หอมรักจากหัวใจ 2 : ลูบคม
สายลมเย็นสบายบนแดนสันตหรรษาโชยเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดบานไว้ ร่างบางเจ้าของห้องยังคงนอนหลับตาพริ้มกอดหมอนข้างอย่างน่าเอ็นดูอยู่บนเตียงหนานุ่ม ไม่สนใจเลยว่าเวลานี้จะปาเข้าไปกี่โมงแล้ว
ที่หน้าประตูแก้ว ยักษ์สาววัยรุ่นตนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาเงียบๆ ก่อนตรงมายังเตียงใหญ่กลางห้องอย่างคุ้นเคย
“จะสิบโมงแล้วนะเพคะพระธิดา ควรตื่นได้แล้วนะเพคะ” ยักษ์สาวในชุดขุนนางหญิงสูงศักดิ์ยื่นมือมาสะกิดแขนเรียวสวยของผู้เป็นเจ้านายสามสี่ที ก่อนพระธิดาขี้เซาจะงัวเงียตื่นขึ้น
“คนอื่นๆ ล่ะ?” พระธิดาคณิสรถามพลางดันตัวลุกขึ้นนั่ง
“กำลังจะพาเหล่าขุนนางเทพออกชมอาณาจักรแล้วเพคะ หม่อมฉันมาปลุกพระองค์หลายครั้งก็ไม่ยอมตื่นสักที เห็นพระองค์ว่าจะตามพวกในวังออกไปด้วยอย่างไรเพคะ” ผู้เป็นคุณท้าวอดบ่นไม่ได้
“ช่างเถอะ เราขี้เกียจไปแล้ว ถือว่าเปิดโอกาสให้พวกพระอัครมเหสีไม่ต้องระคายตาที่เห็นเราไปสักเวลาหนึ่งแล้วกัน” พระนางพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วจึงลุกจากเตียง ยืนบิดขี้เกียจไปมาสักครู่หนึ่งก็หันไปกล่าวกับนางข้าหลวงคนสนิทต่อ
“ดารินทร์ไปเตรียมน้ำให้เราอาบแล้วใช่หรือไม่?” ผู้ที่พระธิดายักษ์กล่าวถึง คือน้องสาวของดมิสา ซึ่งเป็นบริวารคนสนิท ที่มียศเป็น คุณท้าว เช่นกัน
“เพคะ” คุณท้าวดมิสาตอบ มองผู้เป็นเจ้านายบิดตัวอย่างเกียจคร้านด้วยความระอา จะกี่ปีผ่านไปก็ไม่ยอมโตสักที
พระธิดายักษ์สาวเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะ
“อยู่กับเรามาตั้งนาน เธอควรชินได้แล้วนะ พระธิดาก็ยักษ์ตนหนึ่ง จะให้สำรวมอะไรนักหนาเล่า”
“แต่พระองค์เป็นที่จับตาของประชาราษฎร์ ต้องงามสง่า น่าภาคภูมิ เป็นผู้ที่ทุกตนต้องเคารพเทิดทูนสิเพคะ” คุณท้าวสาวออกความเห็น ซึ่งก็เป็นความเห็นเดิมๆ ที่เธอเคยพูดกับพระธิดาของตนมาหลายครั้งแล้ว
“เอาล่ะๆ เราไม่เถียงกับเธอแล้ว ไปอาบน้ำล่ะนะ” พระธิดาคณิสรรีบตัดบททันที ก่อนที่ผู้เป็นทั้งบริวารคนสนิทและเพื่อนรักจะอบรมยาวกว่านี้ พอได้จังหวะแล้ว พระองค์ก็รีบผลุบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว จนคนด้านหลังแทบตามไม่ทัน
•
•
ขณะที่ขุนนางเทพส่วนใหญ่ออกเที่ยวชมแดนยักษ์ตามอาณาจักรต่างๆ โดยมีองค์จักรพรรดิยักษ์และข้าราชบริภารเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้อยู่นั้น บวรดิเรกเทพบุตรก็แยกตัวออกมาแฝงอยู่ในกลุ่มประชากรยักษ์ทั่วไปในเมืองแทน
