หอมรักจากหัวใจ 1 : เทพบุตรดาวดึงสา
ขบวนรถเทพที่ยิ่งใหญ่เหาะลงจากดาวดึงส์นครมายังแดนสันตหรรษา ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมิติจินตศิลป์ ที่เทพบดีชั้นผู้ใหญ่ของสวรรค์หกชั้นร่วมกันสร้างขึ้น เพื่อเป็นมิติที่อยู่สำหรับอมนุษย์ผู้มีเผ่าสูงกว่าภูตผีทั่วไป ทว่าระดับยังด้อยกว่าเทวานัก พวกเขามีหน้าที่ช่วยเหลือพวกมนุษย์โลกในยุคครึ่งหลังพุทธกาล
ขบวนเทพชุดนี้ นำโดยสรธรนัครินทรเทวา ขุนนางเทพระดับสามจากสิบแปดระดับ เป็นหนึ่งในขบวนทั้งสี่ที่ถูกส่งมายังสันตหรรษา โดยรับหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยระหว่างการสรรหาจักรพรรดิองค์ใหม่ของเผ่ายักษ์
แดนสันตหรรษาเพิ่งสร้างขึ้นในพุทธศักราชสองพันห้าร้อย แล้วเสร็จเมื่อพุทธศักราชสองพันห้าร้อยหนึ่ง นอกจากเผ่ายักษ์แล้ว ก็ยังมีอีกสามเผ่าอาศัยอยู่ด้วย นั่นคือ เผ่ามังกร เผ่าเงือก และเผ่านรสิงห์ แต่ละเผ่าจะมีเก้าราชวงศ์ช่วยกันปกครองประชากรในเผ่า และทุกเผ่าจะต้องมีจักรพรรดิคอยดูแลความสงบเรียบร้อยอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งจะต้องได้รับการคัดเลือกจากผู้ที่มีความเหมาะสมทุกๆหกสิบปีมนุษย์
ยักษ์ในแดนนี้ แม้ขึ้นชื่อว่ายักษ์ หากก็ไม่ใช่เทพยักษ์บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ถึงอย่างนั้นวรรณะก็ค่อนข้างสูง รูปร่างงดงามราวกับชาวสวรรค์ เพียงด้อยกว่าเล็กน้อยตามแดนเกิด กินผลหมากรากไม้ที่ขึ้นบนผืนดินสันตหรรษาเป็นอาหาร มีวิถีชีวิตและอุปนิสัยคล้ายมนุษย์มาก เพราะอยู่บนแดนติดกับมนุษย์ไม่แพ้รุกขเทวาตามต้นไม้และศาลพระภูมิ
เนื่องจากปีนี้ ตรงกับปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบเก้า ซึ่งในปีหน้าจะต้องมีการคัดเลือกผู้เหมาะสมขึ้นมาเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ เหล่าราชวงศ์ทั้งเก้าของแต่ละเผ่าจึงต้องหาวิธีคัดเลือกผู้มีความเหมาะสมที่สุดของตนออกมาชิงตำแหน่งกับอีกแปดราชวงศ์เผ่าเดียวกันที่เหลือ
ด้วยเหตุนี้ เทพบดีผู้สร้างสันตหรรษาจึงเกรงจะเกิดความวุ่นวายขึ้นบนแดน อนึ่ง พระองค์เห็นนิมิตรว่า การคัดเลือกผู้เหมาะสมเข้าชิงตำแหน่งจักรพรรดิของแต่ละเผ่าครั้งนี้ จะมีฝ่ายอธรรมซึ่งซ่อนตัวอยู่ในแดนด้วยออกมาก่อความวุ่นวายไปทั่ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องส่งขุนนางเทพบริวารที่มีความสามารถลงมาดูแลความเรียบร้อยระหว่างการสรรหาผู้เหมาะสมมาชิงตำแหน่งจักรพรรดิ
