STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 41 ดักดาน
ธรรมชาติของอาณาจักรนอดคือความหนาวเย็น อาจจะเพราะเหตุผลนั้นทำให้จักรพรรดิรามอนพยายามกลืนกินอาณาจักรรอบข้างเพื่อให้ได้พื้นที่อุดมสมบูรณ์เหล่านั้นมา การรุกรานของเขามีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยซึ่งหนึ่งในผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็คือตระกูลเรน
“แม่ครับ ทำไมแม่ต้องเสียเงินไปกับแปลงดอกไม้พวกนี้ด้วยล่ะครับ ไม่เห็นจะกินได้หรือเอาไปสู้กับใครได้เลย” เด็กชายตัวน้อยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ โรงเรือนนั้น มันคือโรงเรือนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจนดอกผลิบานสวยงาม
“ลูกคิดว่ามันไม่มีประโยชน์สินะ แต่มันกลับมีประดับในทุก ๆ งานที่มนุษย์จัดขึ้นมา งานแต่งงาน งานศพ งานรื่นเริง มันคือหนึ่งในอารยธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อสนองบางสิ่งในใจ”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ผมไปเล่นกับพ่อดีกว่า” ลูกชายวิ่งหน้าตั้งออกจากโรงเรือนไปที่คฤหาสน์หลัก
“พ่อ...” ลูกชายตัวน้อยถึงกับหยุดเรียกเพราะสีหน้าเคร่งเครียดของผู้เป็นพ่อ
เจ้าตระกูลเรนกำลังประชุมกับคนของตระกูลเพื่อหารือเกี่ยวกับจักรพรรดิรามอน เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในตระกูลที่ปฏิเสธการรุกรานทำให้ถูกตระกูลที่เห็นด้วยเพ่งเล็งเป็นพิเศษ
“ไปเดินเล่นกันดีกว่าลูก คุณพ่อเขากำลังทำงานอยู่”
“โธ่...” เด็กชายเดินหน้าบูดไปกับแม่สองคน
สุดท้ายพวกเขาก็ต้องกลับเข้าคฤหาสน์เพราะพายุหิมะพัดมาพอดี คุณแม่ได้พาลูกชายไปฝึกมารยาทของขุนนางหวังไม่ให้ลูกชายเบื่อ
“ไม่เอา มันน่ารำคาญจะตาย” พอพูดจบเขาก็วิ่งหนีกลับห้องของตนเองทันที
ลูกชายตัวน้อยนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง พอผ่านไปสักพักก็เริ่มหนาวจึงห่อตัวด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ ผ่านไปไม่นานคุณแม่ก็มาเคาะประตูเรียกให้ไปรับประทานอาหารเย็น
ในครั้งนี้โต๊ะอาหารได้ประดับด้วยดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วห้อง
“โห่ กลิ่นหอมเหมือนผ้าพึ่งซักเลย” ลูกชายตัวน้อยวิ่งไปนั่งที่ตัวเองอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นคุณแม่ก็ได้เดินไปปักดอกไม้ไว้ที่เสื้อของคุณพ่อเหมือนเป็นการแสดงความเป็นห่วงอย่างหนึ่ง
“อันนั้นดอกอะไรเหรอครับ?” เด็กชายชะเง้อคอมองด้วยความสงสัยก่อนจะถาม
“มันคือดอกมะลิ ถึงจะไม่ได้หรูหรานักแต่แม่ชอบมันมากเลยนะ” ใบหน้าของผู้เป็นแม่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาพูดถึงดอกไม้ทำให้ลูกชายสงสัยเข้าไปใหญ่ เหตุใดดอกไม้เล็ก ๆ แค่นั้นกลับทำให้คุณแม่มีความสุขได้ขนาดนี้
มื้ออาหารได้ดำเนินไปอย่างสงบสุขและวันต่อมาก็มีขุนนางอีกตระกูลมาเยือน ไม่ใช่แค่นั้นเพราะพวกเขายังนำกองอัศวินจำนวนมากล้อมรอบทั้งคฤหาสน์ไว้
