บทที่ 12 ไม่มีความรัก
“ห๊ะ....ว่าไงนะ!!!” ฉันตะโกนด้วยความตกใจ
ถึงจะเกลียดพวกมันอยู่มาก แต่ฉันก็อดตกใจไม่ได้
“หมอบอกว่าอาการ 50:50 ถ้ารอดก็อาจจะพิการ” ชมพู่เอ่ยบอกน้ำเสียงมีความกังวล
แม้จะตกใจ แต่ฉันก็สะใจที่มันโดนแบบนี้ สงสัยไปทำชั่วไว้เยอะ
“ส่วนฉัน..ฉันก็โดนตบจนสลบ เพิ่งจะฟื้น เลยโทรหาแกนี่แหละ” ชมพูบอกเล่าสิ่งที่ตัวเองประสบ
(ยังมีหน้ามาคิดถึงฉันนะ หน้าด้านยางมะตอยเรียกพี่จริงๆ)
“เหอะ...ก็สมควรแล้วนี่ กับสิ่งที่แกได้รับ คงทำชั่วไว้กับหลายคน จนไม่รู้ว่าใครเขามาเอาคืน” หลังจากที่ทนฟังมาได้สักพัก ฉันก็ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องพูดดีกับมันต่อ และไม่มีซึ่งความเห็นใจต่อคนพวกนี้ด้วย
“กะ แก ฉะ ฉัน ขอโทษ แต่ตอนนี้แกช่วยฉันหน่อยได้ไหม ฉันไม่มีเงินออกจากโรงพยาบาล” ในที่สุดความต้องการที่แท้จริงของชมพู่ก็เปิดเผยออกมา
(หึ..สุดยอดความหน้าด้านหน้าทนจริงๆ)
“นี่ชมพู่ แกแม่งสุดยอดของความหน้าด้านจริงๆ แกทำเลวกับฉันขนาดไหน แกลืมไปแล้วหรอ ฉันจะบอกให้นะ ต่อให้พวกแกสองคนตายต่อหน้าฉันจริงๆ แม้กระทั่งค่าโทรที่จะเรียกมูลนิธิมาเก็บศพ ฉันยังไม่คิดจะโทรเลย แล้วนับประสาอะไรกับการที่ฉันจะช่วยแกออกจากโรงพยาบาล
อ่อ..แล้วอีกอย่างนะ อย่าได้สะเออะโทรมาหรือมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ ฝากไปบอกไอ้เคนด้วยว่าตอนนี้ฉันมีผัวใหม่แล้ว บารมีเขาใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดิน ฉันจะสั่งให้เขาเป่ากบาลพวกแกเมื่อไรก็ได้จำไว้...อีเพื่อนชั่ว” ฉันพ่นคำพูดที่อยู่ภายในใจอย่างฉันรัว
“ดะ...เดี๋ยวซิแก” ฉันไม่เปิดโอกาสให้อีเพื่อนเลวได้พูดอะไรต่อ
เวลาของมันหมดลงแล้วสำหรับฉัน และมันก็ควรหมดไปตั้งแต่ที่ฉันเห็นมันระเริงรักกับแฟนของฉันแล้ว ที่ฉันยังฟังมันก็ถือว่ามีความปรานีมากพอแล้ว
ตู๊ด ๆๆ ๆๆ ฉันกดวางโทรศัพท์ด้วยความโมโห ไม่รู้พวกมันเอาความมั่นหน้ามาจากไหน กล้าโทรมาขอความช่วยเหลือจากฉัน ลืมความระยำที่ทำกับฉันไปแล้วหรือยังไงกัน ฮึ คิดแล้วอารมณ์เสีย
ตัดภาพมาที่ร่างสูงสง่า ที่ยืนฟันเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น กับลอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับฉัน เพราะมีความสุขจากประโยคที่ฉันได้พูดออกไปก่อนวางสาย
“ยิ้มบ้าอะไรของคุณ” ฉันกระฟัดกระเฟียดใส่เขา เพราะอารมณ์โมโหที่ยังคงคุกรุ่นอยู่
“ก็ยิ้มที่มีคนยอมรับว่าผมเป็น...ผัว...ฮิฮิ” เขายังคงยิ้มกว้าง จนฉันอดหมั่นไส้รอยยิ้มทรงเสน่ห์นั่นไม่ได้
“ฉันพูดไปเพราะโมโห คุณจะมาใส่ใจทำไม” ฉันเอ่ยประชดออกไป เพราะยังมีน้ำโหกับสิ่งที่เจอมาเมื่อสักครู่
“ผมบอกแล้วผมเป็นคนรักษาสัจจะ เมื่อคุณพูดแล้วห้ามคืนคำ” เขาได้ทีหยิบยกสิ่งที่ฉันพูดมาเป็นพันธะมัดตัวฉันอีกรอบ
ฉันขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเขา เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกน้องเขาเอาเสื้อผ้ามาส่ง ฉันหยิบเสื้อคลุมมาใส่อีกชั้นเพื่อปกปิดเม็ดมุกคู่งามที่มันชูชันจนทำให้เนื้อผ้านูนออกเป็นรูป จากนั้นเขาก็พาฉันเดินลงไปยันห้องโถงชั้นล่างของเพนท์เฮ้าส์
“โอ้โห้ มันเยอะไปหรือเปล่าคะ” ฉันเอ่ยขณะที่สายตามองไปที่ราวรถเข็นที่แขวนเสื้อผ้ามาเต็มด้วยความตกตะลึง มันมากมายจริงๆ แล้วยังมีที่ทยอยเข้ามาอีกสิบกว่าคัน มันเยอะขนาดที่ทำให้ เพนท์เฮ้าส์ดูแคบไปเลย
“นี่แค่เล็กน้อย เลือกสิตามใจชอบ หรือจะเอาทั้งหมดเลยก็ได้นะ” เขาพูดขณะที่นั่งไขว่ห้างจิบกาแฟที่ลูกน้องเตรียมไว้ให้บนโซฟาแบรนด์หรูราคาเหยียบล้าน
ฉันมองเขาแล้วเบ้ปากมองบน อวดรวยสะจริง แต่ขอโทษคนอย่างเอลิซเงินซื้อไม่ได้จ้ะ
ฉันเลือกมาประมาณ 5-6 ชุด คงต้องจำใจอยู่ที่นี่กับเขาสักพัก แล้วระหว่างนี้ค่อยคิดหาวิธีหนีออกไป สงสัยว่าถ้ารอดออกไปได้คราวนี้ คงต้องหนีออกนอกประเทศแล้วล่ะมั้ง...เฮ้อออออ
ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น ---
“ทำไมเลือกแค่นี้” เสียงทุ้มเข้มทรงเสน่ห์แต่มีพลังน่าเกรงขามเอ่ยขึ้น
“เอ่อออ....” ฉันนึกคิดหาคำตอบ
“ไม่ใช่ว่า...จะคิดหนี??” เขาเอ่ยขณะที่สายตาเสมองมาที่ฉันอย่างจับผิด
(แม่เอ๊ยยยย รู้ทันฉันอีกแล้ว นอสตราดามุส แน่ๆ ไม่ผิดแน่)
“กะ...ก็ ฉันไม่ได้มีห้องเป็นของตัวเองนี่ จะได้มีห้องเสื้อผ้าใหญ่โตขนาดที่จะเก็บเสื้อผ้าทั้งหมดได้” ฉันแถเอาตัวรอด เพื่อไม่ให้มีพิรุธ
“ก็ใช้ของผม” v_v เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“ห๊ะ !!!” *0*
“แล้วห้องของฉันล่ะ” ฉันถามออกไป
เพราะตั้งแต่ที่ฉันลงมาฉันก็พอจะสังเกตเห็นห้องอื่นอยู่บ้าง น่าจะมีห้องทำงาน ห้องนอนสำหรับรับแขกอยู่ ถึงจะใหญ่ไม่เท่ากับห้องนอนชั้นสองของเขา แต่มันน่าจะใหญ่กว่าห้องที่คอนโดฉันแน่นอน
“ก็ใช้ห้องผม” v_v
“ห๊ะ!!!” *0*
“ละ..แล้ว....เตียงนอนฉัน” ฉันถามเสียงตะกุกตะกัก รู้สึกหวั่นใจแปลกๆ
“ก็ใช้เตียง..เดียว..กับผม” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าฉันสักนิด
“จะ...บ้าหรอออออ” o///o ฉันเอ่ยเสียงสูงโดยไม่รู้ตัว
“จะให้ฉันนอนกับคุณได้ยังไงกัน...ฉันกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ฉันทักท้วงออกไป
“ผัวเมีย” เขาเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉยแต่มันกลับทำให้ฉันสะท้านไปทั้งตัว
“อะไรนะ!!” ฉันถึงกับอุทานออกไปกับสิ่งที่ได้ยิน
ฉันยังคงตกใจและไม่ชินกับคำพูดที่เขาคอยตอกย้ำ กับความสัมพันธ์ของเรา ถ้าสาวๆ ที่คลั่งไคล้เขา มาได้ยินประโยคนี้ที่ออกจากปากเขาเข้า คงเป็นฉันแน่ที่เละ!! และยิ่งเขาตอกย้ำด้วยคำพูดและการกระทำแบบนี้ ฉันหวั่นใจเหลือเกินว่าความคิดที่จะหนีออกไปจากที่นี่ มันจะเป็นไปได้ไหม เห้อ..ฉันหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่าเนี้ย
“ใครเป็นผัวเมียกับคุณไม่ทราบ” อย่างน้อยฉันก็ขอแก้ตัวหน่อย
