บ้านไร่สายสมรตอนที่ 5

บ้านไร่สายสมร

-A A +A

บ้านไร่สายสมรตอนที่ 5

ขุนศึก...เมื่อยามอยู่บนหลังม้า  เขาดูสง่างามราวกับคาวบอยหนุ่ม  ความสามารถในการควบม้าของชายหนุ่มเรียกเสียงกรี๊ดให้กับสาวๆได้ไม่น้อยเลย   ทว่า...ไม่ใช่ไหมตะวันแน่   หล่อนก้าวออกไปแล้วร้องท้าทาย 

“นายคนเลี้ยงม้า   นายมันก็แค่นักขี่ม้าสมัครเล่น”

ขุนศึกชะงัก ชักม้าหันมาทางต้นเสียงเล็กๆ  แล้วหัวใจก็เบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง  เพราะเขายังแอบหวังว่าหญิงสาวผู้นี้จะยังอยู่ในงาน   เขายังมีภารกิจต้องทำทั้งในฐานะนายอำเภอสายทอง  และในฐานะที่รับปากกับเจ้าของไร่สายสมรว่าจะช่วยดูแลซุ้มของไร่สายสมรเป็นกรณีพิเศษ  จึงปลีกตัวออกไปตามหาสาวน้อยจอมเฟี้ยวไม่ได้เลย

ชายหนุ่มเปิดหมวกแล้วค้อมศีรษะให้กับหญิงสาว  รอยยิ้มของเขาดูทะเล้นเหมือนเดิม  ไหมตะวันปั้นหน้าขึงตึง ดวงตาลุกวาวไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย

“ท่าทางเหมือนจะขี่ม้าเป็นเหมือนกันหรือครับคุณ...”

หล่อนรู้ว่าเขาจงใจอยากถามชื่อ  เรื่องอะไรหล่อนจะยอมบอก  แค่พูดดีด้วยนี่ก็ถือว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ  

“ฉันต้องการแข่งขันอีกครั้ง”

“แข่งขันเหรอ”  คราวนี้เขาลงจากหลังม้า  กระทั่งการลงก็ถือว่าถูกต้องเหมือนคนคุ้นเคยกับม้าเป็นอย่างดี  เรียกเสียงปรบมือดังกราวอีกครั้ง   ชายหนุ่มจูงม้าเดินเข้ามาหาหล่อน

“แข่งเหรอ  เดิมพันยังไงว่ามา  ผมอยากหอมแก้มจะแย่อยู่แล้ว”

ไหมตะวันรู้ว่าเขาจงใจยั่วให้หล่อนโกรธ  ซึ่งหล่อนจะต้องไม่หลงกลง่ายๆปล่อยให้ความโกรธครอบงำจนเสียท่า   ไหมตะวันใช่ว่าไม่เคยขี่ม้า  หล่อนขี่ม้าได้อย่างดีเชียวละ  หล่อนมีฝีมือไม่ต่างจากฝีมือในการยิงปืน  เพราะมันอยู่ในหลักสูตรการต่อสู้ที่ชลิตพยายามให้หล่อนเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก

“เหมือนเดิม...”  หล่อนตอบเสียงห้วน  “แข่งขี่ม้าจับเวลา  นายแพ้ต้องแก้ผ้า”

“ไม่มีปัญหา  แต่ถ้าคุณแพ้ล่ะ  คุณต้องเป็นฝ่ายหอมแก้มผมมั่งนะ”

ไหมตะวันนึกชังกับท่าทางยั่วโมโหกวนประสาทของชายหนุ่ม   เขาคงคิดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่สามารถดูหมิ่นหรือข่มเหงน้ำใจกันได้ง่ายๆ  หล่อนจะพิสูจน์ให้เขาดูว่าผู้หญิงไม่ใช่เพศที่อ่อนแออย่างที่ผู้ชายส่วนใหญ่เข้าใจ

