทียายณิสก็...”

“หนูว่ายังไงนะ” อรรถพลตกใจกับสิ่งที่เพื่อนของลูกสาวบอก

เพื่อนของปาณิสราที่มีนามว่า ‘จิ๊บ’ จึงบอกมาอีกว่า

“หนูขอโทษนะคะคุณพ่อ คือหนูนึกว่ายายณิสจะขับรถตามหลังหนูติดๆ หนูก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่หนูกับเพื่อนๆ ก็พยายามติดต่อยายณิสอยู่นะคะ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้เลยค่ะ ก็ไม่รู้ว่าแบตหมดหรืออะไร”

“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง ไปเที่ยวด้วยกันแท้ๆ แทนที่จะรอกันสักหน่อยก็ไม่มี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจมากๆ

“หนูขอโทษอีกครั้งนะคะ คือ...”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่นี้แหละ” ไม่รอให้คนปลายสายพูดจบเขาตัดสายทิ้งด้วยความโมโหทันที

เมื่อสามีจบการสนทนาทางโทรศัพท์ธัญวณีย์ก็ถามเขาว่า

“คุณคะ มันเกิดอะไรขึ้นกับลูกณิสคะ”

“นั่นสิครับคุณพ่อ สีหน้าของคุณพ่อดูตกใจมาก แปลว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับพี่ณิสแน่ๆ” อติวิชญ์ก็พูดอย่างสงสัย

ผู้เป็นบิดาพยักหน้าด้วยสีหน้าเครียดๆ

“ใช่ ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ใหญ่มากๆ ด้วย เพื่อนของยายณิสโทร. มาบอกว่ายายณิสหายไปไหนไม่รู้ เขานึกว่ายายณิสจะขับรถตามหลังติดๆ แต่หันหลังไปอีกทียายณิสก็หายไปแล้ว”

“หา! นี่มันอะไรกันคะเนี่ย โอ๊ย ฉันอยากจะเป็นลม” หล่อนยกมือกุมขมับอย่างเครียดๆ

“เห็นว่าพี่ณิสไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ไม่ใช่เหรอครับคุณพ่อ แล้วทำไมจู่ๆ พี่ณิสถึงหายไปได้ครับ” อติวิชญ์ถามบิดาด้วยความแปลกใจ

อรรถพลจึงตอบลูกชายว่า

“ยายณิสไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็จริงอยู่ แต่ขับรถคนละคัน ยายณิสขับรถของตัวเองไปคนเดียว ส่วนเพื่อนๆ ก็นั่งรถอีกคันรวมกัน รถของเพื่อนๆ ขับนำหน้าไป แต่ยายณิสขับตามหลัง แต่เพื่อนของยายณิสบอกว่าก็ไม่รู้ว่ายายณิสหายไปไหน นึกว่ายายณิสจะขับรถตามหลังติดๆ”

“แบบนี้ต้องเอาเรื่องกับกลุ่มเพื่อนของพี่ณิสให้ถึงที่สุดนะครับคุณพ่อ โทษฐานที่ทำให้พี่ณิสหายไป เพื่อนแบบนี้ใช้ไม่ได้เลยนะครับ”

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก”

“ลูกหายไปทั้งคนคุณยังใจเย็นอยู่อีกเหรอคะ” ธัญวณีย์ถามสามีอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“นั่นสิครับคุณพ่อ พี่ณิสหายไปทั้งคน แล้วนี่คุณพ่อยังจะทำเป็นใจเย็นอยู่อีกเหรอครับ” ชายหนุ่มเห็นด้วยกับมารดา

ประมุขของบ้านจึงบอกลูกชายว่า

“ไม่ใช่แบบนั้น พ่อไม่ได้ใจเย็น แต่เราต้องมีสติและช่วยกันคิดว่ายายณิสจะหายไปไหน ไปอยู่ที่ไหน”

“แต่ยายณิสไม่มีเพื่อนที่เชียงใหม่นะคะคุณ แล้วยายณิสจะหายไปไหน จะไปหาใคร” ผู้เป็นภรรยาทำท่าคิด

“นั่นสินะ” เขาคิดตามภรรยา

ขณะที่ทั้งสามคนกำลังช่วยกันคิดอยู่ วรเมธก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสามคนที่ดูเครียดๆ เขาก็ถามว่า

“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ ทำไมดูสีหน้าของทุกคนเครียดจังครับ”

