ชีวิตแรก ไล่ล่าและสังหาร

ดอกนาซิสซัสกับความฝันที่ฆ่าฉัน

-A A +A

ชีวิตแรก ไล่ล่าและสังหาร

          “ชั่งน่าพึงพอใจนักสำหรับการทำงานของพวกเจ้าในคืนนี้”   เอเฟเฟียกล่าวกับแม่มดทั้งสองอย่างมีความสุข   ที่ด้านหน้าหน้าของประตูห้องนอนแห่งหนึ่ง   “ท่านนักรบ   ตัวข้านั้นเป็นเพียงผู้ขัดเกลาพลังให้นาง   และเป็นตัวนางที่มีพลังที่ข้ามิอาจมีได้”   ผู้เป็นอาจารย์กล่าวอย่างถ่อมตัว   “ดังนั้นแล้ว   ข้าจึงไม่คิดว่าตัวข้ามีความสำคัญที่จะอยู่ที่   เพราะนางเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับการปรนนิบัติรับใช้พระจักรพรรดิ”   เอเฟเฟียรับฟังด้วยใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ   “เช่นนั้นข้าจะมิขัดขวางการเดินทางของท่าน   ขอให้ท่านโชคดี   และขอบคุณที่ช่วยเหลือฝ่าบาทไว้ได้”   เอเฟเฟียโค้งตัวทำความเคารพและเดินจากพวกเธอไปพร้อมรอยยิ้มที่ไม่หุบลงโดยง่าย

          “เจ้าได้ยินแล้ว   มาราอาน   จากนี้ไปเจ้าจะทำสิ่งใดก็จงระวังให้ดี....ข้ารึ?   ข้าจะกลับมาอีกครั้ง   แต่ไม่ใช่ในฐานะของอาจารย์เจ้าแต่ในฐานะของที่ปรึกษาจักรพรรดิ   เซเลีย”   เธอยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินเข้าห้องไป   เหลือแต่มาราอานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของใครอีกคน   รู้สึกว่าจิตใจมันไม่สงบ   ขนาดว่าออกห่างจากห้องบรรทมของพระจักรพรรดิมาไกลถึงขนาดนี้ก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี   ´.....´   เธอยกมือขึ้น   สีสันบนฝ่ามือข้างนี้เข้มขึ้นอย่างชัดเจน

 

          เช้าวันรุ่งขึ้น   โต๊ะหินลาวาตั้งเกือบติดกับตัวบัลลังก์ที่มาร์เวทกำลังนั่ง   อาหารที่กำลังรับประทานมีอยู่สองสามอย่าง   ไม่ได้ดูหวือหวาแต่อย่างใด   เสียงฝีเท้า   แม้จะดังใกล้เข้ามา   แต่กลับไม่สนใจ   เอเฟเฟียหยุดยืนที่หน้าโต๊ะอาหาร   ใบหน้ายิ้มแย้ม   เต็มไปด้วยความสุขที่เห็นอาการของจักรพรรดิดีขึ้นอย่างชัดเจน   “ใบหน้าของพระองค์ดูอิ่มเอิบขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์แม้ในคืนเดียว   แม่หญิงคนนั้น....อาจเปรียบได้ว่าเป็นเงาของท่านเซเลีย   ข้าว่าคงมิผิดอันใดที่จะกล่าวเช่นนั้น”   เอเฟเฟียกล่าว   “การตามหาพวกกบฏไปถึงไหนแล้วรึ?”   โทนเสียงอันเย็นชากลับมาใช้งานได้ตามปกติอีกครั้ง   “ขอรับฝ่าบาท   แม่ทัพใหญ่และราชาที่เหลือยังไม่มีความคืบหน้าของพวกกบฏขอรับฝ่าบาท”   รอยยิ้มที่ตั้งตรงค่อยๆหายไปจนไม่มีเหลือ   “แต่มีการรายงานถึงความน่าเชื่อถือของผู้ที่ช่วยให้พวกกบฏหนีรอดไปได้ขอรับฝ่าบาท”   ช้อนถูกวางลงทันใด   “มันเป็นใคร?”   สายตาแข็งกร้าวขึ้น   “เอเลโอร่า คามิลิตา   ขอรับฝ่าบาท”   มาร์เวทแสดงสีหน้าครุ่นคิด   “นางคือแม่มดขาวที่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักนาง   รวมถึงเวทมนต์ของนางที่ว่ากันว่า   เหนือยิ่งกว่าพ่อมด    แม่มดขาวคนใดจะเทียบเคียงขอรับฝ่าบาท   ส่วนประวัติและถิ่นอาศัย   ข้าต้องขออภัยที่มิอาจรายงานให้ท่านทราบได้   เนื่องจากนางไม่มีหลักแหล่งประจำจึง...”   “เจ้าทำได้ดีมากพอแล้ว   เอเฟเฟีย   อย่าได้โทษตัวเอง”   มาร์เวทลุกขึ้นพลันผู้รับใช้สองคนเลื่อนโต๊ะหินออกจากทางของพระจักรพรรดิผู้ออกเดิน  