นายคนเลี้ยงม้าของไหมตะวันส่งเชือกม้าของไร่สายสมรให้ไหมตะวัน   ด้วยติ๊งต่างว่าเดิมพันของการแข่งกันเป็นอย่างข้อเสนอของเขา...  หากเขาแพ้แก้ผ้า  หากหล่อนแพ้  หล่อนต้องเป็นฝ่ายหอมแก้มเขา  ไหมตะวันรับเชือกม้าจากมือของขุนศึก  แต่เจ้าม้าทำจมูกฟุดฟิตแล้วทำท่าเหมือนไม่ชอบขี้หน้าไหมตะวันในบัดดลนั้นเอง 

ม้าเจ้ากรรมเริ่มพยศ  เมื่อไหมตะวันพยายามจะขึ้นหลังของมัน 

ทั้งๆที่หล่อนเองก็รู้ดีว่า  ควรจะทำความคุ้นเคยกับสัตว์ประเภทนี้ก่อนจะขึ้นขี่หลังมัน  แต่ความถือดีบวกกับความโกรธแค้นปิดบังความฉลาดของหล่อนจนหมดสิ้น  หล่อนอาจจะใช้อารมณ์กับคนได้  แต่ไม่ใช่กับสัตว์  ขุนศึกแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวเมื่อเห็นไหมตะวันพยายามจะขึ้นหลังม้าให้ได้  เขาเห็นความถือดี  ความเชื่อมั่น  และความเป็นคนเจ้าอารมณ์ของหล่อน

ไหมตะวันหน้าแดง  เมื่อหล่อนรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าหล่อนไม่สามารถควบคุมเจ้าอาชาพยศได้อย่างที่มาดมั่นตั้งแต่แรก   ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังไม่ยอมแพ้  หล่อนคิดในใจว่าแค่สามารถปีนขึ้นหลังได้  ม้าก็คือม้า  จะเก่งเหนือคนได้อย่างไร  โดยเฉพาะคนอย่างหล่อนด้วยแล้ว 

หญิงสาวเริ่มหูอื้อ  ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว   ในระหว่างนั้น  เจ้าม้าพยศก็แสดงความร้ายกาจด้วยการยกขาหน้าขึ้นพร้อมกับส่งเสียงร้อง

“ว้าย”  ไหมตะวันตกใจ  ความซวยมาเยือนหล่อนอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อหล่อนเสียหลักหน้าคะมำล้มลง  ขุนศึกรีบผวาเข้ามาหา  แต่รับร่างของหญิงสาวเอาไว้ไม่ทัน   แค่ล้มก็ถือว่าขายหน้ามากพออยู่แล้ว  อะไรบางอย่างที่เจิมเข้ากับใบหน้าสวยๆของหล่อน  และเมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้น  เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นรอบๆบริเวณนั้นราวกับมหกรรมตลก 

ขี้ม้า...  ใบหน้าของหล่อนเจิมเข้ากับขี้ม้า...อย่างจัง  ซวยอย่างไม่มีเหตุผล  ซวยซ้ำซวยซ้อน  ยังดีที่ขุนศึกกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้   เขารีบเข้าไปช่วยฉุดหล่อนให้ลุกขึ้น    หญิงสาวจ้องมองใบหน้าคมสันของชายหนุ่มเหมือนอยากจะฉีกเขาให้เป็นหมื่นชิ้น 

“คงสะใจนายสินะ...”  ไหมตะวันกระชากเสียง

“ผมว่าไปล้างเอาขี้ม้าออกก่อนเถอะครับ”  ขุนศึกใจเย็น “เดี๋ยวผมพาไปเอง”

“ไม่ต้อง”  หล่อนปฏิเสธเสียงห้วน  “นายรออยู่นี่นะ   อย่าไปไหน  เพราะการแข่งขันยังไม่ได้เริ่มต้น”

“ยังจะแข่งอีกเหรอ...”

