บทที่ 362: ถ้าเจ้ากล้าว่าแม่ของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!
ขณะนี้หลงเหยาที่ตัวเล็กที่สุดโดนเด็กคนอื่นเบียดเสียดจนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขารีบยื่นมือออกไปเพื่อผลักทุกคน ก่อนจะเท้าสะโพกพูดว่า “ไม่ๆๆ ท่านแม่ของเสี่ยวเหยาทำงานหนักมาก พวกเราไม่มีอาหารกินเยอะขนาดนั้น แค่พวกเรายังไม่พอกินเลย”
ถ้าท่านแม่ต้องทำอาหารให้เด็กในเผ่าอีก นางจะไม่เหนื่อยตายก่อนหรือไง?
ในตอนแรกใบหน้าของหลงจงดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่หลังจากที่มีเด็กมากมายมาสรรเสริญเยินยอ ในไม่ช้าเขาก็เริ่มรู้สึกพึงพอใจ
เขาเห็นด้วยกับคำพูดของหลงเหยาเป็นครั้งแรก และพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ “ใช่แล้ว ท่านแม่ของข้าเก่งที่สุดในโลก! ในโลกใบนี้จะมีใครเก่งได้เท่านางอีก แม่ของพวกเจ้าสู้แม่ของข้าไม่ได้หรอก”
แล้วหลงจงที่มักจะทำหน้าอึมครึมอยู่เสมอก็กลายร่างเป็นเด็กคุยโวแทน
สิ่งที่เด็กชายพูดทำให้เด็กคนอื่นรู้สึกแย่มาก
หลังจากที่เขาพูดจบ บรรยากาศก็เงียบลงในทันที
“พี่สาม...”
เมื่อหลงหลิงเอ๋อดึงแขนเสื้อของหลงจง เขาก็กลับมามีสติอีกครั้ง แล้วตระหนักว่าสีหน้าของเด็กที่อยู่รอบตัวเขานั้นไม่ค่อยดีนัก
ครู่ต่อมา เสี่ยวสือโถวเกาหัวพูดด้วยความลำบากใจ “ไม่เป็นไร ถ้ามันไม่เหมาะสม ที่จริงเราไม่ควรขอแบบนั้นตั้งแต่แรก”
“แต่ว่าท่านแม่ของเราเสียไปนานแล้ว...” เด็กคนอื่นพูดเสียงแผ่วเบา
ครั้งนี้กลุ่มคนที่หูเจียวเจียวพากลับมาได้คือทาสเด็กและทาสชาย ส่วนภูตหญิงที่ยังคงอยู่ในเผ่าหมาป่าส่วนใหญ่ถูกขังไว้ในห้องมืดที่ปราศจากอิสรภาพ
บางคนก็โชคร้ายถึงขั้นถูกทรมานจนเสียชีวิต
เด็กเหล่านี้อาภัพมากที่แม่ของพวกเขาจากโลกนี้ไปโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้รับอิสรภาพ
“ข้า...” หลงจงเพิ่งรู้ว่าตนพูดผิดไป สีหน้าของเขาจึงกระอักกระอ่วน พร้อมกับที่สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ...”
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กคนอื่นยอมคุยกับพี่น้องของเขา
ทำไมเขาถึงได้ทำตัวโง่แบบนี้!
แค่เอ่ยประโยคแรกเขาก็ไปแตะปมที่เจ็บที่สุดของทุกคนแล้ว!
หลังจากเขาพูดทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไป เด็กพวกนี้คงไม่อยากเข้ามาคุยกับพวกเขาอีก
ในเวลาเดียวกัน หลงเหยาขมวดคิ้วมุ่น เขามองดูเด็กตัวโตที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าจริงจัง ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่าง
“ถึงพวกท่านจะไม่มีแม่ เสี่ยวเหยาก็ยังไม่เห็นด้วยที่พวกท่านจะมาชิมอาหารที่ท่านแม่ทำ!”
“ท่านแม่ของเสี่ยวเหยาทำงานหนักมากจริง ๆ!”
ทางด้านเด็กในเผ่าคาดคิดไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำไม่พูดอะไรอีก
ตามด้วยความอ้างว้างฉายแววผ่านดวงตาของแต่ละคน
ในตอนนั้นเอง คนตัวเล็กกล่าวต่อว่า
“แต่ถ้าพวกท่านอยากชิม เสี่ยวเหยาสามารถแบ่งส่วนของเสี่ยวเหยาให้พวกท่านได้”
เด็กน้อยพูดพลางตบท้องตัวเองด้วยท่าทางใจดี
นั่นทำให้หลงอวี้กับหลงเซียวหันไปมองคนพูดขณะทำหน้าประหลาดใจ
นี่เขายังเป็นเจ้าห้าจอมตะกละคนนั้นอยู่หรือไม่?
