รัตติกาลจักไร้ค่าเมื่อเจ้ามิโอบกอดมัน

ดอกนาซิสซัสกับความฝันที่ฆ่าฉัน

-A A +A

รัตติกาลจักไร้ค่าเมื่อเจ้ามิโอบกอดมัน

          ข้าเริ่มจากการยืนอยู่บนผืนดิน   สูงเท่าเช่นทุกคน   ภาพของเด็กชายคนหนึ่ง   เท้าเปล่าเหยียบผืนดิน   ผมสีขาวไร้การตัดแต่ง   ทุกเก้าที่ออกเดิน   ตัวสูงขึ้น   สูงขึ้น   ข้าเดินบนทางที่พระเจ้าปูให้   จากชุดซอมซ่อ   สกปรก   เปลี่ยนเป็นเครื่องแบบออกศึก   สะท้อนรูปลักษณ์ของมังกรเขายาว   หากแต่โลกมิต้องการข้าในฐานะพลเมือง   รองเท้าเหล็กบัดนี้เหยียบลงบนสายธารสีโลหิต   ข้างทางที่เดินผ่าน   แสงสว่างเริ่มจางหาย   มุ่งสู่ความดำมืดตรงหน้า   คือกองศพนับร้อย   หุบเขาแห่งความตาย   เท้าคู่นั้นหยุดที่หน้าบัลลังก์หินสีดำ   เส้นเลือดสีส้มส่องประกายสว่างเพียงชั่วขณะ   ดับไปและส่องสว่างอีกครั้ง   เขานั่งลง   มองไกลออกไป   แต่เป็นในฐานะของจักรพรรดิแห่งโลก   เบื้องล่างอันดำมืดส่องประกายแสงจากอัคคีสีฟ้าอันเร่าร้อน   ลุกไหม้ทั่วกระดานหมากรุกที่ฉายภาพของภูมิทวีปแห่งหนึ่ง   เปลวไฟที่ดับลงแต่ละจุดทิ้งเครื่องหมายสีดำสนิท   กระจายอยู่ทั่วแผนที่   กระทั่งเหลือเพียงเปลวไฟสุดท้ายที่ยังคงลุกไหม้   ภาพของหุบเขา   สายฝนและสายฟ้า

          เขาลุกขึ้น   เดินออกจากห้องโถง   ปลายเสื้อคลุมไหล่ลากไปกับพื้น   และหยุดที่หน้าทางเข้าพระราชวัง   ลักษณะไม่ต่างจากหัวมังกรที่กำลังอ้าปากกว้าง   ปีกสีดำขนาดใหญ่ทะลุออกจากผ้าคลุมไหล่   มันวาวเหมือนทำจากผลึกคริสทัล   กระพือปีกครั้งเดียว   พาร่างกายที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป   ลอยขึ้นสู่เวหาอันกว้างใหญ่   เงาที่ตามหลัง   ฝูงมังกรดำ   มากมายมหาศาล   บินตามหลังผู้นำของพวกมัน   จนเริ่มมองเห็นหุบเขาตรงหน้า   สายฝนและเสียงคำรามบนฟากฟ้า   ดวงตานับหมื่นคู่ของกองทัพมนุษย์กระจ้อยร่อย   แอบอยู่ตามจุดบอดของหุบเขา   มองเห็นเพียงสีดำและแดง   มันกำลังร่วงลงมา   รวดเร็ว   และกว้างใหญ่เกินจะหลบพ้น   ทะเลเพลิงทมิฬเผาผลาญทุกสิ่งเป็นจุณในพริบตา   ดวงตาสีแดงขนาดใหญ่   มองลงมาด้วยความเย้ยหยัน   พวกมันเกรงกลัว   กล่าวถึงข้า   สรรเสริญข้า   มิมีใคร   อาจหาญต่อกรกับข้า   และมีชีวิตรอดไปบอกลูกหลาน   พวกมันตาย   ศัตรูแห่งข้า   พวกมันมอดไหม้   เหลือไว้เพียงธุลี   ล่องลอยใต้ฝ่าเท้าที่กำลังเต้นรำบนจังหวะชีวิตของทุกชีวิต   มิอาจสูงกว่า”   ทว่าสายตานั้นกลับเปลี่ยนไป