“พาลูกไปที่ห้องใต้ดิน ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้หนีไปซะ” เจ้าตระกูลวิ่งออกไปต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเป็นมิตรเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนภรรยาและลูกชายได้หนีลงไปหลบอยู่ในห้องใต้ดิน
หลังจากที่พวกเขารออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา คุณแม่ที่คิดว่าสามีมาเรียกจึงเปิดประตูขึ้นไปแต่กลับพบเป็นคนแปลกหน้าแทน
“หนีไป !” ผู้เป็นแม่พยายามดึงประตูกลับถึงแม้จะสู้แรงไม่ได้เลยก็ตาม พอประตูโดนเปิดออกเธอก็เอาตัวบังไว้ยื้อให้นานที่สุดเพื่อให้ลูกชายหนีออกไปก่อน
สุดท้ายคุณแม่ก็ถูกแทงทะลุหัวใจและก่อนที่จะตายเธอก็ได้เห็นหัวของสามีที่อัศวินถือมาด้วย วันนั้นตระกูลเรนได้ถูกลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
“แล้วนายก็ไปเจอเจ้าเด็กคอนซิวตอนหนีออกมาสินะ” เซรอนเอ่ยถามโยฮันที่กำลังตั้งวงนั่งดื่มกันอยู่
“ไม่ได้เจอทันทีหรอก เจ้านั่นมันหนีมาที่เมืองใกล้ ๆ ด้วยตัวคนเดียว ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจหรอกแต่พอเห็นศักยภาพสูงก็เลยเก็บมาด้วย”
“นายได้เด็กที่มีพรสวรรค์ ส่วนเด็กนั่นก็มีชีวิตรอด ถือว่าได้ช่วยชีวิตเด็กผู้น่าสงสารและได้กองกำลังเพิ่มมาด้วย” เซรอนหันไปหยิบกับแกล้มแต่บาย่าดันกินไปหมดแล้วจึงต้องสั่งใหม่
“แล้วเด็กที่ชื่อราห์ล่ะ? ฉันเห็นเขามีแววมาก ๆ เลยนะ โดยเฉพาะร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง” บาย่าถามต่อ
“อืม งั้นฉันจะเล่าเรื่องของราห์ต่อเลยแล้วกัน เขาเกิดในครอบครัวธรรมดา ๆ ยิ่งกว่าที่คิดเลยนะ”
ครอบครัวธรรมดานั้นประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง พวกเขาอยู่รอบนอกของเมืองทำให้สามารถเดินทางเข้าออกเพื่อค้าขายได้ง่ายซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่สงบสุขกว่าใคร
“กลับมาดึกอีกแล้ว ! แค่ไปขายมันฝรั่งทำไมถึงกลับมาช้าขนาดนี้ !” หญิงสาวตะโกนด่าทอสามีตั้งแต่เปิดประตูจนก้าวเท้ามาถึงเตียงนอน
“เงียบน่า ! คนมันเยอะก็ต้องรอสิวะ !”
“นี่แกกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเหรอ !” ภรรยาง้างแขนตบตีซ้ำ ๆ หลายครั้งแต่ทันใดนั้นฝ่ายสามีก็ยกมือปัดทิ้งแรงถึงกับทำให้ผู้หญิงล้มลง
“ขะ...ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” สามีพยายามพยุงภรรยาขึ้นมาแต่อีกฝ่ายกลับนั่งร้องไห้ไม่ตอบกลับเลยสักคำ
“พ่อไปพักเถอะครับ เดี๋ยวผมดูแม่ให้เอง” เด็กชายตัวน้อยที่นั่งดูตั้งแต่แรกเข้ามาคั่นกลางอารมณ์ของทั้งสอง
“ฝากด้วยนะลูก พ่อแค่เหนื่อย ๆ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ” พูดจบเขาก็เดินไปนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทิ้งให้ลูกชายปลอบแม่อยู่คนเดียว
ผู้เป็นแม่นั่งร้องไห้อยู่เงียบ ๆ และยังบ่นพึมพำกับตัวเองตลอดเวลา จังหวะเดียวกันก็มีโอบกอดจากลูกชายตัวน้อยทำให้เสียงร้องหายไปทันที
“ผมรักแม่นะครับ แม่ช่วยกล่อมผมนอนได้ไหมครับ?”