เวลานี้ หน้าประตูเมือง พระเจ้าจักรพรรดิที่หนึ่งแห่งเผ่ายักษาพร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์มากมาย ที่มีข้าราชบริภารอีกหลายร้อยชีวิตติดตาม กำลังตั้งขบวนต้อนรับเหล่าขุนนางเทพจากสวรรค์ที่มาเยือนบ้านเมืองของตนอย่างยิ่งใหญ่
เมื่อคณะเทพนับพันมาถึง พระเจ้าจักรพรรดิปรินทร ผู้เป็นเอกในการดูแลเผ่ายักษ์ก็เข้าต้อนรับหัวหน้าขบวนเทพ องค์สรธรนัครินทรเทวา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที
“ยินดีต้อนรับองค์สรธรนัครินทรเทวาและขุนนางเทพน้อยใหญ่ทั้งหลายที่ร่วมขบวน สู่อาณาจักร... เป็นเกียรติยิ่งที่พวกท่านมาเยือนในกาลนี้” องค์จักรพรรดิที่หนึ่งแห่งเผ่ายักษากล่าวต้อนรับเป็นพิธี ใกล้กันนั้น องค์จักรพรรดินีคู่ใจยืนเคียง แวดล้อมด้วยเหล่าเชื้อพระราชวงศ์หลายระดับลดหลั่นกันไป
“ยินดีเช่นกันที่ได้พบองค์จักรพรรดิปรินทรผู้เกรียงไกรและเหล่าเชื้อพระบรมวงศานึวงศ์ทุกพระองค์ มาครั้งนี้ ต้องรบกวนพวกท่านแล้ว” องค์สรธรฯกล่าวรับด้วยไมตรี เยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย ขุนนางใกล้ชิดยืนคอยรับบัญชาอยู่ไม่ห่าง ข้างกันก็คราคร่ำด้วยขุนนางระดับต่างๆยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายกำลังทักทายปราศรัยกันอยู่ พระธิดายักษ์สาวเลอโฉมองค์หนึ่งก็เบียดเสียดผู้คนทั้งหลายเข้ามายืนใกล้กับกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นต้นเบื้องหน้า
ก่อนขัตติยายักษีพระองค์หนึ่งจะหันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดจึงจิกตาใส่ด้วยความไม่พอใจ แม้อยากจะต่อว่าออกไป หากก็ต้องยั้งใจไว้ด้วยเห็นว่าไม่ใช่เวลาอันควรนัก
พระธิดายักษ์ผู้มาใหม่เห็นอย่างนั้นก็เชิดหน้าใส่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนเบี่ยงไปมองเหล่าขบวนเทพครู่หนึ่ง แล้วหันมาสนใจพระราชธิดายักษ์สาววัยไล่เรี่ยกันข้างกาย ที่สายตามัวแต่จับจ้องอยู่กับเทพบุตรรูปงามท่านหนึ่ง
“มองถึงเพียงนั้น กลัวเขาไม่รู้หรือเพคะว่าพระราชธิดามองอยู่” พระธิดาคณิสร ผู้เป็นพระบุตรีในพระเจ้าปุรุศักดิ์และพระสนมเอกยศรินทร์ตรัสแขวะเสียงไม่ดังนักกับพระขนิษฐาผู้เกิดด้วยพระบรมราชบิดาพระองค์เดียวกัน หากพระบรมราชมารดาของอีกฝ่ายมีพระยศสูงกว่า
“พระพี่นางมาเมื่อใดรือเจ้าคะ?” พระราชธิดาพรหมภัสสรทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย หากอีกฝ่ายก็ไม่ยอมลดละ
