STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 43 พากลับ
หนึ่งปีผ่านไป พวกพาซี่ทำงานกันอย่างหนักหน่วงยกเว้นตัวพาซี่ที่รับงานแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ไม่ใช่แค่การทำงานแต่พวกเขาก็ยังท้าดวลเพื่อเลื่อนระดับกันทุกสัปดาห์
“เนื่องจากพวกนายเป็นผลงานสุดแสนจะล้ำค่าฉันจึงอยากผลักดันไปให้สุด” โยฮันพาพวกพาซี่มายังศูนย์ที่อาณาจักรโรป
“พวกเราเป็นหนี้บุญคุณท่านเจ้าสำนักครับ ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเราไว้ป่านนี้ก็คงเป็นเด็กเร่ร่อนไม่ก็สติแตกกันหมดแล้ว” ราห์ที่เปรียบเสมือนพี่ใหญ่เดินนำหน้าเพื่อน ๆ และคอยพูดคุยกับโยฮัน
“ไม่ต้องยึดติดขนาดนั้นก็ได้ ฉันช่วยพวกนายเพราะพวกนายมีค่าพอให้ช่วย ต่อจากนี้พวกนายก็ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจเช่นกัน ถ้าหากเจอสิ่งล้ำค่าก็จงไขว่คว้าและรักษามันไว้ แต่หากเป็นขยะก็เมินเฉยและทิ้ง ๆ มันไปซะ” โยฮันยิ้มในหน้าและกวาดสายตามองลูกศิษย์ทั้งหกคน
โยฮันพาพวกเขาเข้าไปในศูนย์แรกที่เป็นเสมือนด่านตรวจคน
“ปกติเวลารับงานหรือส่งงานก็จะมาที่นี่ แต่พื้นที่สำหรับทำงานของพวกเขาจะกระจายกันอยู่ทั่วอาณาจักรโรปและมีแค่คนในเท่านั้นที่รู้”
“แล้วพวกเขาจะให้เราเข้าไปเหรอครับ?” ราห์ถาม
“ให้สิ ในอนาคตพวกเขาก็ต้องจ้างพวกนายทำงานเหมือนกัน ถ้าพวกนายแข็งแกร่งขึ้นก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญท่านผู้นั้นได้อนุญาตเรียบร้อยแล้ว” พวกราห์เอียงคอมองด้วยความสงสัยไม่แน่ใจว่าท่านผู้นั้นคือเขาคนนั้นหรือเปล่า
หลังจากตรวจสอบที่ศูนย์แรกเสร็จ พวกเขาก็จะเดินทางต่อไปยังศูนย์ที่มีธุระด้วยจริง ๆ
“เจ้าสำนักโยฮันสินะ ถึงท่านผู้นั้นจะอนุญาตแล้วแต่ช่วยดูแลศิษย์ไม่ให้ทำอะไรล้ำเส้นด้วยนะครับ” คนเฝ้าทางเข้าเปิดประตูกล่าวเตือนก่อนให้พวกโยฮันเข้าไป ทางเข้าไม่ต่างกันนักที่ต้องเดินลงไปยังชั้นใต้ดินและลงกระเช้าลึกไปอีก
พวกเขาต้องเข้าไปยืนในห้องฆ่าเชื้อก่อนจะเข้าไปในศูนย์ เมื่อผ่านห้องฆ่าเชื้อก็จะต้องผ่านการตรวจสอบจากยามเฝ้าอีกครั้ง
“พวกเราอ่านรายงานที่เจ้าสำนักส่งมาแล้วนะครับ พวกเราจำเป็นต้องให้คนที่บกพร่องอยู่กับเราเพื่อเก็บข้อมูล”
“คนที่บกพร่อง? ไม่ใช่ว่าจะทำทุกคนเหรอ”
“ไม่ใช่ทุกคนครับ พาซี่แล้วก็ลูซีน่าไม่ต้องรับการช่วยเหลือ ส่วนอีกสี่คนจะต้องอยู่กับเราเพื่อเก็บข้อมูลและทดสอบหลาย ๆ อย่าง”
“เขาว่างั้น ผมกลับเลยแล้วกัน” พาซี่หันหลังเดินกลับไปไม่สนใจเพื่อน ๆ หรือเจ้าสำนักเลยแม้แต่น้อย
“หนูก็ขอตัวนะคะ” ลูซีน่าวิ่งตามหลังพาซี่ไปทันทีเหมือนอยากรีบออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด
“เหอะ ใช้ไม่ได้เลยเจ้าพวกนี้ อย่างน้อยก็ควรไว้หน้าท่านเจ้าสำนักบ้างสิ” ราห์ถอนหายใจส่ายหัว
“ไม่เป็นไรหรอก พวกนายมาสนใจการประเมินจากพวกเขากันดีกว่า ถ้าหากพวกเขาสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามเถอะเพื่อประโยชน์ของตัวเอง”
“ครับ”
ราห์ คอนซิว เดียร์และกูลูเดินตามเจ้าหน้าที่ลึกเข้าไปข้างในโดยที่เจ้าสำนักทำได้แค่รอผลการประเมินเท่านั้น
“ทำไมท่านผู้นั้นถึงให้สำนักมนตร์ดำเข้ามาที่นี่กันนะ?”