เขาเต็มใจแบ่งปันอาหารให้เด็กคนอื่น ๆ ด้วยหรือ!?
ส่วนหยินชางที่ยืนอยู่ข้างหลังหลงเหยาวางมือลงบนไหล่เล็กของอีกคนราวกับต้องการจะบอกว่า ‘นับข้าด้วย’
เขาเองก็เป็นเด็กที่ไม่มีพ่อแม่เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของทุกคนมากที่สุด
ปัจจุบันเขามีครอบครัวใหม่ที่แสนอบอุ่นแล้ว เพราะฉะนั้นเขายินดีที่จะแบ่งปันสิ่งที่ตนได้รับให้กับผู้อื่น
ทางด้านเสี่ยวสือโถว, หวงเทียนและเด็กคนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำพูดของหลงเหยาพากันตกตะลึง
ดูเหมือนว่าพวกเขายังไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่เด็กน้อยพูด
“ไม่เป็นไรจริง ๆ หรือ?” เด็กทุกคนมองไปที่หลงเหยาด้วยสายตาเหลือเชื่อ
เขาไม่รังเกียจพวกเราหรือ?
เขาเต็มใจที่จะแบ่งปันอาหารแสนล้ำค่าที่แม่ของเขาทำให้กับพวกเรา!
“แน่นอน” คนตัวเล็กพยักหน้าพลางลูบคางที่ไร้เคราของตน “ยังไงเสี่ยวเหยาก็ได้กินอาหารที่ท่านแม่ทำทุกวันอยู่แล้ว แค่แบ่งให้พวกท่านสักคำสองคำก็คงไม่หนักหนาอะไร”
เพื่อแลกกับสหายมากมาย เด็กชายรู้สึกว่ามันเป็นข้อตกลงที่ดี
แต่ว่า…
คงจะดียิ่งขึ้นหากอาหารที่เขาทำเองก็เป็นที่ชื่นชอบของเด็กคนอื่นด้วย
ยามนี้หลงเหยาแอบวางแผนไว้ในใจ
ในเวลาเดียวกัน หลงจงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
เจ้าห้าเปลี่ยนไป!
ส่วนหลงอวี้ทำหน้าโล่งใจและลูบหัวหลงเหยาเบา ๆ “เสี่ยวเหยาของเราโตขึ้นแล้ว”
ผู้เป็นพี่ชายคนโตไม่คาดคิดว่าน้องชายคนเล็กของตนจะรู้จักแบ่งปันให้คนอื่นด้วย
ซึ่งนี่เป็นลักษณะนิสัยที่ดีของหูเจียวเจียว ดูเหมือนว่ามันจะถ่ายทอดมาถึงหลงเหยาด้วยเช่นกัน
ยามนี้เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ถูกต้อง เสี่ยวเหยาไม่เหมือนเดิมแล้ว~”
เหตุผลหลักก็คือปัจจุบันความอยากอาหารของเขาลดน้อยลง
แล้วเขาก็กินอาหารได้ไม่มากเหมือนเดิมเช่นกัน
ประโยคสุดท้ายนี้หลงเหยาแอบคิดในใจ
“หลงเหยา เจ้าใจดีมาก!”
“ครอบครัวของเจ้ายอดเยี่ยมที่สุด!”
พวกเสี่ยวสือโถวมีความสุขมากจนแต่ละคนเอ่ยปากชมไม่หยุด
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มเด็กที่เคยรังแกพวกหลงอวี้ต่างก็ชักสีหน้ามองเจ้าตัวเล็กที่ถูกผู้คนห้อมล้อมไว้
พวกเขารู้สึกอิจฉาที่เด็กตระกูลหลงเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เด็กที่เพิ่งเข้าร่วมเผ่า
แต่พวกตนก็อายเกินกว่าจะเข้าไปร่วมวงกับคนอื่นด้วย
มันทำให้บรรยากาศของกลุ่มเด็กทางนี้ช่างตรงกันข้ามกับความวุ่นวายของกลุ่มเด็กที่นั่นอย่างสิ้นเชิง โดยที่ด้านหนึ่งเย็นเยียบ ส่วนอีกด้านนั้นอบอุ่นจนร้อนราวกับว่าพวกเขาอยู่คนละเผ่า
ขณะเดียวกัน ด้านหลังกลุ่มมีเด็กตัวผอมแห้งที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นกำลังจ้องมองพวกหลงเหยาด้วยความอิจฉา
จากนั้นเขาก็พูดอย่างขุ่นเคืองว่า
“ชิ ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ มันก็แค่อาหาร ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่มีอาหารกินสักหน่อย!”