“อย่าสาระแน มันไม่ใช่เรื่องของแก” ธัญวณีย์มองคนถามด้วยความไม่พอใจ

อีกฝ่ายจึงบอกว่า

“ผมไม่ยุ่งไม่ได้หรอกครับ เพราะถึงยังไงคุณณิสก็เป็นน้องของผม ผมเป็นห่วงเธอ”

“ฮึ! น้องที่ไม่นับถือว่าแกเป็นพี่น่ะสิ ช่างกล้าพูดออกมาได้นะ”

“คุณณีย์” อรรถพลปรามภรรยาเบาๆ

ผู้เป็นภรรยาหันขวับมองสามีอย่างไม่พอใจนัก

“นี่คุณคิดจะปกป้องไอ้ลูกขี้ข้างั้นเหรอคะ หา!”

“มันไม่ใช่เวลามาเถียงกันนะคุณณีย์ มันเป็นเวลาที่เราควรจะต้องตามหาลูกมากกว่า คุณเลิกเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลซะทีเถอะ ผมรำคาญ”

“นี่คุณว่าฉันไม่มีเหตุผลงั้นเหรอคะ อ๊าย!” หล่อนปรี๊ดแตก

อรรถพลมองภรรยาอย่างรำคาญแต่ไม่ตอบ ก่อนจะลุกขึ้นและหันไปพูดกับวรเมธ

“ตาเมธ เดี๋ยวแกไปโรงพักกับพ่อหน่อยนะ พ่อจะไปแจ้งความให้ตำรวจประสานงานกับตำรวจที่เชียงใหม่ให้ช่วยตามหายายณิส”

“ได้ครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มพยักหน้าพลางยิ้ม

“งั้นผมขอไปด้วยนะครับคุณพ่อ” อติวิชญ์ขอไปด้วย

ผู้เป็นบิดาส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอก แกอยู่กับแม่ของแกนี่แหละ เดี๋ยวพ่อจะไปกับตาเมธ”

“แต่...”

“ไปกันเถอะตาเมธ” อรรถพลหันไปพูดกับลูกชายอีกคน โดยไม่สนใจคำพูดของอติวิชญ์

วรเมธพยักหน้าอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็เดินออกไปจากห้องรับประทานอาหารพร้อมกับบิดา

อติวิชญ์มองตามหลังวรเมธไปอย่างแค้นๆ ก่อนจะหันไปพูดกับมารดาว่า

“ผมอยากรู้ว่าไอ้ลูกขี้ข้ามันมีดีอะไรนักหนา คุณพ่อถึงได้รักมันมากกว่าผม ผมละไม่เข้าใจ”

“ก็มันชอบสร้างภาพให้คุณพ่อเห็นว่ามันเป็นคนดีไง ฮึ! มันคงคิดว่าแม่ไม่รู้ธาตุแท้ของมันละสิ แม่น่ะรู้ถึงตับไตไส้พุงของมันหมดแล้ว แต่แม่แค่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้นเอง” ธัญวณีย์บอกลูกชาย

“คุณแม่รู้อะไรดีๆ มาใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ

ผู้เป็นมารดายิ้มมุมปาก ก่อนจะบอกลูกชายว่า

“แม่รู้เยอะเลยละ”

“บอกผมหน่อยได้มั้ยครับ”

“ได้สิลูก” หล่อนพยักหน้า

จากนั้นผู้เป็นมารดาก็เริ่มเล่าเรื่องที่รู้มาให้ลูกชายฟัง อติวิชญ์ก็ฟังอย่างสนอกสนใจมากๆ

 

 

“ผมอยากจะให้คุณตำรวจช่วยโทร. ประสานงานกับคุณตำรวจทุกโรงพักที่จังหวัดเชียงใหม่ให้หน่อยครับ คือลูกสาวของผมเดินทางไปเที่ยวที่นั่นกับกลุ่มเพื่อนๆ แต่เพื่อนคนหนึ่งของลูกสาวผมโทร. มาบอกผมว่าลูกสาวของผมขับรถตามหลังรถของพวกเธอติดๆ ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่พอหลังไปอีกทีก็ไม่เห็นรถของลูกสาวผมแล้ว จู่ๆ ไม่รู้ลูกสาวของผมหายไปไหน นี่ก่อนที่ผมจะมาถึงโรงพักผมก็พยายามติดต่อลูกสาวของผม แต่ได้ยินเพียงเสียง ‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง’ เท่านั้นครับ” นั่นคือคำพูดของอรรถพลที่พูดกับตำรวจเมื่อมาถึงสถานีตำรวจ ตอนนี้จะสังเกตเห็นได้ว่าสีหน้าของเขานั้นกำลังเป็นกังวลมากๆ กลัวจะเกิดอันตรายกับลูกสาว