“นั่นสิ พวกนั้นอาจจะขโมยข้อมูลแล้วเอาไปขายต่อก็ได้ใครจะรู้” เสียงนินทาดังมาเป็นระยะ บางครั้งก็พูดกันดังเหมือนจงใจให้ได้ยินแต่โยฮันก็ทำเป็นลมผ่านหูไม่สนใจ
อีกด้านหนึ่งที่พวกราห์เข้าไปคือห้องประเมินที่พวกเขาต้องมายืนคนเดียวอยู่ในห้องโล่ง ๆ
“ราห์ใช่ไหม? ดูจากประวัติในวัยเด็กทำให้เราคิดว่านายมีอาการผิดปกติทางจิต แต่อาการนั้นอาจจะไม่ได้รุนแรงหรือแสดงออกชัดเจนจึงไม่มีผลกับการใช้ชีวิตประจำวัน”
“ในเมื่อไม่มีผล แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการประเมินครั้งนี้ล่ะครับ?”
“ทุกสิ่งทุกอย่างคือตัวแปรที่ต้องจดบันทึกไว้ ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไรการวิจัยก็ยิ่งพัฒนาไปได้ไกลเท่านั้น ตอนนี้มันอาจจะไม่มีผลอะไรแต่ในอนาคตก็ไม่แน่”
ไม่นานพวกเขาก็นำสุนัขสองตัวเข้าไปในห้องของราห์
“ลองใช้ความสามารถนั้นทำให้สุนัขทั้งสองตัวกัดกันเองสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใส่ความโกรธเข้าไปแต่ผมยังไม่ได้เก็บความโกรธมาเลย พวกคุณมีสัตว์ที่กำลังหงุดหงิดหรือเกรี้ยวกราดบ้างไหมครับ?”
“อา...มี ๆ” หลังจากตอบรับ ไม่นานพวกเขาก็เอากระต่ายที่กำลังคลุ้มคลั่งโยนเข้ามาในห้อง
ราห์หาจังหวะจ้องมองกระต่ายตัวนั้นแต่มันกลับไม่สนใจเขาเลย ดังนั้นเขาจึงวิ่งไล่จับกระต่ายแทนเพื่อดึงเอาอารมณ์คลุ้มคลั่งนั้นออกมา หลังจากนั้นเขาก็ใส่คลุ้มคลั่งเข้าไปในตัวสุนัขหนึ่งตัวทำให้มันกัดกับเพื่อนข้าง ๆ ทันที
“ใช้งานง่ายแฮะ แค่สบตาไม่ก็สัมผัสตรง ๆ ก็สามารถดึงหรือใส่อารมณ์ความรู้สึกเข้าไปได้ แล้วถ้าดึงมาเก็บไว้ก่อนเฉย ๆ ล่ะ?”