          เอเฟเฟียยังคงมองพื้นห้องอย่างใจจดใจจ่อ   ลมหายใจหนักขึ้นเมื่อมองเห็นรองเท้าเหล็กที่หยุดอยู่ต่อหน้า   “ขนาดที่สามารถหลบสายตาของจักรวรรดิแห่งไฟได้อย่างมิดชิด   ก็สมแล้วกับสมญานามที่คนอื่นเรียกนาง   และอีกอย่าง...”   นิ้วเรียวยาวแต่ทรงพลังสัมผัสที่คางค่อยๆงัดมันขึ้นอย่างอ่อนโยนจนใบหน้าของทั้งสองปะทะกัน   ดวงตาสีแดงเข้มเหมือนกำลังจับผิดบางอย่างจากตัวเขา   ทันใดนั้นใบหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายพุ่งเข้าใส่   ริมฝีปากบางจ่อที่ใบหู   พ่นลมหายใจที่ก่อเป็นประโยค   “คงมีกบฏย้อมอยู่ในสีส้มของพวกเรา   เจ้าคิดว่างั้นรึไม่?”   มาร์เวทยื่นหน้าออก   ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้านั้น   “เจ้าคิดว่าเจ้าพวกกษัตริย์แรกเริ่มของแต่ละประเทศและลูกหลานของพวกมัน   ตายไปในสงครามยึดประเทศจริงๆอย่างงั้นรึ?   ถ้าไม่แล้วมันหายไปไหนกันล่ะ?”   มาร์เวททิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกจากท้องพระโรงไป   ทิ้งไว้เพียงเอเฟเฟียผู้คงมีสีหน้าตกใจและไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาคนนั้นต้องการ

 

          เป็นคืนที่สองที่ชายหญิงที่ต่างมิได้รู้จักกันเป็นส่วนตัวจะใช้เวลาร่วมกัน   มาร์เวทไม่กล่าวสิ่งใดกับเธอ   และเธอเองก็มิได้กล่าวอันใดกับเขา   ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ   เงียบจนน่าหวั่นใจ   ในความฝันที่แตกต่างและสวยงาม   มาร์เวทมองดูเจ้าของเท้าเปล่ากำลังเต้นอยู่บนผืนโลกอันแข็งแกร่ง   เป็นท่าเต้นที่แสนธรรมดา   แต่น่าหลงใหลจนรู้สึกมีอารมณ์ร่วมแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด   ราวกับร่างกายกำลังต่อต้านความสนุกตรงหน้า   ก็ไม่รู้ว่าทำไม   แต่แค่ได้เป็นผู้มองก็รู้สึกอิ่มเอมใจมากแล้ว   นัยน์ตาสีน้ำทะเลเบิกกว้าง   หน้าแดงฝาดตามธรรมชาติเพราะสัมผัสอุ่นๆที่มือตอนนี้ไม่เหมือนวันก่อน   มันอุ่นไปหมดทั้งฝ่ามือจนเหมือนกับ   เธอเหลือบตาลง   มือของเธอที่กำลังสัมผัสมือของเขา   ส่งมอบความฝันอันเป็นนิรันดร์ให้กำลังถูกมือหนากำไว้   อ่อนโยน   เป็นความรู้สึกที่อ่อนโยนจนเธอเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว  

 