ซึ่งไม่ได้มีเพียงเขาตนเดียวที่ทำแบบนี้ ยังมีขุนนางเทพระดับเดียวกันและใกล้เคียงกันอีกจำนวนหนึ่งปลอมตัวปะปนอยู่กับฝูงชนไม่ต่างจากเขา มันเป็นหนึ่งในภารกิจดูแลความเรียบร้อยของที่นี่นั่นเอง
สายตาเฉียบคมมองกวาดไปรอบตัวอย่างตรวจตรา วิถีชีวิตของยักษ์ในสันตหรรษาไม่ค่อยต่างอะไรกับชาวสวรรค์อย่างเขา หากก็รู้ดีว่า อารมณ์ความคิดของอมนุษญ์พวกนี้แทบจะเหมือนมนุษย์เสียหมด
อมนุษย์บนแดนนี้มีหน้าที่กันทุกตน หลักๆ ก็คือดูแลดินแดนและความสงบสุขในโลกมนุษย์ เมื่อใดไม่มีงาน แต่ละตนก็จะเที่ยวเล่นหาความบันเทิงตามสถานที่ต่างๆ พร้อมเพื่อนฝูงบ้าง คู่รักบ้าง ครอบครัวบ้าง หรือไม่ก็มาตามลำพัง ส่วนผู้มีหน้าที่ต้องออกไปช่วยเหลือดูแลโลกก็จะแยกย้ายกันไปตามตารางงานที่ขุนนางผู้ใหญ่กำหนดให้
บ้านเมืองของผู้อาศัยบนแดนสันตหรรษางดงามคล้ายสวรรค์แต่ก็ยังไม่เสมอเหมือน เพราะชนิดของแก้วมณีต่างๆ ที่ใช้ทำเรือนพักต่างกันมาก ที่นี่ผู้คนสามารถเนรมิตได้เพียงแก้วมีค่าเก้าประการของโลกมนุษย์เท่านั้น จึงไม่อาจระยิบระยับแววาวได้เท่ากับรัตนเจ็ดประการบนสวรรค์ได้ แต่เพียงเท่านี้ ก็ตื่นตระการตามากแล้ว
เทพบุตรหนุ่มเดินดูจนทั่วเมืองนี้แล้วก็พบว่าทุกอย่างยังสงบเรียบร้อยดี เมื่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ เขาก็นึกเปลี่ยนเมือง แต่สายตาก็เหลือบไปสะดุดกับร่างระหงในชุดชาววังสามร่างเสียก่อน จึงหยุดมองด้วยความสนใจ
สามร่างงดงามที่เห็นไม่ใช่ใคร พระธิดาโฉมงามหนึ่งในพระนัดดาขององค์จักรพรรดิยักษ์และบริวารสนิทอีกสองตน เพิ่งพากันลงมาจากรถหรู ก้าวเร็วๆ ออกไปทางประตูเมืองด้วยท่าทางรีบร้อน
•
•
ภายนอกเขตบ้านเมืองยักษ์เกือบทุกทิศรายล้อมด้วยป่าเขา ร่มรื่นไม่รกครึ้มมากเหมือนพงศ์ไพรบางพื้นที่บนแดนมนุษย์ อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชนานาพรรณ บ้างออกดอก บ้างออกผล ให้เหล่าอมนุษย์ทั้งหลายในสันตหรรษาเชยชมและรับประทาน
ต้นไม้ทุกต้นนอกเขตอาศัยของเหล่าอมนุษย์ไม่ได้ระยิบระยับงดงามเหมือนในอาณาจักร แต่ก็สูงใหญ่น่าเกรงขาม เขียวชอุ่มสีสันดอกผลสวยละลานตาไม่น้อยหน้า
บวรดิเรกเทพบุตรแอบสะกดรอยตามสามสาวชาววังเข้ามาในป่านอกพระนคร สังหรณ์ของทวยเทพมักไม่ผิดพลาด อะไรบางอย่างที่นำสตรีสูงศักดิ์ทั้งสามรีบร้อนมาถึงที่นี่ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา ดังนั้น ผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบบนแดนนี้ก็ไม่ควรปล่อยผ่านไปโดยง่าย