“เก็บไว้เฉย ๆ เหรอครับ? ผมเองก็ยังไม่เคยทำเหมือนกัน” ราห์ต้องเดินถอยห่างเพราะสุนัขที่คลุ้มคลั่งตัวนั้นกำลังจะวิ่งเข้าใส่
“ลองกำหนดสักจุดในร่างกายให้เป็นตัวแทนสิ่งมีชีวิตที่จะใส่เข้าไป หรือไม่ก็ทำเหมือนเวทมนตร์ประทับก็ได้”
“จะลองดูนะครับ”
ถัดไปอีกห้องหนึ่งเป็นห้องของคอนซิวที่มีทั้งสัตว์และทาสรวมกันอยู่เต็มห้อง
“ใครไม่อาบน้ำเนี่ย ! เหม็นเปรี้ยวจนจมูกแทบจะหลุดเลย” คอนซิวฉีดน้ำหอมกลิ่นมะลิไปรอบ ๆ พยายามไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์
“แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก ก่อนอื่นก็มาดูสิ่งที่นายทำได้กันดีกว่า”
“จะให้ทำอะไรล่ะ? สั่งพวกเขาให้ลุกนั่งหรือนอน?”
“ก่อนอื่นก็ขอทวนความสามารถก่อน ลำดับแรกนายต้องใช้ของเหลวจากร่างกายของตัวเองให้อีกฝ่ายกินแล้วป้อนคำสั่งไว้ คำสั่งแรกขอเป็นตั้งแถวแล้วกัน”
คอนซิวกรีดแขนเล็กน้อยแล้วป้อนเลือดให้ทั้งคนและสัตว์ที่อยู่ในห้อง จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งให้ทุกคนตั้งแถวหน้ากระดาน
“อืม คราวนี้ลองให้พวกทาสกับสัตว์สู้กันซะ”
คอนซิวเอาเลือดให้กินอีกครั้งแล้วออกคำสั่งใหม่ คำสั่งนั้นทำให้เกิดการนองเลือดเปลี่ยนห้องสีขาวให้กลายเป็นสีแดง
“เวลาจะเปลี่ยนหรือสั่งใหม่ก็ต้องให้กินใหม่สินะ เป็นความสามารถที่เหมาะกับการวางแผนในแนวหลังจริง ๆ เพราะถ้าจะให้ไปเผชิญหน้ากับศัตรู อีกฝ่ายคงไม่มีทางกินหรอก”
“นอกจากเลือดก็ยังใช้อย่างอื่นได้อีก การกินก็อาจจะไม่ใช่วิธีเดียวในการออกคำสั่ง เราจะเริ่มการทดลองหลาย ๆ อย่างเพื่อให้รู้ข้อมูลทั้งหมดของพลังนั้น”
คอนซิวถอนหายใจไม่ชอบที่ตนเองต้องมาอยู่ในห้องแบบนี้ ขณะเดียวกันกูลูก็ได้กินอาหารและอาเจียนให้พวกนักวิจัยดูเพื่อเก็บข้อมูลอาการของโรคที่ไม่เคยเจอมาก่อน
“ดูจากอาการน่าจะเป็นผลมาจากการที่ร่างกายจดจำการถูกรังแกไว้ พอกินอาหารร่างกายก็เลยอาเจียนออกมาเพราะการจดจำนั้น”
“แล้วมีวิธีรักษาไหมครับ?” กูลูก้มดูอาหารที่อาเจียนออกมาแล้วคิดถึงวันที่ตนเองกินได้ปกติ
“การรักษาอาการประเภทนี้ต้องใช้เวลานานมาก ๆ ระหว่างนั้นเราต้องจัดการเรื่องภาวะร่างกายขาดสารอาหารเสียก่อน ก่อนอื่นก็มาทดสอบพลังในการสร้างสิ่งมีชีวิตกันก่อน”
“ครับ” กูลูตอบรับสั้น ๆ ทำตามคำสั่งเหมือนที่โยฮันบอกไว้
“ลองสร้างหมูจากผัดผักหมูที่กินไปเมื่อกี้ดูสิ”
กูลูเอามีดสั้นจิ้มลงไปบนกองอาหารที่อาเจียนออกมา มานาจากมีดค่อย ๆ ไหลลงไปรวมกับสิ่งเหล่านั้นแล้วสร้างลูกหมูตัวเล็ก ๆ ขึ้นมา