“พระราชธิดาจะรู้พระองค์หรอกเพคะ เพราะมัวแต่มองเทพบุตรหนุ่มในดวงหทัยอยู่”
ยังไม่ทันที่พระราชธิดาโฉมงามจะทันตอบอะไรกลับไป ผู้ใหญ่ที่คุยกันอยู่ก็สนทนาเสร็จพอดี และเตรียมจะเคลื่อนขบวนเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง
“ไปกันเถิดลูกหญิง” พระอัครมเหสีภัทร์นรินทร์แทรกขึ้น และคว้ามือพระราชบุตรีเสด็จตามพระบรมราชวงศ์องค์อื่นๆขึ้นรถกลับ โดยไมม่นึกจะชวนใครอีกคนไปด้วย จนฝ่ายนั้นอดจิ๊ปากด้วยความไม่สบอารมณ์ไม่ได้
“ขึ้นรถดีกว่าเพคะ เดี๋ยวจะตามขบวนหน้าไม่ทัน” ดมิสา ข้าหลวงคนสนิทท้วงเมื่อเห็นหลายคนที่นั่นพากันขึ้นรถไปจนเกือบหมดแล้ว
พระธิดาคณิสรหันกลับไปมองทางด้านหลัง ซึ่งเคยมีคณะเทพมากมายยืนอยู่ พอไม่เห็นเทพบุตรหนุ่มที่คนเป็นพระขนิษฐาตนเองหมายปองบริเวณนั้นแล้ว จึงตัดสินใจขึ้นรถตามขบวนก่อนหน้าไป
ตลอดริมสองข้างทางนับแต่ประตูเมืองจนถึงประตูพระบรมราชวัง ประชากรยักษ์รูปร่างหน้าตางามงดจำนวนมากพร้อมใจกันมารอต้อนรับแขกสำคัญของบ้านเมือง
เบื้องหลังฝูงชนนับไม่ถ้วนที่ขบวนรถเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าเทพเคลื่อนผ่าน ล้วนตระการตาไปด้วยปราสาทบ้านเรือนน้อยใหญ่ทำจากอัญมณีหลากสีสันนานาชนิดเรียงราย ไม้ดอกไม้ประดับแต่ละต้นต่างส่องประกายแพรวพราวงดงามอัศจรรย์ตา ผืนดินทั่วอาณาเขตเหลืองอร่ามเรืองรองดุจทองเนื้อเก้า
เมื่อขบวนรถของพระเจ้าจักรพรรดิและพระบรมวงศานุวงศ์ขับนำเหล่าขุนนางเทพมาถึงบริเวณหน้าเขตพระราชฐาน วงโยธวาทิตวงใหญ่ที่ดักรออยู่หน้าประตูรั้วก็บรรเลงเพลงต้อนรับกันอึกทึกทันที
•
•
“ดูเหมือนเขาไม่ได้สนใจพระราชธิดาพรหมภัสสรเลยนะเพคะ”
ขณะพระราชธิดาพรหมภัสสรกำลังยืนส่งยิ้มให้ใครบางคนที่บังเอิญเจอระหว่างทางเดินเล่นอยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เสียงที่คุ้นหูของคนที่มักจะชอบคอยหาเรื่องพระองค์อยู่ตลอดเวลาก็เอ่ยขึ้นมาจากด้านหลัง
“พระพี่นาง” พระราชธิดายักษ์หันไปตามเสียง ก็พบคนที่คาดไว้ก่อนแล้วเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
“บุคลิกนิ่งๆ เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ สุดแสนจะจืดชืดอย่างพระราชธิดาคงไม่ต้องใจเขานะเพคะ”พระธิดาคณิสรยังเสียดสีต่อไปด้วยความสนุกสนาน แต่คนถูกกระทำกลับไม่ได้ถือสา เพราะชินแล้วกับพฤติกรรมของคนเป็นพระภคินีต่างมารดา