          สุขภาพร่างกายที่กลับมาแข็งแรงตามเดิมทำให้มาร์เวทเริ่มออกเดินทางไปยังประเทศต่างๆ   โดยที่แรกคือประเทศกเมาก์กิเนต   เพื่อสานต่อการคัดเลือกกษัตริย์องค์ใหม่รวมถึงการสืบเสาะหากลุ่มกบฏ   และอดีตราชาแห่งประเทศกเมาก์กิเนต   ที่หายไปโดยมีข่าวลือถึงความช่วยเหลือจากจอมเวทย์ขาวในตำนาน   การแผ่อำนาจของจักรวรรดิแห่งไฟรวดเร็วขึ้นมากและกลายป็นสิ่งที่โลกใต้ดินจับตามองอย่างใกล้ชิด   ตั้งแต่ข่าวที่จักรพรรดิแห่งไฟสิ้นพระชนม์ที่ดูจะเป็นเพียงข่าวลือจนมาถึงข่าวลือของการหายตัวไปของเซเลีย   ที่ปรึกษาแห่งความมืดคนสนิทของจักรพรรดิแห่งไฟที่ดูเหมือนว่าข่าวนี้จะเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัยกับการหายไปของเธอในการปรากฏตัวล่าสุดของมาร์เวทในแต่ละประเทศ

          “อำนาจของจักรวรรดิแห่งไฟแผ่อำนาจมากขึ้นไปกว่าเก่า   นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?”   ชายหนุ่มกล่าวประกาศกลางโต๊ะประชุม   มีชายอีกเจ็ดคนนั่งร่วมโต๊ะ   กำลังรับฟังอย่างเงียบสงบ   “จะเป็นไปได้รึไม่ที่มันรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเรา   และอาจเตรียมการถล่มพวกเราอยู่?”   ชายอีกคนเอ่ย   “ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันรับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเรา   ไม่เช่นนั้นก็คงบุกมาถล่มหุบเขานี้ไปนานแล้ว   อาจเป็นเหตุผลอื่น”   ชายอีกคนแย้งขึ้น   “หรืออาจเป็นเพราะตัวมันเองเฉียดใกล้ความตายแล้วถึงสองครั้ง   จึงอยากเอาชนะความตายทุกรูปแบบ   และจักไม่ยอมให้มีเหตุให้ตัวมันใกล้ความตายอีกเป็นครั้งที่สาม”   ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศหลังจากประโยคสุ่มของชายวัยกลางคนคนนั้น   “ท่านแมนวิเน   ที่ท่านกล่าวเมื่อครู่   หมายถึงสิ่งใดกันรึ?”   ชายชราผู้ยังไม่ปริปากใดๆเอ่ยถามอย่างสนใจ   “ลมหนาวกระซิบให้ข้าฟังเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา   มีใครบางคน...ไม่สิ   เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในโลกนี้ที่สามารถทำให้มาร์เวทปางตายจนต้องรักษาตัวเองหลายวันหลายคืน   หึหึหึ”   ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ   “ยังไงก็ตาม   ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อการประชุมความสำเร็จของแผนการการต่อต้านจักรวรรดิแห่งไฟในแต่ละประเทศที่พวกท่านปกครอง   ฉะนั้นพวกเราควรให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำได้ดีกว่าเสียเวลาสงสัยในสิ่งที่อาจเป็นจริงรึไม่ก็ตาม”   ชายชราอีกคน   ใบหน้าสุขุมที่สุดกล่าวก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการได้ในที่สุด  

          จบการประชุมก็เป็นช่วงดึกแล้ว   ท้องฟ้าที่มองจากบนหุบเขาชั่งดูใกล้จนเหมือนจะสามารถคว้ามันได้   เสียงบทสวดเริ่มดังขึ้น   ดังออกจากบ้านไม้ที่ต่อเติมอย่างลวกๆ   พอมีพอเกิด   แสงจากภายในที่ส่องสว่าง   มองเห็นเงาของผู้คน   มือประสานไว้ใต้คาง   ปากเอ่ยถึงพระเจ้าที่นับถือ   ได้โปรด   พระเจ้า   โปรดคุ้มครองพวกเราจากวิหคดำ   จากไฟโลกันต์   จักไม่มีความเจ็บปวดใดในค่ำคืนที่พระองค์ทรงทอดระเนตรลงมา   โปรดคุ้มกันพวกเราผู้ต้อยต่ำ   ได้โปรด   ได้โปรดเถิดพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่   ความเมตตาของพระองค์คือบ้านหลังใหม่ที่ทรงประทาน   เป็นเกราะกำบังต่อต้านความดำมืด   พวกข้าจักมิลืม   พวกข้าจักตามแสงสว่างอันเจิดจรัส   เพื่อหนทางสู่อ้อมกอดของพระองค์อีกครั้ง   ลอร์ด มิคาเอล  