“สุดยอดเลย ถ้าแบบนี้ก็สามารถแก้ปัญหาขาดแคลนอาหารได้สบาย ๆ เลยสิ” เหล่านักวิจัยตื่นเต้นตาเป็นประกาย เขากินหมูไปแค่ไม่กี่ชิ้นแต่กลับสร้างหมูตัวใหม่ที่ให้เนื้อได้มากกว่าหลายเท่า
“คือว่า...ผมเคยให้เพื่อน ๆ ลองกินดูแล้ว ตอนเคี้ยวตอนกลืนก็ปกติแต่กินเท่าไรก็ไม่อิ่มสักที เหมือนพอมันลงท้องก็หายไปเลย”
เหล่านักวิจัยนั่งซึมเพราะผิดหวังที่ทำไม่ได้อย่างที่คิดแต่การทดสอบก็ยังต้องดำเนินการต่อไป
“ต่อไปลองสร้างแบบผสม ๆ ได้ไหม? แบบเป็นคนรวมร่างกับสัตว์อะไรอย่างเนี่ย”
“ผมจะพยายามครับ”
ระหว่างที่กูลูกำลังยุ่งวุ่นวายกับการสร้างมนุษย์กลายพันธุ์ ห้องของเดียร์ก็เต็มไปด้วยร่างโคลนของเขาที่กำลังนั่งรอการทดสอบ
“จริง ๆ การสร้างร่างปลอมก็เป็นหนึ่งในความสามารถของมนตร์ดำอยู่แล้ว หลาย ๆ คนสามารถทำแบบนั้นได้เหมือนกันแต่เพราะแบบนั้นเราจึงต้องรู้ให้ได้ว่าเวทมนตร์เดอะทำอะไรได้อีก”
“ก็แค่สร้างร่างปลอมนั่นแหละครับ” เดียร์ยิ้มอย่างเป็นมิตรตอบกลับ
“ไม่มีทาง เวทมนตร์เดอะคือพลังที่พระองค์ประทานให้ เวทมนตร์นั้นจะมีความเป็นปัจเจกที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ ถ้าทำได้แค่สร้างร่างปลอมมันก็ไม่ต่างอะไรกับเวทมนตร์ปกติเลย”
“ก็คงต้องลองดู” เดียร์เงยหน้ามองนักวิจัยที่อยู่อีกฟากของกระจกทึบ แม้เขาจะไม่เห็นแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสนุกที่ได้ศึกษาสิ่งใหม่ ๆ
การประเมินของพวกเขายังคงดำเนินการต่อไปอีกหลายวัน ระหว่างนั้นพาซี่กับลูซีน่าก็ได้ไปพักอยู่ที่เมืองใหญ่ใกล้ ๆ ที่นั่นเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านและการค้าขายตลอดทั้งวัน
“ทำไมนายดูไม่กังวลอะไรเลยล่ะ?” ลูซีน่าถามขณะที่กินมื้อเย็นกับพาซี่
“มีอะไรต้องกังวลด้วยเหรอ?”
ลูซีน่ากลอกตามองไปรอบ ๆ คิดคำที่จะพูดในหัวก่อน “อา...ที่ศูนย์มันดูน่ากลัว”
“คนเราก็กลัวสิ่งที่ไม่รู้กันทั้งนั้น ดังนั้นการเก็บซ่อนความลับจึงทำให้คนอื่นประเมินเราพลาดได้”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็อย่าง...การซ่อนความสามารถของพลังไว้ทำให้ศัตรูไม่เคยรู้วิธีรับมือมาก่อน พอได้จังหวะตัดสินก็งัดมันออกมาใช้” พาซี่กระดกเหล้าเข้าปากอย่างสบายใจ
“นายคงจะทำแบบนั้นมาตลอดสินะ” เธอยกมือสั่งเหล้ามาดื่มตามบ้าง
“มันคือสิ่งที่ควรจะทำ เธอเองก็ทำไม่ใช่เหรอ? เจ้าเดียร์ก็ด้วย”
ลูซีน่าสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินคำนั้น “ฉะ...ฉันไม่ได้ซ่อนอะไรไว้สักหน่อย”