“แข่ง  ฉันต้องชนะนาย   คนอย่างฉันไม่มีวันแพ้”

“โอเคครับ”  ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อย  พลางนึกชื่นชมในนิสัยบางอย่างของหญิงสาว  และเมื่อหล่อนออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง  ท่ามกลางสายตาของบรรดาไทยมุงที่เริ่มตีวงล้อมเข้ามาเพื่อรอดูการแข่งขันที่มีเดิมพันประหลาด  หล่อนเชิดหน้า แล้วก้าวไปที่เจ้าม้าพยศ   สบตากับมัน   เมื่อมีความมั่นใจเหนือกว่า  เจ้าม้าพยศก็หงอ  มันยอมให้หญิงสาวขึ้นไปนั่งบนหลังอย่างสง่างาม

เสียงปรบมือดังขึ้น   ไหมตะวันหันไปมองหน้าขุนศึกนิดหนึ่ง  เสมือนเย้ยหยันว่า  อีกหน่อยเขาต้องแก้ผ้าโชว์พุงอย่างไม่ต้องสงสัย

ไหมตะวันสั่งให้เจ้าม้าพยศออกเดิน    หล่อนกระตุกเชือก 

ม้าเฉย

“ไปได้แล้ว”

เฉยเหมือนเดิม

ไหมตะวันชักหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ   เมื่อเหลือบไปเห็นขุนศึกยืนกอดอก  รอยยิ้มที่มุมปากของเขามีอำนาจกระตุ้นต่อมเดือดของหล่อนให้พร้อมจะปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง

“มันไม่ไปหรอกคุณ  เพราะว่าคุณไม่รู้ใจมัน”

“ม้าก็คือม้า” หล่อนตวาดกลับอย่างฉุนเฉียว “ฉันจะทำให้นายดู”

ไหมตะวันพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะให้ม้าออกเดิน  มันก็ยังยืนเฉยไม่รู้สึกรู้สา  จนกระทั่งหล่อนใช้ปลายเท้ากระแทกแรงๆที่ลำตัวของมัน  นาทีนั้น  เจ้าม้าพยศก็กระโจนแผล็วพร้อมกับเสียงร้องของไหมตะวัน

“ว้าย  ช่วยด้วย...”

ขุนศึกปล่อยมือที่กอดอกอย่างตกใจพลางออกวิ่งตาม 

“ช่วยด้วย”

เสียงของไหมตะวันโวยวาย  แต่ยังเกาะอยู่บนหลังม้าแน่น    ม้าหนุ่มทะยานไปสุดฝีเท้า  พริบตาเดียวก็พ้นบริเวณงาน  ขุนศึกวิ่งย้อนกลับมา  เขาทะยานขึ้นบนหลังม้าอีกตัวของไร่สายสมรแล้วห้อตะบึงเพื่อติดตามม้าที่มีร่างของไหมตะวันอยู่บนนั้น

----------------

“อะไร... ใคร... อยู่บนหลังม้า...”

มุกเรียงกับธารใสหน้าตาตื่นออกมาจากห้องประชุม  หลังเด็กของไร่สายสมรไปตาม    ส่วนสะอิ้งกับแด๊ะแด๋มัวแต่แวะเมาท์กับคนรู้จักจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ซุ้มของไร่สายสมร

“ผู้หญิงคนหนึ่งค่ะ  เจ้าสีหมอกพาหนีเตลิดออกจากงานไป    นายอำเภอขุนกำลังขี่ม้าไปตามกลับมาค่ะ”

“แย่จริง”  มุกเรียงหลุดปากออกมา  สีหน้าดูยุ่งยาก

“คงไม่เป็นไรมั้งคะพี่มุก”  ธารใสยังมองโลกในแง่ดี 

“พี่รู้จักเจ้าสีหมอกดีกว่าใครนะธารใส   พี่ละกลัวจริงๆ” น้ำเสียงอันเคร่งเครียดของผู้เป็นพี่สาว  ทำให้ธารใสได้แค่ยิ้มแหย  ไม่กล้าแสดงความเห็นใดๆเพิ่มเติม

“ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน”  มุกเรียงหันไปทางลูกน้องสาวที่มาช่วยงานที่ซุ้ม

“ไม่ทราบค่ะ”

“แล้วใครอนุญาตให้ขี่เจ้าสีหมอก”

“คือว่า...” คนงานสาวหลบสายตาดุดันของมุกเรียง “นายอำเภอขุนศึกค่ะ...”