ตำรวจที่เป็นผู้รับแจ้งความจึงบอกว่า

“ถ้างั้นเราคงต้องเรียกกลุ่มเพื่อนของลูกสาวของคุณมาสอบปากคำครับ เพราะการหายไปของลูกสาวของคุณกลุ่มเพื่อนน่าสงสัยที่สุด”

“แต่สิ่งที่ผมอยากให้คุณตำรวจทำในตอนนี้ก็คือ ผมอยากให้คุณตำรวจโทร. ประสานงานกับคุณตำรวจทุกโรงพักที่จังหวัดเชียงใหม่ ให้ช่วยตามหาลูกสาวของผมครับ แล้วหลังจากนั้นค่อยเรียกกลุ่มเพื่อนของลูกสาวผมมาสอบปากคำครับ” เขาบอกกับตำรวจ

วรเมธเห็นด้วยกับบิดา เขาจึงพูดกับตำรวจว่า

“ใช่ครับคุณตำรวจ สิ่งที่คุณตำรวจต้องทำในตอนนี้คือโทร. ประสานกับคุณตำรวจทุกโรงพักที่จังหวัดเชียงใหม่ให้ช่วยตามหาน้องสาวของผม ตอนนี้ผมกับคุณพ่อเป็นห่วงน้องสาวมาก กลัวจะเกิดอันตรายกับเธอครับ”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะดำเนินการให้ทันทีครับ” คุณตำรวจรับปาก

อรรถพลยกมือไหว้คุณตำรวจ

“ขอบคุณมากนะครับคุณตำรวจ”

“ยินดีครับ ถ้าได้เรื่องยังไงเดี๋ยวผมจะรีบแจ้งให้คุณอรรถพลทราบทันทีครับ”

“ครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ” เขายกมือไหว้คุณตำรวจอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

“ครับ สวัสดีครับ” คุณตำรวจรับไหว้

แล้วจากนั้นอรรถพลกับวรเมธก็เดินออกไปจากห้องของตำรวจนายนั้นทันที

 

 

“ตาเมธ ขับรถไปที่เชียงใหม่เลยลูก” ผู้เป็นบิดาบอกกับลูกชายขณะที่นั่งอยู่บนรถ โดยลูกชายเป็นคนขับ

วรเมธจึงถามด้วยความแปลกใจว่า

“ไปทำไมครับคุณพ่อ ก็ในเมื่อเราบอกให้คุณตำรวจช่วยโทร. ประสานงานกับคุณตำรวจทุกโรงพักในจังหวัดเชียงใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ไม่เห็นต้องไปเองเลยนี่ครับ”

“พ่อใจร้อน พ่อเป็นห่วงยายณิส พ่อกลัวยายณิสจะเกิดอันตราย”

“ถ้าพวกเราไปแล้วพวกเราจะรู้เหรอครับว่าจุดที่คุณณิสหายไปอยู่ตรงไหน จังหวัดเชียงใหม่ออกจะกว้างใหญ่นะครับคุณพ่อ”

“ก็ตามหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ พ่อรอไม่ได้จริงๆ พ่อเป็นห่วงยายณิส” อรรถพลบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียดสุดๆ

“แต่...” ดูเหมือนวรเมธจะแย้งบิดา

ผู้เป็นบิดาจึงถามลูกชายอย่างสงสัยว่า

“ตาเมธ แกเป็นอะไร ดูเหมือนว่าแกจะไม่อยากให้พ่อไปตามหายายณิสเลยน่ะฮึ!”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น” ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ

“ถ้าไม่ได้คิดก็แค่ขับรถไปที่เชียงใหม่ตามที่พ่อบอกก็พอ...นะ” ผู้เป็นบิดาบอก

อีกฝ่ายพยักหน้า

“ครับ คุณพ่อ” แล้วตั้งใจขับรถต่อไป

 

 

วันนี้ตะวันฉายขับรถมาซื้อของที่ตัวเมืองเชียงใหม่กับชลธร เมื่อซื้อของเสร็จก็พากันแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านประจำ เวลามาทำธุระในตัวเมืองทีไรตะวันฉายกับชลธรจะชอบแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้ทุกครั้งเลย เพราะร้านนี้ของทั้งสดและสะอาด บริการลูกค้าดี ทั้งสองคนเข้าร้านนี้หลายครั้งจนเจ้าของร้านจำหน้าได้แล้ว