“เธอพยายามร่ายคำสาปใส่ฉันตั้งหลายรอบ คงอยากทดสอบว่าพลังของฉันสามารถป้องกันได้ไหมใช่ไหมล่ะ”
“นายรู้ได้ยังไง?” ลูซีน่าขยับเก้าอี้หนีกลัวว่าจะโดนเอาคืนหรือเปล่า
“ฉันรู้หมดแหละ การใช้เวทมนตร์จะมีการเคลื่อนไหวของมานา ต่อให้นั่นจะเป็นเวทมนตร์เดอะก็ตาม แล้วก็...ฉันคิดว่าพลังของเธอน่าจะทำได้มากกว่าร่ายคำสาปนะ”
“หา? พลังที่ใช้ร่ายคำสาปจะไปทำอะไรได้อีกนอกจากคำสาป”
“อืม จะบอกว่าคำสาปอีกแบบหนึ่งก็ได้ เธอก็ลองหลาย ๆ อย่างดูแล้วกัน” พอพูดจบเขาก็เดินหนีไปทันทีปล่อยให้ลูซีน่าจ่ายค่าอาหารแทนเสียอย่างนั้น
ลูซีน่าเองก็พึ่งนึกได้ว่าตัวเองโดนกินแล้วชักดาบแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอควักเงินจ่ายไปจำนวนหนึ่งและวิ่งตามหาพาซี่เพื่อบ่นเรื่องการกินแล้วหนี
“พาซี่ !” ลูซีน่าเห็นหลังพาซี่ไว ๆ เธอจึงวิ่งตามไปติด ๆ แต่วิ่งตามเท่าไรก็ตามไม่ทันสักที
จนกระทั่งพวกเธอออกมาจากตัวเมืองค่อย ๆ เข้าใกล้ป่าตรงหน้า หลังจากวิ่งตามมานานสุดท้ายพาซี่ก็หยุดเสียที
“นายจะไปไหนเนี่ย?”
พาซี่ไม่ได้ตอบอะไรแต่เขากลับนั่งลงตรงนั้น พอลูซีน่าไปถึงเธอก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังนอนตัวแข็งใกล้จะตายทุกวินาที
“ยังไม่ตายนี่ เราพาเธอไปหาหมอเถอะ”
ขณะที่ลูซีน่ากำลังจะอุ้มเด็กสาวคนนั้น จู่ ๆ พาซี่ก็ยกมือห้ามไว้ก่อน
“มาทำอะไรอยู่นอกเมือง?”
“พาซี่...นี่มันไม่ใช่เวลามาคุยนะ เราควรพาเธอเข้าไปในเมืองก่อน”
พาซี่ทำเป็นหูทวนลมแล้วจ้องมองดวงตาของเด็กสาวคนนั้นเพื่อฟังคำตอบ
“นะ...หนี หนูหนีมา”
“หนีมาทำไม?”
ลูซีน่ามองด้วยแววตาร้อนรนเพราะสภาพของเด็กสาวดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว แต่พาซี่กลับนิ่งสงบเหมือนไม่เห็นค่าชีวิตเด็กสาวคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
“พวกมัน...น่ากลัว” เด็กสาวพยายามเค้นคำพูดออกมาด้วยแรงที่เหลือ
“อืม...คงจะเป็นพวกนั้นที่กำลังวิ่งวุ่นไปทั่วเมืองสินะ เธอตัดสินใจได้เด็ดขาดที่ออกมาจากเมืองแต่ผลลัพธ์ของการออกมาจากเมืองก็คือความตาย ความหนาวเย็นจะค่อย ๆ กัดกินจากปลายนิ้วจวบจนขั้วหัวใจที่ค่อย ๆ เต้นช้าลง”
“หนู...ก็แค่อยาก...มีชีวิต”
สิ้นเสียงของเด็กสาว หิมะรอบ ๆ ก็กระจายออกเหมือนโดนมือที่มองไม่เห็นปัดออก ความอบอุ่นจากดวงไฟที่ลอยอยู่รอบ ๆ ทำให้เด็กสาวยิ้มออกมาเสมือนได้พบเจอสรวงสวรรค์
“ศักยภาพด้านมันสมองสูงเชียวนะ เธอมาทำงานให้ฉันดีกว่า” มือที่พาซี่ยื่นออกไปเต็มไปด้วยมานาที่พร้อมรักษาร่างกายของเด็กสาว