          แม้ข้าจะยืนอยู่   ณ   จุดสูงสุดของทุกสรรพสิ่ง   เศษเสี้ยวความกลัวกลับยังส่องประกาย   ย้ำเตือนให้ข้าจดจำความหวาดกลัวที่สุดในชีวิตแรกที่แสนอ่อนแอ   ยามใดที่แสงเชิงเทียนดับหาย   มันจักคืบคลาน   ความฝัน   ฝันที่มิอาจลืม   เปลือกตาที่ปิดลงแม้จะไม่อยาก   แต่มิอาจฝืนธรรมชาติ   จำใจต้องเข้าสู่นิทรา   วิ่ง   วิ่งออกไป   เจ้ากระต่ายไร้ทางสู้   เบื้องหลังคือฝูงหมาป่า   ขนสีแดงดั่งถูกชโลมด้วยโลหิตสดๆ   ขากรรไกรมรณะงับเข้ากลางหลังเจ้ากระต่าย   เสียงร้องดังเพียงชั่วขณะเช่นเดียวกับความเจ็บปวดสุดจะทน   ปลุกเจ้าของความฝันให้ลืมตาตื่น   ใบหน้าชโลมเม็ดเหงื่อ   หลังพิงขอบแข็งของเตียงที่ทำจากวัสดุเดียวกับบัลลังก์

          “ฝันร้ายหรือเพคะฝ่าบาท”   ชายไร้นามเลื่อนสายตามองเจ้าของเสียงปริศนา   เธอคนนั้นยืนอยู่ที่ปลายเตียง   “เจ้า?”   เป็นน้ำเสียงของความสงสัยปนตกใจ   อิสตรีปริศนา   ชุดคลุมดำปิดบังเรือนร่างสูงสง่าอย่างมิดชิด   เดินมายืนที่ขอบเตียง   “ข้าถึงได้แย้งพระองค์ว่ามิควรทรงอยู่ห่างข้าในยามราตรี”   หญิงปริศนานั่งลงที่ขอบเตียง   ยิ้มและเลื่อนมือไปแตะที่มือของอีกฝ่าย   ก่อนจะเลื้อยสูงขึ้นไปจนสัมผัสที่แก้มขวา   “ยังไงก็ตาม   ข้าขอบใจเจ้ามาก   กาเลีย”   นิ้วเรียวกระตุกชั่วขณะ   “หากไม่ทรงเป็นการขอมากไป   ให้เรียกดิฉันว่า   เซเลีย   ด้วยเถิดเพคะฝ่าบาท”   นิ้วบรรจงลูบใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างอ่อนโยน   พานให้ร่างกายที่ตั้งตรง   ต้องมนต์สะกดจนโอนเอน   พร้อมเข้าสู่นิทราครั้งใหม่   และมันจะแตกต่างออกไป

          “จมลงสู่ความมืดมิด   นั่นคงจะเป็นสิ่งเดียวที่ท่านปรารถนามากที่สุดในยามนี้   มิใช่หรือ....เซนัล?”   ใบหน้าก้มต่ำ   ห่างเพียงไม่กี่เซน    ค้างอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะค่อยๆ   โงนหัวขึ้น   เดินถอยห่างจากเตียงหิน   รอยยิ้มกลับมาแสดงบนใบหน้า   ในขณะเดินออกจากห้องนอนไปอย่างเงียบๆ  

 

          คลื่นซัดกระทบหาดขาว   เกิดเสียงธรรมชาติที่ถูกรบกวนโดยเสียงแปลกแยก   ราวกับเสียงแตรประหลาดก่อนไม่นานจะเงียบไป   ผืนทรายราบเรียบถูกเหยียบย่ำด้วยเท้าเปล่าสีดำ   ค่อยๆจางลงเป็นสีเนื้อธรรมชาติ   เธอฝืนเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย   ล้มและลุกจนเป็นเรื่องปกติก็ยังไม่อาจเดินเหมือนคนปกติ   ไม่ต่างจากทารกวัยหัดเดิน   ดวงตาสีฟ้ามองเห็นเพียงความว่างเปล่าตรงหน้า   มันเริ่มจะเลือนรางลงไปเรื่อยๆ   ก่อนหน้าคะมำกับผืนทราย   ดมแต่กลิ่นคลื่นทะเล