“วันนี้เอาเส้นอะไรดีคะ คุณตะวันฉายคุณชลธร” เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงวัย ๔๐ กลางๆ มีนามว่า ‘เจ๊ปริม’ ถามลูกค้าหนุ่มทั้งสองคนด้วยท่าทียิ้มแย้ม

อันที่จริงไม่ใช่แค่จำหน้าทั้งสองคนได้ แต่เจ้าของร้านยังรู้จักชื่อของพวกเขาอีกด้วย นั่นเป็นเพราะว่าหล่อนเคยถามชื่อพวกเขาถึงได้รู้นั่นเอง

“เหมือนเดิมครับเจ๊” ตะวันฉายตอบยิ้มๆ ก่อนจะหันไปถามเพื่อน “แล้วแกล่ะ ไอ้ชล แกเอาเส้นอะไร”

ชลธรจึงบอกว่า

“เอาเส้นก๋วยเตี๋ยว”

“ไอ้นี่ ชอบตอบกวนอยู่เรื่อย”

คนถูกว่ากลับหัวเราะ

“ฉันล้อเล่นน่ะ...ฉันก็เอาเหมือนเดิมนั่นแหละ”

“โอเคค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งรอได้เลยนะคะ รับรองไม่นานค่ะเดี๋ยวได้กิน” เจ๊ปริมบอกยิ้มๆ

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปนั่งที่โต๊ะๆ หนึ่งที่ยังว่าง ไม่นานนักเจ๊ปริมก็เอาก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ

“ได้แล้วค่ะ เส้นเล็กน้ำตกกับหมี่เหลืองน้ำตก”

“ขอบคุณครับ” สองหนุ่มยกมือไหว้พร้อมกัน

เจ๊เจ้าของร้านยิ้มให้สองหนุ่มก่อนจะก็เดินออกไป

แล้วตะวันฉายกับชลธรก็จัดการปรุงก๋วยเตี๋ยวของตัวเองทันที แต่ก่อนที่จะลงมือกินชลธรก็ถามเพื่อนว่า

“เอ้อ ไอ้ตะวัน ขากลับฉันว่าเราแวะไปเยี่ยมคุณผู้หญิงคนนั้นที่โรงพยาบาลหน่อยดีมั้ยวะ”

“อืม ก็ดีเหมือนกันนะ” ตะวันฉายพยักหน้าเห็นด้วย

อีกฝ่ายจึงบอกว่า

“ถ้างั้นก็รีบกินเถอะ จะได้รีบไป”

ผู้เป็นเพื่อนพยักหน้า จากนั้นสองหนุ่มก็ลงมือกินก๋วยเตี๋ยวทันที พวกเขากินด้วยความเอร็ดอร่อย เพราะก๋วยเตี๋ยวร้านนี้อร่อยจริงๆ การันตีได้จากลูกค้าที่เข้าร้านวันละหลายคน ทุกคนต่างเอ่ยปากเป็นเสียงเดียวกันว่าก๋วยเตี๋ยวร้านนี้อร่อยที่สุด ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงก็อร่อย ซึ่งตะวันฉายกับชลธรก็คิดเหมือนทุกคน เวลาที่เข้ามาทำธุระในตัวเมืองทีไรพวกเขาถึงได้มากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้ทุกครั้งอย่างไรเล่า ก็เพราะว่าไม่มีร้านไหนที่จะอร่อยเท่าร้านนี้อีกแล้ว สองหนุ่มจึงเลือกที่จะกินก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ร้านเดียวเท่านั้น

 

 

“เคยเห็นผู้หญิงในรูปมั้ยครับ” นั่นคือคำถามที่อรรถพลถามผู้คนในตลาดสดแห่งหนึ่งที่ตัวเมืองเชียงใหม่ เขาเปิดรูปภาพของลูกสาวในโทรศัพท์ให้หลายๆ คนดูและถาม

แต่ก็ได้รับคำตอบว่า

“ไม่เคยเห็นค่ะ” ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตอบ

ส่วนวรเมธก็แยกจากบิดาไปถามผู้คนในตลาดสด โดยใช้รูปของปาณิสราที่มีอยู่ในโทรศัพท์ของเขาถามคนเหล่านั้น

“คุณพี่เคยเห็นผู้หญิงในรูปมั้ยครับ เธอเคยมาที่นี่หรือเปล่าครับ”