“ค่ะ” เด็กสาวเอื้อมมือจับตอบรับข้อเสนอทำให้มานาของพาซี่ไหลเข้ามารักษาร่างกาย
ลูซีน่าที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่สับสนอยู่ในใจ ไม่ทันที่เธอจะเข้าใจสถานการณ์พาซี่ก็พาเด็กสาวกลับเข้าเมือง แต่แทนที่จะไปหาหมอเขากลับตรงดิ่งไปหากลุ่มคนที่ตามล่าเด็กสาวแทน
“ลุงพวกนี้เหรอที่ล่าเธออยู่?” พาซี่เข้าไปขวางทางเดินของพวกลุง ๆ โดยที่ตนเองอุ้มเด็กสาวไว้อยู่
“เจอเด็กนั่นแล้ว อุตส่าห์ซื้อมาจะให้หลุดมือไปก็เสียดายแย่”
พาซี่ยืนมองเฉย ๆ แล้วเอ่ยถามเด็กสาวอีกครั้ง “โดนซื้อมาสินะ งั้น...ฉันซื้อต่ออีกทีแล้วกัน” เขายื่นถุงเงินให้พวกลุง ๆ แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่พอใจเท่าไร
“นี่อะไร?” พวกเขารับถุงเงินไปโดยที่ยังระแวงพาซี่ไปด้วย วินาทีที่เปิดถุงเงินพวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างเพราะมันมีเหรียญทองอยู่จำนวนมาก
“ฉันขอซื้อเด็กคนนี้ต่อนะ ไปล่ะ” พูดจบเขาก็อุ้มเด็กสาวเดินหนีทันทีแต่อีกฝ่ายกลับอยากได้ทั้งเงินและเด็กคืนก็เลยง้างดาบจะฟันจากด้านหลัง
“ก็ดี” พาซี่เอ่ยคำสุดท้ายให้ได้ยินก่อนที่หัวของพวกลุง ๆ จะขาดสะบั้นกระเด็นกระดอนไปทั่ว “ได้คนมาโดยไม่ต้องเสียสักเหรียญ ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้”
ลูซีน่ามองดูศพของพวกลุงที่โดนตัดด้วยเวทมนตร์วายุ พาซี่สามารถทำได้โดยไม่หันหลังมามองด้วยซ้ำแสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นระหว่างเขาและเพื่อน ๆ รุ่นเดียว
“รอฉันด้วย” ลูซีน่าทิ้งศพไว้อย่างนั้นแล้ววิ่งตามพาซี่กลับไปที่ห้องพัก
ที่นั่นพาซี่ให้ลูซีน่าดูแลเด็กสาวแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารหรือเสื้อผ้าพวกเขาก็จัดหาให้ไม่ขาดเหลือ
“ขอบคุณที่ช่วยหนูนะคะ” หลังจากพักฟื้นจนกลับมาขยับได้ปกติ สิ่งแรกที่เธอทำก็คือหมอบราบเพื่อขอบคุณพาซี่และลูซีน่า
“เธอมีศักยภาพด้านการใช้สมอง ฉันจะรับเธอมาทำงานด้วย”
“ค่ะ หนูทำได้ทุกอย่างเลยค่ะ”
พาซี่ยิ้มพึงพอใจแล้วดึงเด็กสาวให้ลุกขึ้นมา
“ชื่ออะไรล่ะ?”
“เอ็มเมลินค่ะ”
“อืม...เอ็มเมลิน งั้นฉันจะเรียกว่าเอ็มมี่จะได้สั้น ๆ ลงหน่อย ก่อนอื่นเธอทำความสะอาดหรือทำอาหารเป็นบ้างไหม?” พาซี่ยิงคำถามเตรียมใช้งานทั้ง ๆ เด็กสาวอายุราว ๆ สิบขวบเท่านั้น
“หนูทำได้หมดเลยค่ะ ก่อนหน้าที่อยู่กับแม่หนูก็ทำทุกอย่างเหมือนกัน”
“ยอดเยี่ยม งั้นเธอก็พักผ่อนตามสบายไปก่อน เอาไว้ฉันพาเธอกลับไปที่สำนักค่อยว่ากัน” พูดจบพาซี่ก็หันหลังเตรียมขึ้นเตียงนอน
“จะว่าไป...พี่ชื่ออะไรคะ?”