“พี่ขุนนะเหรอ”

“ค่ะ  มีการท้าพนันกันน่ะค่ะ...”  คนงานสาวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หญิงสาวฟังอย่างละเอียด   มุกเรียงนิ่วหน้า  รู้สึกด้วยสัญชาตญาณหญิงว่า  ทะแม่งๆอย่างไรชอบกล  และชักอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนที่ว่าขึ้นมาเดี๋ยวนั้น

ก่อนมุกเรียงจะทันได้ซักอะไรต่อ  สะอิ้งเดินนำหน้าอธิบดีมาที่ซุ้มโดยมีแด๊ะแด๋รั้งท้าย  

“ได้ยินเสียงเอะอะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

“เจ้าสีหมอกพาผู้หญิงคนหนึ่งหนีไปค่ะน้าสะอิ้ง”  มุกเรียงตอบ  แต่สายตาหยุดชะงักอยู่ที่ใบหน้าของอธิบดี 

ชลิตได้เห็นใบหน้าของมุกเรียงเต็มสองสายตา  ความรู้สึกของเขาเวลานี้เต็มตื้น มันคือความปีติยินดีระคนด้วยความทุกข์คละเคล้าความเศร้า   ชลิตมองมุกเรียงแล้วหันไปมองธารใส   สองสาวมีหน้าตาถอดแบบปราณี  แต่มุกเรียงดูจะเด็ดเดี่ยวกว่าผู้เป็นน้อง  สะอิ้งกระแอม  ราวกับอ่านความคิดของชลิตออก  หลังจากนั้นจึงซักสองสาวจนได้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น

ชลิตชักเอะใจ   เพราะฟังจากที่เล่ามา  หญิงสาวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด แถมไม่ยอมคนอย่างนั้น  ถ้าพูดว่าเป็นไหมตะวันก็ไม่ผิดเลยทีเดียว   จนกระทั่งมีคนนำมือถือมาส่งให้กับมุกเรียง   เป็นคลิปวิดิโอ ถ่ายเอาไว้ได้ขณะไหมตะวันกำลังพยายามทำให้เจ้าสีหมอกออกเดิน  สะอิ้งขอมือถือมาดู  สีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นคนในคลิป ในที่สุดจึงตัดสินใจยื่นให้กับชลิต 

“นี่มัน...ไหมตะวัน ลูกสาวผมนี่”  ชลิตหลุดปากเสียงเครียด

ทุกคนหน้าเสีย  โดยเฉพาะมุกเรียงกับธารใส  เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว  ถ้าหากลูกสาวของอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรฯเป็นอะไรไป   อาจทำลายชื่อเสียงของไร่สายสมรได้ภายในพริบตา  สองสาวมองหน้ากันอย่างกังวล

“รออีกหน่อยเถอะค่ะ  มีคนขี่ม้าตามไปแล้ว” 

“ใครขี่ม้าตามไปฮึยัยมุก”  สะอิ้งถามคาดคั้นวางอำนาจ

“เอ้อ  ได้ยินว่าเป็นพี่ขุนค่ะ”

“นายอำเภอขุนศึกนะเหรอ”

“ค่ะ  ใช่ค่ะ”

บรรยากาศยามนี้จึงกลายเป็นความเคร่งเครียดขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง   ในระหว่างการรอคอย  จู่ๆก็มีแขกเซอร์ไพรส์เข้ามาหาชลิตที่ซุ้มไร่สายสมร

สุรีย์ฉายกับป้านิ่ม

ชลิตถึงกับเกิดอาการน้ำลายเหนียวคอขึ้นมาอย่างฉับพลัน   ในขณะที่สุรีย์ฉายหันไปมองสะอิ้งด้วยสายตาชนิดหนึ่ง  ก่อนจะกวาดสายตาไปทางมุกเรียงและธารใส...  สุรีย์ฉายจำได้  แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม  เด็กสาวสองคนนี่ก็คือ  ลูกสาวแท้ๆของชลิต... 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดชลิตถึงต้องมาที่อำเภอสายทองด้วยตัวเอง  ไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจเจตนาซ่อนเร้นได้เป็นอย่างดี