“มีอะไรกับเราหรือเจ้าคะ?” ถามไปทั้งๆที่รู้ว่าทุกครั้งที่อีกฝ่ายเข้ามาหามักจะไม่มีอะไรนอกจากต้องการหาเรื่องเท่านั้น
“ฮึๆๆ” พระธิดาผู้ด้อยยศกว่าเล็กน้อยหัวเราะอย่างมีเลสนัย “เราแค่เห็นพระนางถูกเมิน เลยอยากมาสอนวิธีทำยังไงให้ผู้ชายหันมองน่ะเพคะ”
“เรายิ้มทักทายเขาเป็นมารยาท ส่วนเขาจะสนใจหรือไม่ก็แล้วแต่เขา เราก็เป็นของเราแบบนี้ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอแล้ว” พระราชธิดาพรหมภัสสรตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
“มองโลกในแง่ดีไม่สมกับเป็นพระบุตรีสุดรักของพระนางเจ้าเลยนะเพคะ แต่ก็เอาเถอะ พระนางก็คือพระนาง เราก็คือเรา เห็นพระนางสนใจในตัวเทพบุตรท่านนั้นนักก็ชักอยากทำความรู้จักขึ้นมาแล้วสิ พระนางอยากคุยกับเขาจนตัวสั่น ก็ยังอดทนสงวนกิริยาไว้ แต่เราไม่ใช่แบบนั้น ฮึๆๆ ไม่เสียเวลาแล้วดีกว่า เราขอตัวก่อนล่ะ” พูดจบผู้เป็นพระภคินีก็เดินยิ้มเจ้าเล่ห์ออกไปยังทิศทางที่เทพบุตรท่านนั้นเดินไป ทิ้งให้ผู้เป็นพระขนิษฐามองตามด้วยความปวดหัว
•
•
หลังจากที่เทพบุตรประเด็นสนทนาของสองราชธิดายักษ์สาวไปเข้าห้องน้ำมา เขาก็กลับไปนั่งรับประทานอาหารต่อที่โต๊ะ ทว่ากินไปได้ไม่กี่คำ จู่ๆก็มีพนักงานวังชายตนหนึ่งเดินเข้ามาส่งกระดาษบางอย่างให้ มือหนายกขึ้นดู เห็นข้อความแล้วจึงหันมองไปยังจุดที่ลายมือสวยในกระดาษกล่าวถึง เพื่อมองหาเจ้าของสารที่น่าจะอยู่รอบริเวณนั้นตามที่แจ้งไว้
ริมระเบียงด้านผาน้ำตกของศาลาจัดเลี้ยง ร่างระหงของพระธิดายักษ์สาวองค์หนึ่งกำลังยืนหันหลังเกาะระเบียงอยู่ เขารู้ว่าเป็นเจ้าของสาร เพราะผมยาวหยักโสกสีบอนทองและเครื่องทรงในชุดกระโปรงยาวฟูฟ่องสารพัดสีสันฉูดฉาดลายตาน่าเวียนหัว ที่อีกฝ่ายบอกลักษณะของตนเองไว้ในตัวอักษรบรรจงนั้น ซึ่งก็ไม่มีใครในงานที่จะเหมือน
ในกระดาษแผ่นนั้นยังเขียนบอกอีกว่า ใครคนนั้นเป็นราชนัดดาคนโตขององค์จักรพรรดิ แม้เขาจะไม่ได้รู้จักเป็นส่วนตัว หากก็ทราบมาบ้างจากการศึกษาข้อมูลของตนเองก่อนมาเยือนที่นี่ พระธิดายักษ์สาวที่หลายคนร่ำลือถึงความร้ายกาจ ผู้ที่หยิ่งยโสหัวดื้อกว่าใครในวัง จนคนจำนวนไม่น้อยเบือนหน้า สตรีสูงศักดิ์องค์นั้นไม่ใช่ใคร...คณิสร
“พระธิดาคณิสร”
เสียงทุ้มเรียบนิ่งดังมาจากด้านหลัง ก่อนพระนัดดาในองค์จักรพรรดิยักษ์ที่หนึ่งจะหันมามอง แล้วส่งยิ้มสวยให้เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มาเรียก