หนำซ้ำ หนึ่งในสตรีสูงศักดิ์สามตน ยังเป็นผู้ที่ต้องได้รับการดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษในระยะนี้อีกด้วย นั่นไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นพระนัดดาแห่งองค์จักรพรรดิยักษ์เพียงอย่างเดียว หากเธอยังเป็นผู้ที่มีพลังมากพอจะถูกเลือกลงชิงตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดของเผ่ายักษ์ ซึ่งกำลังตกเป็นเป้าหมายสำคัญที่พวกอธรรมจ้องจะปองร้าย
“อย่าเพิ่งเข้าไปเพคะ!” ขุนนางสาวคนสนิทรีบคว้าต้นแขนท้วงไว้ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้านายจะพรวดพราดเข้าไปในวงต่อสู้
“ทำไมล่ะ สองคนนั้นกำลังตกอยู่ในอันตรายนะ?” พระธิดายักษ์สาวหันมาถามทันควัน
“ครั้งที่แล้วพระองค์ก็ถูกลอบโจมตี ครั้งนี้อาจจะเป็นกับดักนะเพคะ” คุณท้าวดารินทร์ให้เหตุผลแทนพี่สาว
“อย่างที่ดารินทร์พูดเพคะ ดังนั้นพระธิดาจะผลีผลามไม่ได้เชียว” คุณท้าวผู้พี่สัมทับอีกแรง
“แล้วจะให้เราทำอย่างไร พวกเขามีกันแค่สองตน ตนหนึ่งเป็นหญิงก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ปราการที่ครอบเธออยู่ก็ใกล้จะแตก ส่วนผู้เป็นชายก็เหมือนจะรับมือไม่อยู่แล้ว!” พระธิดาคณิสรถามด้วยความร้อนใจ
“สงบใจก่อนเถอะเพคะ ปล่อยให้ใจเต้นเร่าจะทำให้คิดอะไรไม่รอบคอบ” คุณท้าวดามิสาเตือนสติด้วยเสียงสงบนิ่ง
“เอาอย่างนี้เพคะ หม่อมฉันจะหาทางลอบโจมตีและปะทะกับพวกนั้นเอง ส่วนพี่หญิงก็คอยอารักขาพระธิดาที่นี่” เด็กสาวในเครื่องทรงงามตาสีทองเสนอความเห็น
“ไม่ต้องมีใครอยู่เฝ้าเราทั้งนั้น พวกเธอทั้งสองออกไปหาทางช่วยสองคนนั้นก็พอ อย่าลืมว่าเราเป็นใคร พวกนั้นทำอะไรเราไม่ได้ง่ายดายนักหรอกนะ” ผู้มียศสูงกว่ากล่าวพลางมองหน้าสองเพื่อนรักไปมาอย่างประเมิน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่เห็นด้วย และตนหนึ่งกำลังจะแย้ง จึงรีบขัดขึ้นอย่างรู้ทัน
“หรือพวกเธอดูถูกฝีมือเรา”
สองขุนนางสาวต่างพากันเงียบ เพราะรู้ถึงความดื้อรั้นของเจ้านายสาวดีกว่าใคร ที่พระนางยอมไม่ออกหน้าเองนั่นก็ถือว่ายอมลงให้ที่สุดแล้ว
ขุนนางเทพหนุ่มยืนแอบมองสามสาวชาววังอยู่ห่างๆ ทว่าหูทิพย์ก็ยังทำงานได้ดี และฝ่ายนั้นคงไม่คาดคิดว่าจะมีใครตามมาและถือวิสาสะแอบฟังที่พวกเธอคุยกัน แต่นั่นก็นับว่าประมาทมาก แต่ก็ดีที่เขาไม่ต้องพยายามเจาะการป้องกันการดักฟังให้เสียพลังไปโดยไม่จำเป็น