“ฉันพาซี่ส่วนเธอคนนั้นชื่อลูซีน่า สนิทกันไว้ก็ดีจะได้ไม่เหงา” พาซี่คลุมโปงนอนอย่างสบายใจปล่อยให้เอ็มเมลินกับลูซีน่ามองหน้ากันไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ
ระหว่างที่พวกเขากำลังพักผ่อน พวกโยฮันก็ออกมาจากศูนย์แล้วตรงมาที่เมืองเหมือนนัดกันมา
“เจ้าพาซี่น่าจะอยู่ที่นี่แหละ เราก็ไปหาอะไรกินแล้วพักผ่อนซะ เดี๋ยวเขาจะมาหาเราเอง” โยฮันแบ่งเงินให้ทุกคนเพื่อให้พวกเขาที่ผ่านการประเมินมาได้ไปผ่อนคลายบ้าง
แต่ละคนได้แยกย้ายกันไปหาสิ่งที่ชอบทำกัน กูลูตรงไปที่ร้านอาหารแล้วซื้อกลับมาเต็มไปหมด คอนซิวไปที่ร้านขายของเก่าที่มีตั้งแต่เครื่องประดับไปจนถึงอาวุธแปลกตาให้ซื้อไปสะสม เดียร์ตรงไปยังลานประลองแล้วลงไปท้าประลองหน้าตาเฉย ส่วนราห์เดินวนไปทั่วตั้งแต่ตลาดไปจนถึงสุสาน
“เป็นเมืองที่ใหญ่จริง ๆ” ราห์กวาดสายตามองป้ายหลุมศพ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยอยากรู้อยากเห็น
“ดอกไม้ของป้ายนี้ยังดูใหม่อยู่แสดงว่ายังมีคนไม่ลืม ส่วนอีกป้ายกลับแตกหักเหมือนไม่มีคนเห็นค่า” ราห์เดินไปเรื่อยเหมือนไม่มีจุดหมาย เขาทำเพียงแค่สังเกตรอบ ๆ เมืองเหมือนเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
หลังจากผ่อนคลายกันมาทั้งวัน พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันในตอนค่ำซึ่งฝั่งพาซี่ก็มารวมตัวแล้วเหมือนกัน
“เที่ยวเล่นสนุกไหมล่ะ?” กูลูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท
“หลับสบายใช้ได้เลยล่ะ ถึงอากาศมันจะหนาวไปหน่อยก็เถอะ”
“พาซี่...เด็กคนนั้นเป็นใคร?” โยฮันเอ่ยถามต่อและยังจ้องมองเอ็มเมลินตาไม่กะพริบ
“ทักทายสิเอ็มมี่” พาซี่ดันเอ็มเมลินเข้ามากลางวง ความรู้สึกของเธอก็คงเหมือนตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางสัตว์นักล่าที่พร้อมถลกหนังตนเองตลอดเวลา
“สวัสดีค่ะ ท่านพาซี่รับหนูมาเป็นผู้ช่วยค่ะ”
“ผู้ช่วย? ตำแหน่งมือขวาไม่มีผู้ช่วยหรอกนะพาซี่”
“ผู้ช่วยลับ ๆ ก็ได้”
“ไม่ได้ ถ้าจะพาเธอมาด้วยก็ต้องไปเริ่มที่ลานเด็กเล็กก่อนสิ หลังจากนั้นค่อยคิดเรื่องการรับผู้ช่วยลับ ๆ”
“ก็ได้ ๆ เอ็มมี่ต้องเข้าไปอยู่ในลานก่อนแล้วพอโตขึ้นก็ค่อยมาทำงานด้วยกัน”
เอ็มเมลินเงยหน้ามองพาซี่แล้วตอบตกลงโดยไม่มีข้อสงสัย
“งั้นวันนี้พักกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้เราค่อยแยกย้ายก็แล้วกัน”
“ครับ” ราห์ตอบกลับทันทีทันใดแล้วเตรียมตัวเข้านอน
การรวมตัวกันจบลงในวันนั้น พวกเขาต้องแยกย้ายกันไปทำงานของตนเองซึ่งพวกราห์ยังต้องมาที่ศูนย์บ่อย ๆ เพราะการทดสอบและประเมินพลัง
หนึ่งปีผ่านไป พวกเขาได้กลับมารวมตัวกันที่สาขาหลักเพราะการประชุมใหญ่ หลังจากจบการประชุมพวกเขาก็มานั่งจัดงานเลี้ยงฉลองเป็นธรรมเนียมเหมือนทุกครั้ง