          สัมผัสของสายลม   จากแผ่วเบาค่อยๆ   แรงขึ้นและแรงขึ้นจนทำให้ลอยออกไป   เธอคว้ามือออกไปจับกิ่งไม้   แต่ไม่อาจต้านแรงดูดอันทรงพลัง   ปล่อยให้ร่างหมุนวนไปตามแรงเหวี่ยง   การมีอยู่ของแสงสว่างผ่านการรับรู้จากเปลือกตา   ดับวูบลงพร้อมลมกระโชกนั้น   เมื่อลืมตาอีกครั้ง   ทุกอย่างคือความมืด   หันไปทางใดมีแต่ความมืด   พยายามวิ่งออกไปข้างหน้า   แต่ต้องหยุดลงเพราะเริ่มลังเล   เริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองวิ่งออกไปข้างหน้าหรือข้างหลัง   ซ้ายหรือขวา   “มากับฉัน”   “ฉันต้องการเธอ”   เธอรู้สึกขนลุกซู่อย่างน่าประหลาด   จากทิศเดียวเริ่มดังจากอีกทิศ   อีกทิศและก็อีกทิศจนต้องปิดหู   ก้มลงร้องไห้   ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ก่อนที่เสียงเหล่านั้นจะเงียบไปในที่สุด   เธอถอนมือจากใบหู   ไม่มีเสียงอะไรอีกต่อไป   แต่อยู่ๆใบหน้าของชายปริศนาก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธออย่างฉับพลัน  

          เธอกรีดร้องสุดเสียง   รู้ตัวอีกทีก็กำลังลืมตาอยู่   ฟังเสียงหอบหายใจถี่และรัว   สิ่งที่ตาเห็นไม่ใช่ความมืดอีกต่อไป   มีแสงสว่าง   กับแท่งหินที่เรียงเป็นเสาหลายๆต้น   เธอพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน   โซซัดโซเซไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรง   เหลือบตามองที่มุมห้อง   ใบหน้าแสดงออกอย่างหวาดผวาไม่ใช่เพราะถาดอาหารไร้ไออุ่น   แต่เป็นเงามืดที่ซุกซ่อนอยู่ตรงมุมห้อง   เธอรีบพุ่งตัวเข้าไปเกาะกรงหิน   ออกแรงง้างมันสุดแรง   ในความพยายามอันสูญเปล่า   เริ่มได้ยินเสียงอื่น   เสียงเดิน   รีบร้อน   เธอตอบสนองการคุกคามด้วยการถอยหลังจนชิดกำแพง   มือควานหาความว่างเปล่าบนผิวเรียบของกำแพงหิน   ไม่มีสิ่งใดปกป้องเธอ   ความหวาดกลัวทำให้รู้สึกตื่นตระหนก   ดวงตาปิดสนิทด้วยความกลัว  

          “ตื่นแล้วรึ?”   เธอค่อยๆ   ลืมตาขึ้น   ผู้ชาย   แต่งกายในชุดหรูหรา   ดูเป็นผู้มีฐานะ   กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอคิดจะเปิดปากตอบอีกฝ่าย   เอาแต่จ้องหน้าชายวัยกลางคนด้วยดวงตาที่สับสนและไม่เป็นมิตร   “หากไม่อยากกล่าวกับข้า   ข้าเข้าใจดี   แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องการรู้อยู่ดีว่าเจ้ามาจากที่ใด   เป็นคนของใคร   และมาทำอะไรที่นี่?”   ชายหนุ่มนั่งยองๆ   มองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินของหญิงสาว   เหมือนมีน้ำหมึกสีดำปะปนอยู่ในคลื่นสมุทรอันน่าหลงใหล   “ชั่งน่าสนใจ”   เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน   “ใช้เครื่องรางอ่านใจกับเธอได้”   ชายปริศนาอีกคนสัมผัสกรงหินด้วยมือเปล่า   ก่อนมันจะเลือนหายขึ้นไปด้านบนและล่าง   เขาเดินตรงเข้ามาหาเธอ   ในมือถือสร้อยบางอย่าง  

          หญิงสาวกรีดร้องออกมา   ไม่มีเสียง   ริมฝีปากอ้ากว้างและสั่น   “เป็นใบ้ด้วยรึ?”   ชายสูงศักดิ์จ้องร่างที่กำลังขยับตัวหนีจนล้มก้นคะมำกับพื้นเพราะขาไร้แรง   เธอพยายามหนีการเข้าใกล้ของชายอีกคน   ผู้ถือเครื่องราง   และเข้าสู่อาณาเขตมุมมืดของห้องอย่างช้าๆ   แสงของดวงตาสีน้ำเงินส่องประกายในความดำมืด   แต่เพราะเม็ดสีดำที่กระจายอยู่ในนั้นจึงเห็นเพียงสีฟ้าครามที่มีรูพรุนเต็มไปหมด