“ฉันไม่เคยเห็นเลยค่ะ” นั่นคือคำตอบที่ได้รับ

แต่ชายหนุ่มก็ยังคงถามคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่เคยเห็น’ เขาจงเดินออกจากตลาดสดเจอกับบิดา เขาจึงบอกกับท่านว่า

“ไม่มีใครเคยเห็นคุณณิสเลยครับคุณพ่อ แปลว่าคุณณิสไม่เคยมาแถวนี้”

“แล้วยายณิสจะไปที่ไหน...พ่อถามคนอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบว่าไม่เคยเห็น ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยเห็น โธ่! ยายณิส ป่านนี้แกอยู่ไหนเนี่ย ไม่ว่าแกจะอยู่ที่ไหนพ่อก็ขอให้แกปลอดภัย อย่าเป็นอะไรเลยนะ” อรรถพลพูดอย่างเครียดๆ ด้วยความเป็นห่วงลูกสาว ไม่รู้ว่าป่านนี้ลูกสาวอยู่ที่ไหน ติดต่อก็ติดต่อไม่ได้ จะแบตหมดหรืออะไรก็ไม่อาจรู้ได้ ก็ได้แต่ภาวนาให้ลูกสาวปลอดภัย อย่าได้เป็นอะไรเลย

“ผมเชื่อว่ายังไงคุณณิสจะต้องปลอดภัยครับคุณพ่อ เธอไม่เป็นอะไรหรอกครับ” วรเมธบอกอย่างมั่นใจ

ผู้เป็นบิดาพยักหน้า

“พ่อก็เชื่อว่ายายณิสจะต้องปลอดภัย พระจะต้องคุ้มครองยายณิส...แล้วนี่เราจะไปตามหายายณิสที่ไหนต่ออีก”

“นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว ผมว่าเราไปหาที่พักก่อนดีมั้ยครับคุณพ่อ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”

“ก็ดีเหมือนกัน พ่อก็รู้สึกเพลียๆ ว่าแต่...แถวนี้มีโรงแรมมั้ย”

“มีครับคุณพ่อ ตอนมาผมเหมือนจะเห็นป้ายโรงแรมอยู่ใกล้ๆ นี่เองครับ”

“อืม ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ” อรรถพลเดินนำหน้าลูกชายไป แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขาจึงล้วงหยิบออกจากกระเป๋ากางเกงและกดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของภรรยา

“ฮัลโหล คุณณีย์...อ้อ ตอนนี้ผมอยู่ที่เชียงใหม่น่ะ ผมมาตามหาลูก ผมบอกให้คุณตำรวจที่กรุงเทพฯ โทร. ประสานงานกับคุณตำรวจทุกโรงพักในจังหวัดเชียงใหม่ให้ช่วยตามหาลูกของเราแล้ว แต่...แต่ผมร้อนใจ ผมรอไม่ได้ก็เลยต้องมาตามหาลูกด้วยตัวเอง ตอนนี้ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเลย ถามคนทั่วไปก็ไม่มีใครเคยเห็นยายณิสเลย วันนี้ผมว่าจะหยุดพักก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยตามหาใหม่ ยังไงผมก็ไม่ยอมแพ้หรอก จะต้องเจอยายณิส ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวผมจะโทร. บอกคุณ แค่นี้นะ คุณไม่ต้องเครียดนะ ยังไงก็ต้องเจอลูกของเรา” แล้วก็วางสายไป

หลังจากที่บิดาวางสายผู้เป็นลูกชายก็ถามว่า

“แม่ใหญ่โทร. มาถามข่าวคุณณิสเหรอครับคุณพ่อ”

“ใช่!” ผู้เป็นพ่อพยักหน้า “เธอเครียดมาก แต่พ่อก็บอกเธอไปแล้วว่ายังไงก็ต้องเจอยายณิส ยังไงเราก็ต้องตามหายายณิสให้เจอให้ได้ พ่อรู้สึกเป็นห่วงยายณิส”

“ผมก็เป็นห่วงคุณณิสไม่แพ้คุณพ่อครับ ยังไงซะก็ต้องเจอคุณณิสครับ”

“แกเป็นพี่ที่แสนดีขนาดนี้ แต่ทำไมนะ ทำไมยายณิสถึงเกลียดแก ไม่ยอมรับแกเป็นพี่ พ่อละไม่เข้าใจยายณิสเลยจริงๆ”