เจ้าของประโยคข้างต้นคือลู่หลี เด็กหนุ่มคนเดียวที่ไม่เคยถูกศัตรูจับตัวไป
หลังจากที่พ่อแม่กวางตายไป เขาก็อาศัยอยู่ตามลำพังในถ้ำโดยที่ท่านผู้เฒ่าคอยจัดหาเสบียงมาไม่ให้เขาต้องขาดแคลนอาหารเลย
นับตั้งแต่กวางหนุ่มยังเด็ก เขาถูกพ่อแม่เอาใจจนเสียคนไปแล้ว เขาทั้งจู้จี้จุกจิกและเจ้ากี้เจ้าการ ไม่ชอบสิ่งนี้บ้างสิ่งนั้นบ้าง ด้วยเหตุนี้ ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือนต่อมา ร่างกายของเขาก็ยิ่งผอมแห้งลง ประกอบกับผิวกลายเป็นสีซีด
ยามนี้ลู่หลีมองไปที่กลุ่มผู้ติดตามตัวน้อยของตนที่กำลังอิจฉาคนอื่น แล้วนับประสาอะไรกับตัวเขา แน่นอนว่าแววตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาไม่ต่างกัน
ถ้าพ่อแม่ของเขาไม่ตาย เสบียงทั้งหมดในถ้ำนั้นคงเป็นของเขาไปแล้ว
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของหูเจียวเจียว!
นางปกป้องเผ่าเอาไว้ไม่ได้ นางปล่อยให้ภูตหมาป่าบุกเข้ามาฆ่าพ่อแม่ของเขา!
เสียงของลู่หลีพูดไม่ได้เบาเลย เสี่ยวสือโถว หวงเทียนและเด็กคนอื่น ๆ ก็ได้ยินเช่นกัน พวกเขาจึงขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจ
เจ้าหมอนี่! ทำไมจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ล่ะ?
เราควรจะขอบคุณเผ่าสำหรับทุกสิ่งที่เราได้รับมาไม่ใช่หรือ!?
พอเด็กทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กพื้นเมืองของเผ่า
เมื่อเด็กที่อยู่กันเป็นกลุ่มเห็นเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น
เจ้าเด็กนั่นคือใคร? ทำไมเขาทำหน้าไม่สบอารมณ์มองพวกเขาตาขวางแบบนั้น?
ไม่นานเหล่าเด็กที่อายุน้อยกว่าก็ขยับไปยืนรวมกันเหมือนเป็นกำแพงเพื่อปิดกั้นการมองเห็นของลู่หลีโดยไม่ต้องการให้หลงเหยาถูกภูตคนนี้ดูถูก
ส่วนกลุ่มเด็กขี้อิจฉาที่เป็นคนท้องถิ่นของเผ่ารู้สึกละอายใจจึงถอยห่างจากลู่หลีกันทีละคน จนกระทั่งตอนนี้ไม่มีใครอยากยืนใกล้เขาแม้แต่คนเดียว
ทันทีที่กวางหนุ่มเห็นท่าทางของทุกคน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นถมึงทึงก่อนจะกัดฟันพูดว่า
“ถ้าหูเจียวเจียวทรงพลังมากขนาดนั้น ทำไมเผ่าถึงยังถูกโจมตี?”
“นางเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่หรือ ทำไมนางไม่ขอให้เทพอสูรช่วยเราขับไล่พวกภูตหมาป่าในยามที่พวกมันบุกเข้ามาโจมตีเราล่ะ?”
“ถ้านางเก่งจริง ทำไมนางไม่ขอให้เทพอสูรช่วยรักษาไอ้ตาบอด ไอ้ใบ้ แล้วก็ไอ้อัปลักษณ์พวกนั้น!”
เขาจงใจขึ้นเสียงให้คนที่อยู่โดยรอบได้ยิน
เมื่อพวกหลงอวี้ได้ยินคำพูดไม่เข้าหูของลู่หลี ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
จากนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันส่งสายตาเชือดเฉือนไปให้คนปากพล่อย
“ไหนพูดอีกครั้งซิ!” ดวงตาของพี่ชายคนโตแห่งตระกูลหลงคมกริบยิ่งกว่ามีด
“ถ้าเจ้าบังอาจกล่าวหาท่านแม่ของข้าอีกครั้งล่ะก็…ข้าจะฆ่าเจ้า!” หลงจงกางกรงเล็บออกมาข่มขู่อีกฝ่าย
ส่วนหลงหลิงเอ๋อเองก็หยิบมีดออกมาจับไว้แน่น และจ้องมองไปที่ลู่หลีนิ่ง ราวกับว่าหากเขาพูดเรื่องไร้สาระอีกครั้ง นางจะปาดคอเขาด้วยมีดเล่มนี้
สารบัญ / นำทาง
- ยอดวิว 97
แสดงความคิดเห็น