“คุณฉายมาได้ยังไงครับ”  ชลิตหลุดปากถามภรรยาเสียงพร่า

สุรีย์ฉายยิ้มเยาะ  “ก็ขับรถมา  ฉันอยากมาเห็นกับตาตัวเองว่าคุณกำลังจะหักหลังฉัน”

“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร...”

“คุณชลิต...”

ชลิตรู้ว่าเวลาสุรีย์ฉายวีนนั้นเป็นอย่างไร   เขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น  แต่ท่าทางจะยากเสียแล้วเมื่อสุรีย์ฉายถามหาไหมตะวัน  แล้วคนที่รีบบอกว่าไหมตะวันถูกม้าสีหมอกของไร่สายสมรพาหนีเตลิดไปนั้นก็คือ  สะอิ้ง

ท่าทางของสะอิ้งเหมือนต้องการให้เกิดเรื่อง  แทนที่จะช่วยกันปกป้องชื่อเสียงของไร่เอาไว้อย่างที่ควรจะเป็น  ฉับพลันนั้น  สุรีย์ฉายก็ร้องกรี๊ด

“เจ้าของไร่สายสมรอยู่ที่ไหน   ฉันต้องการความรับผิดชอบ”

มุกเรียงตั้งสติได้  รีบออกหน้า  “ขอโทษด้วยนะคะ  คือ...”

“แกเป็นเจ้าของไร่สายสมรเหรอ”

“เปล่าค่ะ  คือหนู...”

“งั้นก็ไม่ต้องมาเสนอหน้า  เพราะฉันจะคุยกับเจ้าของไร่เพียงคนเดียวเท่านั้น”

คนที่ควรออกหน้าที่สุดอย่างสะอิ้ง กลับถอยฉาก  ปล่อยให้มุกเรียงเผชิญหน้ากับอารมณ์ของสุรีย์ฉายเพียงลำพัง  ส่วนธารใสหลีกออกห่างเพื่อโทร.หามารดา

ไม่เกินครึ่งชั่วโมงต่อมา...

คนที่ชลิตอยากเจอที่สุดก็ปรากฏตัว...  ปราณี เจ้าของไร่สายสมร 

ภาพแห่งความหลังฉายขึ้นในความทรงจำของชลิตราวกับเพิ่งเกิดขึ้น  เช่นเดียวกับความทรงจำของสุรีย์ฉาย  มาวันนี้ปราณียังคงเค้าสวยและดูแกร่งมีบารมี  ไม่เหมือนสุรีย์ฉาย  ความรู้สึกนึกคิดเมื่อ  20  ปีก่อนเป็นอย่างไร  ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น  ชลิตอยากเข้าไปทักทายกับปราณีสักครั้ง   แต่เขาไม่เหลือกระทั่งความกล้าหาญ  ถ้อยคำที่อยากพูดกับนางมีมากเสียจนตื้อตันอยู่แค่ในลำคอ

รัก...  เสียใจ...  เจ็บปวด... 

ชลิตไม่สามารถโทษใครได้ต่อชะตากรรมที่ผ่านมา  อยากบอกกับปราณีดังๆว่า  ขอโทษ  ขอโทษอย่างสุดซึ้ง 

สายตาของปราณี  แทบไม่ได้เหลือบมองไปทางชลิตด้วยซ้ำ

“ขอโทษนะคะที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”  ปราณีเริ่มต้นด้วยถ้อยคำสุภาพอ่อนโยน  แต่ภายใต้ความอ่อนโยนนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด

“แค่ขอโทษก็จบเหรอ” สุรีย์ฉายตวาดแหว  “ลูกสาวฉันทั้งคน  แกจะรับผิดชอบไหวเหรอ”