“ไม่เป็นไรครับคุณพ่อ คุณณิสจะคิดยังไงกับผมก็ช่างเถอะครับ ผมไม่ถือสาหาความอะไร เพราะถึงยังไงผมกับคุณณิสก็มีพ่อคนเดียวกัน”

ผู้เป็นบิดามองหน้าลูกชายอย่างซาบซึ้งใจพลางส่งยิ้มให้แต่ไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินต่อไป โดยมีลูกชายเดินตามไป

 

 

ตะวันฉายกับชลธรแวะเยี่ยมหญิงสาวที่พวกเขาช่วยเหลือที่โรงพยาบาล ตอนนี้หล่อนนอนอยู่ในห้องพักฟื้นพิเศษโดยมีผ้าก๊อซพันศีรษะไว้ และค่ารักษาจากอาการบาดเจ็บของหล่อนตะวันฉายจะเป็นคนจ่ายเองทั้งหมด เพราะชายหนุ่มชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว เมื่อเขาช่วยเหลือใครเขาก็จะช่วยเหลือให้ถึงที่สุด ไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นคนที่เขารู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม เขาพร้อมจะช่วยเหลือทุกคนทั้งนั้น

“คุณหมอครับ ผู้หญิงคนนี้เธอเป็นยังไงบ้างครับ แล้วเมื่อไหร่เธอจะฟื้นครับ” นั่นคือคำถามที่ตะวันฉายถามคุณหมอหลังจากที่คุณหมอตรวจคนไข้เสร็จแล้ว

คุณหมอยิ้มให้กับคนที่ถาม ก่อนจะตอบว่า

“อาการของคนไข้ดีขึ้นเยอะเลยครับ คาดว่าไม่เกินสองวันก็น่าจะฟื้น ส่วนแผลบนศีรษะของคนไข้ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ”

“ขอบคุณครับคุณหมอ” สองหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอพร้อมกัน

“ไม่เป็นไรครับ ถ้างั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” คุณหมอยิ้มให้ทั้งสองคน ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง แต่ยังไม่ทันเดินออกไปพ้นจากห้องก็กลับถูกเรียกตัว

“คุณหมอครับ เดี๋ยวก่อนครับ” ตะวันฉายเรียกคุณหมอ นั่นเป็นเพราะว่าเขามองเห็นนิ้วมือของผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงกระดิกเล็กน้อย

คุณหมอจึงหันกลับมาถาม

“มีอะไรเหรอครับ”

“เมื่อกี้ผมเห็นนิ้วของเธอกระดิกครับ ผมสงสัยว่าเธอคงจะรู้สึกตัวแล้ว” ชายหนุ่มตอบยิ้มแย้ม

เท่านั้นละคุณหมอจึงเดินกลับมาดูคนไข้ก็เห็นว่านิ้วมือของคนไข้นั้นกระดิกจริงๆ แปลว่าคนไข้เริ่มจะรู้สึกตัวแล้ว เขาจึงตรวจคนไข้อีกครั้ง ก็ปรากฏว่าคนไข้รู้สึกแล้วจริงๆ คนไข้รู้สึกตัวเร็วกว่าที่เขาคิด ทั้งที่เขาบอกกับสองหนุ่มว่าอีกสองวันคนไข้ก็น่าจะฟื้น แต่นี่ยังไม่ทันจะถึงสองวันเสียด้วยซ้ำ ช่างน่าประหลาดใจเป็นที่สุด

“คนไข้รู้สึกตัวแล้วครับ” คุณหมอบอก

หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาและหันมองไปรอบๆ อย่างเบลอๆ เห็นสองหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ เตียงกับคุณหมอหล่อนก็ถามว่า

“ที่นี่คือที่ไหน ฉันอยู่ที่ไหน”

“คุณอยู่ที่โรงพยาบาล” ตะวันฉายบอก

“โรงพยาบาล?” หล่อนทวนคำถาม

อีกฝ่ายพยักหน้า

“ใช่ คุณอยู่ที่โรงพยาบาล”

“แล้วฉันเป็นอะไรทำไมถึงได้อยู่ที่โรงพยาบาล ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้เลยคะ...แล้วพวกคุณเป็นใคร แล้วฉันเป็นใคร โอ๊ย...” แล้วหล่อนก็รู้สึกปวดศีรษะเมื่อพยายามนึกให้ออกว่าตัวเองเป็นใคร หล่อนกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด

คุณหมอจึงบอกว่า

“ใจเย็นๆ นะครับ อย่าพยายามนึกเพราะมันจะให้ทำให้คุณปวดศีรษะ”