“ได้สิจ๊ะ” คุณแม่ตอบกลับทันทีและยังยิ้มตื่นเต้นที่จะได้กล่อมลูกชายนอน
คุณแม่ได้เล่านิทานหลากหลายเรื่องให้ลูกชายฟังจนกว่าจะหลับแต่คุณแม่ดันเป็นคนหลับก่อนเสียเอง
“ฝันดีนะครับ” ลูกชายจูบหน้าผากพ่อกับแม่ก่อนจะนอนตาม
วันต่อมาทั้งสองก็ออกไปทำงานกันอย่างปกติสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนตัวลูกชายก็ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ในหมู่บ้านเป็นกิจวัตรประจำวัน
“เจ้าเปี๊ยก ! เอ็งไปไหนวะ” ระหว่างที่กำลังเล่นกันอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงของชายสูงอายุตะโกนลั่นมาทางพวกเขา
“ซวยแล้ว คุณปู่อาการกำเริบอีกแล้วแน่ ๆ” เพื่อนของเขากระซิบคุยกับเพื่อน ๆ แล้วพากันไปหาที่แอบ
คุณปู่คนนั้นเดินถือไม้เรียวยาวฟาดขู่ไปทั่วอย่างกับคนบ้า ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นก็เดินเลี่ยงออกห่างและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรือจะบอกว่าไม่สนใจเลยก็ว่าได้
“คุณพ่อกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวเจ้าตัวเล็กก็กลับบ้านมาเองนั่นแหละ” ลูกสาวของปู่คนนั้นเข้ามาประคองแล้วค่อย ๆ เกลี้ยกล่อมจนคุณปู่สงบสติอารมณ์ได้
“อะไรของปู่ก็ไม่รู้ ออกมาข้างนอกทีไรก็คิดว่าฉันไปทำตัวเสเพลเหมือนตัวเองตอนหนุ่ม” เด็กคนนั้นถอนหายใจเหนื่อยที่ต้องมาเจออะไรเช่นนี้
หลังจากเล่นกันจนเย็น เด็ก ๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว
“ของแค่นั้นทำไมยกไม่ได้ !” คุณแม่ตะคอกใส่สามีเหมือนกับเมื่อวาน
“มีเกวียนก็ต้องใช้สิ ! จะมาลำบากยกไปมาเองทำไม”
“เหอะ เป็นผู้ชายซะเปล่าไม่มีแรงยกตะกร้ามันฝรั่งเนี่ยนะ”
“เธอจะบ้าเรอะ ไอ้ยกมันก็ยกได้แต่จะยกให้เหนื่อยทำไม”
มื้ออาหารครอบครัวไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดแต่ลูกชายกลับเคยชินกับมันเสียแล้ว เขานั่งกินข้าวและฟังเสียงพ่อกับแม่ตะคอกกันไปมาเสมือนเป็นการดูทีวีระหว่างกินข้าวไปด้วย
แต่ทันใดนั้นคุณแม่ก็ผลักสามีกระเด็นมาที่โต๊ะอาหารทำให้ลูกชายที่นั่งกินอยู่โดนลูกหลงไปด้วย เขาล้มลงพื้นเกือบโดนเศษโต๊ะแทงเข้าเบ้าตาแต่ยังดีที่มีสติเอามือยันไว้ได้ทัน
“ทำบ้าอะไรเนี่ย !” คุณพ่อตะคอกกลับและลุกขึ้นไปตบบ้องหูภรรยาไปหนึ่งครั้งแล้วกลับมาดูลูกชายของตนเอง
“ผมไม่เป็นไรครับ” ลูกชายผู้ที่เคยชินกับการทะเลาะและลงไม้ลงมือกันทำให้เขาไม่รู้สึกแปลกใจใด ๆ ราวกับว่ามันคือเรื่องปกติที่ตนเองต้องเผชิญ
“แม่ขอโทษนะลูก” คุณแม่วิ่งเข้ามาสวมกอดทั้งน้ำตาเพราะรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นคนทำร้ายลูกชาย
ในคืนนั้นพวกเขานอนกอดลูกชายด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนศูนย์กลางของหัวใจอยู่ที่เด็กคนเดียวเท่านั้น หากลูกชายเจ็บทั้งคู่ก็จะเป็นทุกข์ หากลูกชายยิ้มทั้งคู่ก็จะสุขใจ หากลูกชายเป็นอะไรทั้งคู่ก็โผเข้ามากอดทันที