“สมกับเป็นเด็กที่นายหามาจริง ๆ พวกเขาแต่ละคนก้าวข้ามขั้นขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งหลักในเวลาแค่ไม่กี่ปี ทำเอาฉันอิจฉาเลย” เซรอนกล่าวเสียงดังอย่างกับจะป่าวประกาศหลังจากดื่มเหล้าไปหนึ่งแก้ว
“ของมันแน่อยู่แล้ว ฉันมีสายตาสุดแสนจะเฉียบคมเลยนะ แล้วดูเหมือนพาซี่ก็เดินตามรอยฉันซะด้วย เขาไปเจอเด็กมีศักยภาพก็เลยให้เก็บมาด้วย”
“จริงเหรอ? ถ้ามีศักยภาพนายก็ต้องเห็นเหมือนกันสินะ” อาเวียนถามต่อแล้วยกแก้วชนกับมิร่าไปด้วย
“แน่นอน เด็กคนนั้นมีศักยภาพทางสมองสูง ส่วนด้านอื่นก็พอถูไถไป”
“ผมไปนอนแล้วนะ” พอพาซี่พูดจบเขาก็เดินออกจากงานเลี้ยงไปทันทีแต่ทุกคนก็เหมือนจะชินกับนิสัยของเขาเสียแล้ว
แต่ครั้งนี้เขากลับแอบไปที่ลานเด็กเล็กเพื่อเฝ้าดูเอ็มเมลินที่ค่อย ๆ เติบโตมาเป็นเบี้ยของสำนัก
“ขยันจริง ๆ ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็นผู้ช่วยของเราได้” พาซี่เห็นเอ็มเมลินกำลังอ่านหนังสือที่กองเป็นภูเขาอยู่ในห้องสมุด เธอได้ใช้ความสามารถด้านสมองเป็นอย่างดีแต่การสอบด้านเวทมนตร์และร่างกายกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง
เนื่องจากพาซี่อยู่ที่สาขาหลักทำให้เขาสามารถแอบมาดูเอ็มเมลินได้ทุกวัน วันไหนที่มีโอกาสเขาก็จะเข้าไปสอนการควบคุมมานาและการฝึกร่างกายให้ บางวันเขาก็ลองทดสอบฝีมือเล่น ๆ หวังให้เอ็มเมลินก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“นายดูจะสนใจเด็กคนนั้นมากเลยนะ มากกว่างานที่ต้องทำเสียอีก” โยฮันดักรออยู่ข้าง ๆ เพราะรู้ว่าพาซี่จะมาแอบดูเอ็มเมลิน
“ก็เหมือนที่ท่านเจ้าสำนักสนใจการพัฒนาของพวกเรานั่นแหละ พวกเราเปรียบเสมือนอาวุธที่สร้างขึ้นมาเพื่ออุดมการณ์นั้น ผมเองก็อยากสร้างบางสิ่งเพื่อตัวเองเช่นกัน”
“ก็ถูกของนาย ตลอดเวลาหลายสิบปีฉันพยายามหาไม้ต่อที่แข็งแกร่งและสร้างกองกำลังไปพร้อม ๆ กัน และแล้วทุกอย่างมันก็มาบรรจบลงที่รุ่นของพวกนาย ทั้งหกคนมีศักยภาพระดับสูงและยังได้รับพลังจากพระองค์อีก โดยเพราะนายที่จะเหนือกว่าฉัน เหนือกว่าเทพดาบ เหนือกว่ามิโกะ นายสามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้...การก้าวข้ามเลเวลเก้า”
พาซี่หัวเราะในลำคอก่อนจะกล่าว “เวลาเป็นเรื่องอุดมการณ์ดูพูดเยอะเป็นพิเศษเลยนะครับ”
“มนุษย์เราก็พูดมากกับเรื่องที่ชื่นชอบอยู่แล้ว”
พอโยฮันพูดจบเขาก็ยืนมองเอ็มเมลินเป็นเพื่อนพาซี่ ทุกครั้งที่เขามาที่ลานเด็กก็จะนึกถึงตอนที่ตนเองเคยอยู่
“เวลานั้นใกล้มาถึงแล้ว นายคงจะรู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร?”
พาซี่ไม่ตอบอะไรทำเพียงแค่พยักหน้ารับทราบเท่านั้น


แสดงความคิดเห็น