“ก็นอนเอากัน ไม่ใช่ผัวเมียแล้วเรียกอะไร” เขาเอ่ยหน้านิ่ง
(*0*) ฉันล่ะหมดคำพูดกับเขาจริงๆ
“เอ่อ..แค่ครั้งเดียว เขาไม่นับกันหรอก” ฉันยังคงแถ
“แต่ที่ผมจำได้...ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว” เขาตอบกลับฉันทันควันขณะที่ตายังจ้องไปที่แล็ปท็อปในมือ
“ฉันพูดผิด คืนเดียว วันไนท์อ่ะ คุณไม่รู้จักหรอ” ฉันยังคงแถต่อ โดยที่ลืมไปเลยว่าในห้องนี้ไม่ได้มีแค่ฉันกับเขา กว่าจะคิดได้ ฉันก็ได้แต่ก้มหน้าหนีอาย
“ผมว่าผมพูดรู้เรื่องไปแล้วนะ และหวังว่าคุณจะทำตามสัญญา” เขาเงยหน้ามามองฉันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่นเลย
“เลือกเสื้อผ้าให้เธออีกสักสามสิบชุด แล้วเอาไปจัดใส่ในห้องเสื้อผ้าของฉัน ส่วนที่เหลือเอาไปไว้ที่ห้องชั้นล่าง” เขาพูดสั่งพนักงานร้านเสื้อผ้า กับ ป้าแม่บ้านที่ดูแลความสะอาดของเพนท์เฮ้าส์นี้ให้ช่วยกันจัดการ
“แล้วชุดชั้นในล่ะเจ้าค่ะ” ป้าแม่บ้านเอ่ยพร้อมมองไปที่ราวรถเข็นชุดชั้นในที่กำลังเข็นตามเข้ามา
“เดี๋ยว เอลิซจัดการเองค่ะป้า” ฉันรีบบอกป้าอย่างไว พร้อมพุ่งตัวไปที่ราวรถเข็นชุดชั้นใน
ฉันก็อายนะ จะให้คนอื่นมาจัดการชุดชั้นในได้ยังไงกัน
“ได้เจ้าค่ะ” ป้าแม่บ้านยิ้มอ่อนให้ฉันแล้วรีบพาพนักงานไปทำงานต่อ
ฉันมองไปที่ราวรถเข็นชุดชั้นใน แล้วต้องเบิกตาด้วยความตกใจ แต่ละชุดเหมือนจะไม่ใช่ชุดชั้นใน เขาเรียกอะไรนะ อ๋อ..ชุดนอนไม่ได้นอน เพราะดูเหมือนมันจะไม่สามารถปกปิดอะไรเลย เว้าตรงนู้น แหว่งตรงนี้ ทั้งแบบ ทั้งสี ได้แต่มองแล้วลอบถอนหายใจ ก่อนจะเลือกมาประมาณ 5-6 ชุดที่ดูจะเรียบร้อยที่สุดแล้ว
เหมือนเขาจะเห็นความลำบากใจในการเลือกชุดชั้นในของฉัน
“ชุดนี่ด้วย นี่ด้วย อันนี้ด้วย แล้วก็อันนี้ด้วย” เขาเดินมาเมื่อไรไม่รู้ พร้อมกับหยิบชุดชั้นในชวนวาบหวิวที่ฉันคัดออกไป หยิบโยน หยิบโยน เป็นสิบตัว ลงมาที่ตัวฉันจนฉันรับแทบไม่ทัน
“ป้าเสริม มารับของจากคุณเอลิซเขาไปเก็บด้วย” เขาเอ่ยเรียกป้าแม่บ้านให้มาเอากองชุดชั้นในที่อยู่บนตัวฉันให้เอาไปเก็บ
ฉันได้แต่ยืนงง นี่สรุปฉันใส่หรือเขาใส่กันแน่ แล้วมองป้าเสริมเดินมาเอาชุดชั้นในที่ฉันแล้วเดินไปทำงานต่อ
“ไม่ตามเขาไปล่ะ คุณไม่ไปแต่งตัวหรอ” เขาพูดให้ฉันตื่นจากภวังค์
ฉันมองหน้าเขาอย่าง งงๆ แล้วเดินตามป้าเสริมไป
ฉันไปยืนมองป้าเสริมกับพนักงานร้านเสื้อผ้าจัดเสื้อผ้าเข้าตู้จนเสร็จเรียบร้อย พอพนักงานขอตัวกลับ ป้าเสริมก็เดินมาที่ฉันแล้วพูดว่า~~~
“คุณเอลิซนี่โชคดีมาเลยนะคะ คุณเซฟไม่เคยพาใครมาที่เพนท์เฮ้าส์นี่เลยนะคะ คุณเอลิซเป็นคนแรกเลย สงสัยคุณเซฟจะรักคุณเอลิซจริงๆ นะคะเนี้ย” ป้าเสริมพูดจบแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ฉันยืนงง แต่ฉันก็ไม่ได้ถือสาคำพูดของป้าเสริมแกหรอก เพราะป้าคงไม่รู้สาเหตุที่ฉันได้มาอยู่ที่นี่ตอนนี้ มันเป็นเพราะเกม มันไม่มีความรักอยู่เลยต่างหาก
สารบัญ / นำทาง
- ยอดวิว 87
แสดงความคิดเห็น