“นี่ฉันเป็นอะไรคะคุณหมอ ทำไมฉันถึงจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลยคะ” หล่อนถาม

“นั่นเป็นเพราะว่าศีรษะของคุณถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากของแข็ง กระเทือนไปถึงสมอง ซึ่งอาจทำให้ความจำของคนไข้หายไปบางส่วนครับ”

“คุณหมอว่าอะไรนะคะ นี่หมายความว่าฉันจะความจำเสื่อมงั้นเหรอคะ”

“อย่าเพิ่งตกใจไปนะครับ แค่ความจำเสื่อมชั่วคราว ถ้ามีคนช่วยคุณรื้อฟื้นความทรงจำก็อาจทำให้ความจำของคุณกลับมาเร็วขึ้นครับ”

“ที่คุณเป็นแบบนี้เพราะว่าคุณถูกทำร้ายครับ” ชลธรบอก

เมื่อหญิงสาวได้ยินคำว่า ‘ทำร้าย’ ภาพเหตุการณ์ตอนที่หล่อนเห็นผู้ชายหน้าโหดสองคนประเดประดังเข้ามาในความคิด ทั้งสองคนทำเป็นจะช่วยหล่อนซ่อมรถแต่สุดท้ายก็คิดจะทำร้ายหล่อน คิดจะฆ่าหล่อน จนหล่อนต้องวิ่งหนีสุดชีวิต แต่...แต่ขณะที่หล่อนกำลังวิ่งหนีก็กลับมีคนเอาของแข็งมาตีศีรษะของหล่อนอย่างแรงจนหล่อนล้มลงสลบไป แล้วจากนั้นหล่อนก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย...

แล้วจู่ๆ หล่อนก็สะดุ้งเฮือกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น หล่อนกลัวมาก กลัวจนตัวสั่น

“ฉัน...ฉันถูกทำร้าย ฉันถูกผู้ชายหน้าโหดสองทำร้าย พวกมันคิดจะฆ่าฉัน พวกมันจะยิงฉัน ฉัน...” หล่อนพูดไปสะอื้นไห้ไป

“นี่คุณจำเหตุการณ์ได้” ตะวันฉายรู้สึกตื่นเต้น

ครั้นพอหล่อนจะนึกอีกก็กลับปวดศีรษะขึ้นมา

“โอ๊ย! ฉันปวดหัวค่ะ”

“ไม่เป็นไร ตอนนี้คุณยังไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เพราะคุณคิดไปก็ทำให้คุณปวดหัว คุณค่อยๆ คิดนะ”

“ฉันจำได้แค่นั้นจริงๆ” หล่อนบอก “แต่เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉัน ฉันจำไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไร มาจากที่ไหน พ่อแม่เป็นใคร แล้ว...”

“ตอนนี้หมอขอแนะนำคนไข้ว่าอย่าเพิ่งคิดอะไร เพราะถ้ายิ่งคิดก็จะยิ่งมีอาการปวดศีรษะมากขึ้นนะครับ” คุณหมอบอก

คนไข้จึงถามคุณหมอว่า

“แล้วใครพาฉันมาส่งโรงพยาบาลคะคุณหมอ ใช่พ่อแม่ของฉันหรือเปล่าคะ”

“คุณสองคนนี้ครับ” คุณหมอชี้ไปที่สองหนุ่ม

“สองคนนี้?” หญิงสาวทำหน้าอึ้งไป

ตะวันฉายกับชลธรพยักหน้าพร้อมกัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะเป็นคนตอบ

“ใช่ครับ พวกผมเป็นคนพาคุณมาส่งโรงพยาบาลเอง พอดีพวกผมผ่านไปเห็นคุณนอนสลบจมกองเลือดอยู่ข้างถนนพวกผมก็รีบเลยพาคุณมาหาหมอ”

“แล้วบัตรประชาชนของฉันล่ะคะ”

“ไม่เห็นครับ” ชลธรส่ายหน้า “ทั้งโทรศัพท์ทั้งกระเป๋าสตางค์ของคุณก็ไม่เห็น คาดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนเอาไป แต่โชคดีที่มันไม่เอารถหรูของคุณไปด้วย”

“คุณว่าอะไรนะคะ ฉันมีรถหรูงั้นเหรอคะ งั้นก็แปลว่าฉันเป็นคุณหนูไฮโซน่ะสิ แล้วทำไมฉัน...”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เอาไว้ให้คุณจำได้แล้วคุณจะรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวคุณเอง”