วันต่อมาลูกชายก็ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เหมือนปกติ
“ให้ตายสิเมื่อวานปู่อาละวาดอีกแล้ว ทำไมแม่ต้องเอามาอยู่ด้วยล่ะเนี่ย”
“น่าสงสารจริง ๆ เมื่อวานพ่อฉันก็พึ่งพังประตูบ้านเอง จะว่าไปพวกผู้ใหญ่มีแต่คนบ้าแฮะ หรือว่าพอเราโตก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน” เพื่อนอีกคนกล่าว
“ไม่หรอกมั้ง ฉันได้ยินมาว่าหมู่บ้านนี้เป็นศูนย์รวมคนที่โดนขับไล่น่ะ พวกพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็อาจจะโดนไล่มาเพราะแบบนั้นก็ได้” เพื่อนอีกคนกล่าวต่อ
“ฉันก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน แล้วก็ยังมีเรื่องที่หลายครอบครัวมีลูกไม่ได้แล้วไปซื้อไม่ก็ขโมยลูกคนอื่นมาด้วยนะ คิด ๆ ดูแล้วหมู่บ้านเรามันก็มีเรื่องแปลก ๆ เยอะอยู่เหมือนกัน”
“แล้วที่อื่นเขาไม่เป็นแบบนี้เหรอ?” ราห์ตัวน้อยถาม
“เท่าที่เห็นนะ ในเมืองไม่เป็นแบบนี้แน่ ๆ ถ้าเกิดมีใครอาละวาดหรือทำร้ายร่างกายก็จะโดนอัศวินจับเข้าคุกไปทันทีเลย”
ความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัวของราห์ พอตกเย็นเขาก็กลับไปกินข้าวเย็นกับพ่อแม่เหมือนปกติ
“ผมได้ยินมาว่าในหมู่บ้านมีคนซื้อไม่ก็ขโมยลูกคนอื่นมาด้วยนะครับ พ่อกับแม่พอจะรู้ไหมครับว่ามันใช่เรื่องจริงไหม?”
ราห์ตัวน้อยยิงคำถามไปเล่น ๆ ระหว่างที่กินข้าวด้วยกันแต่มันกลับทำให้พ่อกับแม่นั่งเงียบไม่แม้แต่จะสบตา
“พ่อครับ...แม่ครับ...” ทั้งสองต่างก็ไม่พูดอะไรแล้วกินข้าวต่อทั้งอย่างนั้น ราห์ตัวน้อยทำได้แค่กินข้าวต่อเช่นกันแต่ก็ไม่อาจสลัดความกังวลนั้นออกไปได้
วันต่อมาทุกอย่างกลับเป็นปกติอีกครั้งและราห์ก็ออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ เหมือนเดิม แต่ในตอนเย็นที่เขาจะกลับมากินข้าวดันได้เห็นพ่อกับแม่กำลังมีปากเสียงกันพอดี
“แกใช่ไหมที่เมาแล้วไปพูดเรื่องพวกนั้น !” คุณแม่ตะคอกใส่สามีก่อนแล้วยังถือค้อนขู่ไปด้วย
“จะไปรู้ไหมล่ะ เธอก็อาจจะเผลอไปพูดกับพวกป้า ๆ ก็ได้”
“นี่แกโทษฉันเหรอ ! มีแต่แกนั่นแหละที่ออกไปเที่ยวที่โน่นที่นี่จนกลับบ้านดึกดื่นตลอดเลย”
“ก็บอกว่าไปขายของไง ! งี่เง่าจริง ๆ ถ้าเธอไม่หน้าตาดีฉันก็ไม่เอามาทำเมียหรอก คนเสียสติแบบเธอเนี่ยใครจะอยากอยู่ด้วย”
“แกมันก็เชื้ออ่อนหัด เป็นผู้ชายแต่มีลูกไม่ได้ก็ไปตายให้นอนแทะไป”
การทะเลาะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นจนเริ่มมีการลงไม้ลงมือกัน พอเห็นท่าไม่ดีราห์จึงเข้าไปหยุดด้วยการตะโกนลั่น
“พ่อครับ ! แม่ครับ ! หยุดสักทีเถอะครับ !” เขาเชื่อว่าแค่ตนเองเข้าไปขวางก็สามารถยุติความรุนแรงได้เหมือนที่ผ่านมาแต่ครั้งนี้มันกลับรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
“แกเป็นใคร? ลูกฉันไม่เคยตะคอกใส่เลยสักครั้ง แกทำอะไรกับลูกฉัน” คุณแม่วิ่งตรงเข้ามาหวังจะตีราห์แต่คุณพ่อก็เข้ามาขวางไว้
“นั่นลูกนะเฮ้ย ! หยุดบ้าสักทีสิวะ” คุณพ่อง้างแขนชกเข้าที่หน้าไปหนึ่งครั้งทำเอาคุณแม่ร่วงลงพื้นไปเลย