ทุกคนที่รู้จักปราณีต่างกลั้นใจ  เพราะคนอย่างปราณี  ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถข่มเอาได้ตามอำเภอใจ  เว้นแต่นางเลือกที่จะถอยออกมา   

ปราณียิ้ม  ดวงตาของนางมีประกายของผู้หญิงเด็ดขาด  ไม่กลัวใคร

“ฉันขอโทษและแสดงความเสียใจค่ะที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น”

“แล้วแกจะรับผิดชอบยังไง” สุรีย์ฉายถาม  นางมีเชื้อและนามสกุลผู้ดี  แต่กลับไม่เหลือคุณสมบัติของลูกผู้ดีแม้แต่นิดเดียว

“ฉันจะส่งคนออกตามหาจนเจอค่ะ”

“แล้วถ้าเป็นอะไรไปล่ะ”

“ท่าทางคุณเหมือนอยากให้ลูกเป็นอะไรไปจริงๆงั้นหรือคะ”  ปราณีย้อนนิ่มๆ  “ที่นี่มันถิ่นของฉัน  ต่อให้เป็นศพฉันยืนยันว่าจะต้องหาจนเจอ”

“แกแช่งลูกสาวฉันใช่มั้ย”

“ไม่เอาน่าคุณฉาย”  ชลิตแตะมือภรรยาแล้วออกหน้าเพื่อจะพูดกับปราณีสักประโยค   แต่...

“ฉันขอตัวนะคะ  ฉันจะเกณฑ์คนงานให้ช่วยกันออกตามหา”

ปราณีตัดบทแล้วหมุนร่างก้าวออกไปจากบริเวณนั้นทันที...

นี่แหละคือความเด็ดขาดของปราณี  ชลิตแอบถอนใจ  พยายามระบายความเจ็บปวดในอดีตทิ้งไปด้วยลมหายใจ   ไม่อยากจะโทษว่าเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนเกิดจากการตัดสินใจของตัวเอง  ไม่เกี่ยวกับใคร

สุรีย์ฉายเห็นสีหน้าของชลิตแล้วไม่กล้าแผลงฤทธิ์มากกว่านั้น    อีกอย่างที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นของตัวเองด้วย  แค่การแสดงออกว่า  ผู้ชายคนนี้คือผู้ชายที่นางเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ  นางก็พึงพอใจแล้ว 

“ตามผมไปที่รถ  เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อย” ชลิตเอ่ยเสียงเครียด

สุรีย์ฉายมองหน้าสามีอย่างเยาะหยัน 

“ค่ะ  ฉายก็มีเรื่องสำคัญจะถามคุณอยู่เหมือนกัน”

ป้านิ่มรีบก้าวตามเจ้านายไปอย่างลนลาน

มุกเรียงหันไปมองสะอิ้ง  เห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากของผู้เป็นน้าสาว  ก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย  

“น้าสะอิ้งรู้จักท่านชลิตมาก่อนหรือคะ”

สะอิ้งมองหลานสาวนิดหนึ่ง  “เรื่องบางเรื่อง  เด็กเมื่อวานซืนอย่างแกไม่ควรจะรู้หรอกนะ”

“ถามดีๆนะคะน้า”

มุกเรียงชักสีหน้า    หล่อนรู้ว่าระหว่างหล่อนกับน้าสาวเหมือนมีกำแพงขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่  ท่าทีของสะอิ้งไม่เคยเป็นมิตร  เว้นแต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามารดาของหล่อน  มุกเรียงพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนอย่างสะอิ้งถึงไม่เคยมีผู้ชายมารักอย่างจริงๆจังๆเลย

สะอิ้งไม่ตอบ  สะบัดหน้าพรืดเดินหายเข้าไปในซุ้ม  โดยมีแด๊ะแด๋  ลูกน้องเพศทางเลือกก้าวตามประกบหลังกระชั้นชิด

มุกเรียงระบายลมออกจากปาก  ก่อนจะเหลียวหาน้องสาว

“ธารใสหายไปไหนอีกคนแล้วเนี่ย”

----------------

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.