 

             ณ   ช่วงเช้าของอีกวัน   ภายในพระราชวังหัวมังกร   ในขณะที่มาร์เวทกำลังรับประทานอาหารเช้าเพียงลำพัง   มีสายตาที่กำลังมองพื้นห้องที่กำลังขัดขวางบรรยากาศอันเงียบสงบภายใน   “ฝ่าบาท   ดูเหมือนจะเริ่มมีคนระแคะระคายเกี่ยวกับการหายตัวไปของท่านเซเลียแล้วขอรับฝ่าบาท”   เอเฟเฟียกล่าว   “ข้านึกว่าเจ้าประกาศเรื่องการตายของนางแล้วเสียอีก   ทำไมถึงยังมิทำ?”   มาร์เวทเหลือบตาขึ้นมองร่างตรงหน้า   “ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงขอรับฝ่าบาท   ที่กระผมมิได้ทำตามพระประสงค์   เรื่องนั้นมีเหตุผลอันเนื่องมาจากหากประกาศไปเช่นนั้น   กระผมเกรงว่าสมาคมสีดำจะไม่พอใจกับการตัดสินพระทัยสังหารท่านเซเลียในวันนั้นขอรับฝ่าบาท….”   เสียงหัวเราะดังลั่น   ดังอยู่เพียงชั่วอึดใจแต่เพียงพอเรียกเหงื่อบนฝ่ามือที่แนบลำตัว   “เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าพวกมันกล้าไม่พอใจการตัดสินใจจากจักรพรรดิของพวกมันอย่างงั้นรึ?”   มาร์เวทเอียงคอ   ดวงตาแข็งกร้าว   เต็มไปด้วยโทสะจ้องเขม็งไปที่เอเฟเฟีย   หากเผลอสบตามองอาจหัวหลุดกระเด็นเลยก็เป็นได้   “หามิได้ขอรับฝ่าบาท   กระผมเพียงแต่...”   โต๊ะหินถูกเขวี้ยงจนชนเข้ากับผนังกำแพง   จานและเครื่องรับประทานอาหาร   รวมถึงอาหารกระจายเต็มพื้นไปหมด  

          มาร์เวทเดินผ่านร่างที่กำลังหมอบกับพื้น   ดวงตาสีแดงจ้องมองร่างนั้นพลันเปลวไฟอันร้อนแรงแผ่วลงในที่สุด   ไม่ใช่เพราะความน่าสมเพชที่อีกฝ่ายกำลังแสดงแต่เป็นภาพทับซ้อนของเด็กชายคนหนึ่ง   แสดงท่าทางเดียวกันกับเอเฟเฟียในตอนนี้   “วันนี้เจ้ามิต้องตามข้ามา   ข้าจะเดินทางไปตามลำพัง”   เมื่อเสียงประตูปิดลงอีกครั้ง   เอเฟเฟียจึงยืนขึ้นมาอีกครั้ง   แขนที่แนบลำตัวยังสั่นไม่หยุด   และแม้จะสั่นมากเพียงใดแต่ก็ยกมันขึ้น   แตะที่ริมฝีปากที่เปิดออก   สัมผัสลงบนฟันซี่ล่างและใช้ฟันซี่บนกัด   ความเจ็บปวดโดยฉับพลันช่วยเรียกสติของเขา   ทำให้เริ่มหายสั่นไปเอง   เมื่อไม่มีอาการดังกล่าวก็จึงเดินออกจากห้องไป   กลับมาแสดงอาการสุขุมอีกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าองครักษ์ผู้เฝ้าประตูด้านนอกห้อง   รู้ทั้งรู้ว่าเมื่อหันหลังให้   ตัวเองก็จะถูกจ้องมองแต่ชั่งมันเถอะ  

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.