“ขอบใจท่านที่ไม่ปฏิเสธคำเชิญของเรา หวังว่าคงอ่านข้อความทั้งหมดเรียบร้อย และทราบแล้วว่าเราเป็นใคร” พระธิดาคณิสรกล่าวด้วยความฉะฉานมั่นใจ
“ทราบ” เทพบุตรบวรดิเรกตอบรับสั้นๆ มองยักษ์สาวเบื้องหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย
“คิกๆๆ ใครตรึงหน้าท่านไว้อย่างนั้นตลอดรึ หรือใครห้ามไม่ให้ท่านยิ้มแย้มซะบ้าง คุยกับเราไม่ต้องสนใจกฎข้อห้ามอะไรหรอกนะ”
เพียงสนทนากันครั้งแรก พระธิดาจอมแสบก็เล่นเขาเสียแล้ว พระนางหัวเราะกับท่าทางเย็นชาของเขานั่นเอง ซึ่งตามมารยาทแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ควรที่อีกฝ่ายจะขบขันคนอื่นโจ่งแจ้งไม่ใช่หรือ
“ขอโทษที่เราเสียมารยาท แต่หน้าตาท่านมันตลกจริงๆนะ เคยส่องกระจกดูบ้างหรือเปล่า” พระนางยังหัวเราะอย่างสนุกสนานโดยไม่สนใจมารยาทต่อไป
ส่วนฝ่ายเทพบุตรก็ยังยืนเฉย สบตาอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา ไม่แยแสสักนิดว่าสตรีสูงศักดิ์เบื้องหน้าจะวิจารณ์อย่างไร
“หากพระองค์ไม่มีอะไรสำคัญจะคุยกับเรา ก็ขอตัวก่อน” เขากล่าวด้วยท่าทางเฉยเมย เสร็จแล้วก็หมุนตัวกลับ ทำท่าจะก้าวจากไป แต่พระธิดาสาวก็รีบท้วงไว้ก่อน
“เดี๋ยว ถ้าเรายังไม่อนุญาตให้ท่านไปไหน ก็ยังเดินหนีเราไปไม่ได้” เห็นท่าทางของอีกฝ่ายอย่างนั้น พระธิดายักษาก็เสียงเข้มขึ้นทันทีด้วยความเอาแต่ใจ
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างถือดี เทพบุตรแห่งดาวดึงสาก็ชะงักไปนิดหนึ่ง ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครแสดงกิริยาจองหองกับเขาอย่างนี้มาก่อน
“เราไม่ใช่ข้าพระองค์” เทพบุตรหนุ่มบอกเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะเดินออกมาโดยไม่สนใจว่าคนด้านหลังจะไม่พอใจหรือไม่
พระธิดาคณิสรเห็นเทพบุตรตนดังกล่าวไม่เกรงกลัวบารมีตนสักนิดก็หงุดหงิดใจ หากก็รู้ดีว่าจะเหวี่ยงวีนในงานเลี้ยงสำคัญอย่างนี้ให้พระบรมราชบิดาเสียหน้าไม่ได้ จึงทำได้เพียงคาดโทษเขาไว้ เพื่อเก็บไปชำระภายหลังเท่านั้น
ก่อนพระนางจะนึกอะไรออก ก็รีบหันไปมองในงานที่ยังคงรื่นเริงอย่างจะหาใครบางคน แล้วสายตาก็สบเข้ากับดวงตางามคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังมองมาทางพระองค์ พอเห็นอย่างนั้นจึงส่งยิ้มเยาะให้ แล้วทำเป็นหัวเราะอารมณ์ดีย่างกายออกจากศาลาจัดเลี้ยงไป
#ผู้แต่ง ครองใจ เมตต์พิรุณ
#ขอบคุณหัวใจ ของเธอ
#เขียนด้วยหัวใจ เขียนด้วยความสุข เพื่อส่งสุขต่อๆไป
สารบัญ / นำทาง
- ยอดวิว 586
แสดงความคิดเห็น