“ฉันอยากเจอพ่อแม่ของฉัน”

“พวกเราไม่รู้ว่าพ่อแม่ของคุณเป็นใคร แต่คาดว่าถ้าพ่อแม่ของคุณรู้ว่าคุณหายตัวไปพวกท่านก็น่าจะกำลังตามหาคุณอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวก็ได้เจอกันแหละมั้ง” ตะวันฉายว่า

“แล้วทำยังไงฉันถึงจะรู้ว่าพ่อแม่ของฉันเป็นใคร แล้วฉันมาจากไหน ฉันอยากรู้” หล่อนมีสีหน้าเครียดๆ ขณะที่พูด แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะ “โอ๊ย...”

“ตอนนี้คนไข้อย่าเพิ่งคิดอะไรเลยครับ เพราะยิ่งคิดก็จะยิ่งปวดศีรษะ หมอว่าคนไข้ควรจะพักผ่อนดีกว่านะครับ” คุณหมอบอก ก่อนจะหันไปทางสองหนุ่ม “หมอว่าตอนนี้ปล่อยให้คนไข้ได้พักผ่อนก่อนดีกว่านะครับ เพราะคนไข้มีอาการปวดศีรษะ อย่าเพิ่งชวนคนไข้พูดอะไรอีกเลยครับ”

“ได้ครับ ถ้างั้นพวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ตะวันฉายพยักหน้าพลางยกมือไหว้คุณหมอ ก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาวที่เขาช่วยเหลือ “ผมกลับก่อนนะ เดี๋ยวผมจะมาเยี่ยมใหม่”

หล่อนพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้

“ค่ะ”

“เรากลับก่อนเถอะ ไอ้ชล!” ชายหนุ่มบอกกับเพื่อน

“อืม...ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ” ชลธรบอกกับคุณหมอและหญิงสาวผู้ที่ความจำเสื่อม

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าอีกครั้ง

แล้วจากนั้นสองหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องพักฟื้นทันที

คล้อยหลังสองหนุ่มหญิงสาวผู้ที่ความจำเสื่อมก็ถามคุณหมอว่า

“แล้วอีกนานมั้ยคะกว่าความจำฉันจะกลับมา”

“อันนี้หมอก็ตอบไม่ได้นะครับ ขึ้นอยู่กับการรื้อฟื้นความทรงจำของคุณ ถ้าคุณได้ไปในสถานที่คุณเคยไปก็อาจทำให้คุณจำอะไรได้บ้างครับ”

“แล้วใครจะพาฉันไปล่ะคะ”

“อันนี้หมอก็ตอบไม่ได้อีกเหมือนกันครับ ตอนนี้คุณพักผ่อนให้เยอะๆ ดีกว่า หยุดคิดให้น้อยลง ไม่ต้องไปเครียด ทำตัวให้สบาย ถ้างั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะ สวัสดีค่ะ” หล่อนยกมือไหว้คุณหมอ ก่อนที่คุณหมอจะเดินออกไป

เมื่อหญิงสาวได้อยู่คนเดียวหล่อนก็พยายามคิดเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง

“นี่ฉันเป็นใคร ทำไมฉันถึงนึกอะไรไม่ออกเลย เวลาฉันพยายามนึกฉันกลับปวดหัว โอ๊ย! ฉันอยากรู้ว่าพ่อแม่ญาติพี่น้องของฉันเป็นใคร แล้วฉันมาจากไหน ฉันอยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเอง แต่...แต่ทำไมฉันถึงนึกอะไรไม่ออก ทำไม...”

ทั้งที่คุณหมอบอกว่าไม่ให้หล่อนคิดแต่หล่อนก็คิด เพราะหล่อนอยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครชื่ออะไรและมาจากไหน หล่อนจำอะไรไม่ได้เลย เวลาที่หล่อนพยายามนึกทีไรก็จะรู้สึกปวดศีรษะทุกครั้ง มันเป็นอะไรที่ทรมานมาก แล้วเรื่องนี้ใครจะช่วยหล่อนล่ะ ยิ่งคิดหล่อนก็ยิ่งปวดศีรษะ ปวดมากๆ เลยด้วย ทางที่ดีหล่อนควรจะหยุดคิดดีกว่าแล้วนอนพักผ่อนก่อนเพื่อพักสมอง แล้วค่อยว่ากันใหม่อีกที!

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.