หลังจากพระธิดายักษ์สาวและบริวารทั้งสองตกลงแผนการกันเสร็จ ดวงตางามก็เห็นสองขุนนางสาวในเครื่องทรงสีทองเดินแยกออกไปคนละทาง เขาไม่คิดจะออกไปช่วยหรือเผยตัวให้สามสาวหรือใครก็ตามทราบการมีตัวตนของเขาในเวลานี้จนกว่าจะจำเป็นจริงๆ
สามร่างบางอรชรกำหนดจิตเปลี่ยนเครื่องทรงของตนเองเป็นชุดสีดำรัดกุม ผมยาวถูกเก็บเข้าใต้ผ้าคลุมอย่างเรียบร้อย ครึ่งหน้าปิดไว้ด้วยผ้าผืนเดียวกัน อาวุธประจำกายบัดนี้ปรากฏอยู่ในมือของทุกตนอย่างเตรียมพร้อม
เคร้ง! เคร้งๆๆๆ! เสียงปะทะของอาวุธคุณท้าวดมิสาเริ่มต้นขึ้น กงจักรลมเล็กแต่ทรงพลังหลายอันพุ่งเข้าไปขวางดาบยาวแข็งแรงของฝ่ายตรงข้าม ป้องกันไม่ให้อาวุธของพวกนั้นเข้าโจมตีชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่กำลังรับมืออยู่นอกปราการป้องกันของผู้เป็นน้องสาว
แน่นอนว่า ที่เขาไม่เข้าไปหลบในปราการนั้นด้วย ก็เพราะจะคอยขวางไม่ให้ใครโจมตีปราการนั้นได้ถนัดนัก น้องสาวเขากำลังบาดเจ็บหนัก ที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือสร้างม่านพลังขึ้นมาป้องกันตนเองเท่านั้น
พอฝ่ายพี่เข้าโจมตี ทางคุณท้าวดารินทร์ผู้น้องก็ไม่ยอมเสียเวลาเปล่า รีบฟาดโซ่เหล็กร้อนเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามทันที บ้างปัดอาวุธของพวกนั้นให้กระเด็นจากมือ บ้างกวาดร่างกำยำให้ได้รับบาดเจ็บ บ้างก็รัดเหวี่ยงบางรายปลิวหายไป
“มีคนลอบโจมตี!!” เสียงหนึ่งในฝ่ายรุกรานร้อนขึ้น
“พระธิดาคณิสร!” ชายหนุ่มที่กำลังถูกลุมได้ยินที่อีกฝ่ายตะโกนขึ้นก็อดหลุดปากออกมาด้วยความยินดีไม่ได้
“อะไรนะ! พระธิดาคณิสรมางั้นรึ” อีกคนในฝ่ายตรงข้ามอุทานด้วยท่าทีตกใจ
“เป็นไปได้ยังไง พวกเราล้อมสองคนนี้ไว้ตลอด ใครจะไปส่งข่าวได้!” ร่างฉกรรจ์อีกตนถามด้วยความไม่เข้าใจ
“สั่งพวกเราถอย!!” และชายอีกคนก็ร้องมาจากอีกด้าน เป็นผลให้พวกนั้นรีบรวมตัวกัน ก่อนระดมพลังปล่อยกราดไปรอบทิศ จากนั้นก็พากันเผ่นแนบหายเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยพลังสะกัดการติดตามพวกมันไปทั่วนั้น ชายหนุ่มกลางวงไม่เว้นกระทั่งสามหญิงสูงศักดิ์ต้องรีบเสกม่านพลังมากำบังกายพวกตนไว้ทันทีเพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ก่อนจะทันได้เสกม่าน พวกนั้นก็ทำงานกันรวดเร็วจนตั้งรับแทบไม่ทัน ทำให้สามยักษ์สาวและอีกหนึ่งหนุ่มได้รับบาดเจ็บกันเล็กน้อย
เมื่อพวกศัตรูหนีไปหมดแล้ว ชายหนุ่มนอกปราการของน้องสาวตนเองก็ทรุดเข่าลงอย่างหมดเรี่ยวแรงยืนต่อ ปากอ้าตะครุบอากาศหายใจเข้าปอดถี่หนักด้วยความเหนื่อย เหงื่อใครท่วมกายไปทั้งร่าง มือปักดาบคู่ใจลงดินใช้เป็นหลักยึดไม่ให้ตนเองถึงกับลงไปนอนกองกับพื้น