          ชายคนนั้นยังคงเดินตรงมาหาหญิงสาวแม้จะไม่เห็นตัว   เท้าหยุดอยู่กับที่เมื่อสิ่งแหลมคมจ่อคอหอยเขาอยู่   “เป็นอะไร   รีบทำให้มันเสร็จเสียที”   ดูเหมือนชายสูงศักดิ์จะไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้ใต้บังคับบัญชา   “ขอรับฝ่าบาท”   แท่งหินแหลมพุ่งออกจากพื้นตรงหน้าอย่างรวดเร็ว   ชนเข้ากับหอกสีดำทะมึน   สีดำของหอกชอนไช   และกลืนกินแท่งหินอย่างรวดเร็ว   “ฝ่าบาท   ระวัง!!”   เขาเอาตัวเข้ารับหอกที่พุ่งออกมาจากเงามืดจนตัวเองล้มลงกับพื้น   เมื่อลุกขึ้นอีกครั้ง   เห็นว่าชุดเกราะหินของตัวเองกำลังถูกความดำมืดกลืนกินจึงปลดมันออกจากตัว   ก่อนมันจะสลายตัวกลายเป็นไอดำ   นี่มันคืออะไรกัน?’ 

          “ฝ่าบาท   หากอยู่ที่นี่ต่อไปพระองค์จะทรงเป็นอันตรายไปด้วย   โปรดทรงเดินทางขึ้นไปก่อนส่วนทางนี้   ข้าจะหาทางจัดการกับนางเอง   และล้วงความลับของนางออกมาให้ได้ขอรับฝ่าบาท!”   ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาบังชายผู้สูงศักดิ์   “นั่นมันอะไร?   ธาตุดินรึ   หรือว่าจะเป็นอัคคีสีดำในตำนาน?”   ประโยคของชายสูงศักดิ์   ทำให้ต้องหันกลับมามอง   ใบหน้าสุขุมเปลี่ยนไป   ตื่นเต้นจนเหมือนคนมีอาการทางจิต   ชายสูงศักดิ์เดินตรงเข้าหาเงามืด   “ฝ่าบาท   อันตรายขอรับฝ่าบาท   อย่าเดิน....”   รู้สึกหน้าชาไปหมด   เพราะสันดาบที่กระแทกเข้าหน้าเมื่อครู่   พอตั้งสติและมองที่เจ้าของดาบเล่มนั้น   นั่นไม่ใช่ใบหน้าของราชาที่เขารู้จักอีกต่อไป   แต่เป็นใบหน้าของอสุรกายผู้กระหายในความประสงค์ของตน   “หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีประโยชน์กับข้า   ข้าคงได้ฆ่าเจ้าทิ้งด้วยมือของข้าเองเสียแล้ว”   เสียงดุดันก่อนจะหันกลับไปจ้องที่เงามืด  

          “ได้เวลาพิสูจน์ตัวตนของเจ้าแล้ว”   ดาบสอดกลับเข้าฝักดาบตามเดิม   เดินตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม   หอกพุ่งออกมาจากเงามืดอีกครั้ง   ถูกกระแสไฟฟ้าจนเบนออกจากเป้าหมาย   “ข้ารู้สึกได้   นังผู้หญิงไร้หัวนอนคนนี้   มีพลังที่จะต่อต้านมาร์เวทได้”   เขาแสยะยิ้มกว้าง   มองเห็นหอกขนาดเล็กหลายสิบพุ่งเข้าใส่   และเบนวิถีออกไปจากร่างนั้น   มือหนึ่งยกขึ้น   นิ้วกางออก   ปล่อยกระแสไฟฟ้าสีขาว   กระจายไปทั่วบริเวณด้านหน้า   ทิ้งระยะเพียงชั่วขณะก่อนทุกอย่างจะเงียบลง

          “โวปาม   นำนางกลับพระราชวัง   ดูแลให้ดีให้เหมือนเป็นแขกคนสำคัญ”   “แต่ฝ่าบาท   เราควรตรวจสอบนางให้แน่ใจก่อนว่ามิใช่คนของมาร์เวท   มิเช่นนั้น   แผนการที่พวกเราวางไว้อาจถูกเปิดโปงนะขอรับฝ่าบาท”   โวปามก้มหน้าคุกเข่า   ชายสูงศักดิ์   ใบหน้าดูสุขุมอีกครั้งแล้ว   “จัดการทุกอย่างเสีย”   เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป   โวปามก้มหน้ารับคำสั่ง   พยุงร่างไร้สติของหญิงปริศนาขึ้นด้วยแขนกำยำ   ชั่ววินาทีที่ได้จ้องใบหน้าดั่งนางฟ้าคลุกฝุ่นของเธอ   ขาที่กำลังจะก้าวออกไปข้างหน้าอย่างแข็งขันกลับหยุดลงไปดื้อๆ   ต้องสะบัดหน้าถึงสองสามทีจึงเดินต่อไปได้

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.