สองยักษ์สาวข้าบาทเห็นอย่างนั้นก็ยังไม่ผลีผลามเข้าไปหาหนุ่มสาวกลางวง ยืนคอยประเมินสถานการณ์สักครู่ จนแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างปลอดภัยจึงค่อยก้าวเข้าไปหา แต่คงช้ากว่าใครอีกตนที่พรวดพราดเข้าไปก่อนหลังจากที่ตนเองแผ่พลังตรวจตราบริเวณรอบๆ เสร็จ
“พระธิดา!” คุณท้าวดารินทร์อุทานออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายที่ย้ำหนักหนาว่าให้ระวังองค์ดีๆ กระโดดเข้าไปก่อน
ส่วนคุณท้าวผู้พี่ก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกด้วยความปลง
ทางฝ่ายเทพบุตรหนุ่มจากดาวดึงส์สาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เพราะเขาอยู่ห่างจากบริเวณปะทะมามากพอสมควร อาศัยตาทิพย์ หูทิพย์ในการติดตามสถานการณ์แทน แต่ตอนนี้เขาชักสงสัย เสียงจากการปะทะกันก็ดังมากไม่น้อย เหตุใดพวกทหารของอาณาจักรยักษ์หรือขุนนางเทพ ทหารเทพตนอื่นๆ จึงไม่เร่งรุดมา
คิดได้อย่างนั้น ชายหนุ่มก็แผ่สัมผัสออกไปรอบตัวทันทีเพื่อตรวจหาอะไรบางอย่าง และไม่นานนัก เขาก็พบกับคลื่นพลังงานของใครบางตนหลงเหลืออยู่ ทว่าตอนนี้ นอกจากมันจะเจือจางลงมากโข เขายังสัมผัสได้ด้วยว่า เจ้าของพลังนั้นมีมนตราเหนือกว่ามาก ชนิดที่ไม่สามารถสาวถึงต้นตอของพลังขุมนั้นได้เลยว่าเป็นของผู้ใด
และการที่พลังแบบนั้นมาปรากฏที่นี่ ขุนนางเทพหนุ่มสันนิษฐานไว้สองประการ ประการแรก หนึ่งในพวกนั้นต้องมีผู้มีเวทสูงปะปนอยู่ แต่หากเป็นอย่างนั้น เหตุใดถึงรีบเร้นตัวเมื่อรู้ว่าพระธิดายักษ์สาวมา ทั้งที่พลังของตนเองเหนือกว่าเธอมากพอดู หรือจะเป็นประการที่สอง พวกนั้นแค่ยืมของบางอย่างมาด้วย แล้วอธิษฐานขอใช้พลังจากผู้นั้นผ่านของดังกล่าว
แต่จากการรับรู้ผ่านญาณของเขา เจ้าของมนตร์นั้นระดับสูงเกินกว่าที่เขาจะประเมินได้ด้วยซ้ำว่าอยู่เหนือเขาไปมากเท่าใด
ที่แน่ๆ คนเหล่านั้นไม่ได้ดักลอบทำร้ายพระธิดายักษ์สาวอย่างที่เขาคาดไว้ แต่เป้าหมายของพวกมันคือหนุ่มสาวสองตนกลางวงล้อมนั่น แล้วพระธิดาเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา ถึงรีบเร่งจะมาที่นี่ และเหมือนว่าจุดประสงค์ก็เพื่อมาช่วยสองคนนั้นด้วย?
#ผู้แต่ง ครองใจ เมตต์พิรุณ
#ขอบคุณหัวใจ ของเธอ
#เขียนด้วยหัวใจ เขียนด้วยความสุข เพื่อส่งสุขต่อๆไป
สารบัญ / นำทาง
- ยอดวิว 484
แสดงความคิดเห็น