คุณแม่ร้องไห้อีกครั้งและนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นทำให้คุณพ่อรู้สึกผิดแทนที่ลงไม้ลงมือรุนแรง เขาเดินออกจากบ้านไปเพื่อสงบสติอารมณ์และคิดทบทวนกับตัวเอง
“แม่ครับ...” ราห์เดินเข้าไปกอดแม่อีกครั้งซึ่งคุณแม่ก็สวมกอดกลับพอดี
ไม่นานคุณพ่อก็กลับมาหาและเข้านอนด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดีแต่จู่ ๆ คุณแม่ก็ตื่นขึ้นมากลางดึก ราห์ลืมตาตื่นตามเห็นราง ๆ ว่าคุณแม่เดินออกไปนอกบ้านแต่ก็ไม่ได้สนใจแล้วนอนหลับต่อไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อถึงตอนเช้าที่มีแสงแยงตาปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล ราห์งัวเงียลุกขึ้นมาล้างหน้าตามปกติแต่พอหันกลับไปมองในห้องกลับพบศพของพ่อนอนตายอยู่ข้าง ๆ คุณแม่
“พ่อครับ !” ราห์เข้ามาดูอาการเผื่อจะแค่บาดเจ็บเฉย ๆ
“อะไรเหรอลูก?” คุณแม่ที่นอนกอดคุณพ่ออยู่ตกใจร้องลั่น แต่ในมือของเธอกลับถือมีดไว้แน่นซึ่งก็คือมีดที่ใช้แทงสามีของตนเอง
“แม่ครับ...แม่ทำทำไม”
“ไม่ใช่นะลูก มีคนใส่ร้ายแม่แน่ ๆ แม่ไม่มีทางทำอะไรอย่างนี้หรอก” ท่าทางลุกลี้ลุกลนของเธอทำให้ลูกชายต้องหลั่งน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งมานาน
“พ่อ...” ราห์พยายามจะออกไปขอความช่วยเหลือแต่คุณแม่กลับดึงแขนเขาไว้ก่อน
“ไม่ ๆ เขายังไม่ตายนะลูก” คุณแม่ยกแขนยกหัวของสามีขยับเหมือนเชิดตุ๊กตาในขณะที่มือเต็มไปด้วยเลือด
“แม่ !” ราห์มองด้วยแววตาสิ้นหวังทั้งน้ำตา เขาพยายามสลัดแขนให้หลุดแต่คุณแม่กลับเหวี่ยงตัวเขากระเด็นไปกระแทกกับโต๊ะ อีกทั้งดวงตาของเขายังชนกับขอบโต๊ะแหลม ๆ พอดีจนเลือดไหลออกมา
“ลูกจะไปไหน ! ลูกจะทิ้งแม่ไปอีกคนเหรอ?”
คุณแม่ได้จับราห์ล่ามโซ่ไว้ในห้องนอน มัดมือไว้ด้านหลังและยังเอาผ้าปิดปากไม่ให้ตะโกนอีกด้วย
“นี่ไง คุณพ่อเขายังนอนอยู่กับเราอยู่เลย”
ในคืนนั้นสองแม่ลูกได้นอนกับศพของคุณพ่อที่ค่อย ๆ ส่งกลิ่นเหม็นออกมา ราห์ที่โดนพันธนาการทุกอย่างทำได้แค่คลานขยับตัวไปรอบ ๆ เขาพยายามเลี่ยงไปข้าง ๆ เพื่อให้อยู่ห่างจากศพของคุณพ่อให้มากที่สุดในขณะที่คุณแม่นอนกอดศพไว้เหมือนคิดว่ายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ
วันต่อมาคุณแม่ก็ออกไปทำไร่ตามปกติใช้ชีวิตเหมือนทุก ๆ วันในขณะที่ร่างของคุณพ่อค่อย ๆ เน่าลงเรื่อย ๆ ยิ่งผ่านไปหลายวันกลิ่นมันก็ยิ่งโชยไปทั่วหมู่บ้านทำให้พวกเขาต้องหาที่มาของกลิ่น
“กลิ่นมันออกมาจากบ้านของเธอนะ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว
“มันเป็นกลิ่นปลาหมักค่ะ ผู้ใหญ่ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ”
“ไม่กังวลไม่ได้สิ กลิ่นมันกระจายไปทั่วจนคนเขาอยู่ไม่ได้แล้วเนี่ย”
“ค่ะ ฉันจะรีบจัดการให้เรียบร้อย” คุณแม่ก้มหัวขอโทษเพื่อนบ้านทั้งหมด
ในคืนนั้นเธอได้พาราห์หนีออกจากหมู่บ้านทิ้งศพของคุณพ่อไว้อย่างนั้น พวกเธอวิ่งเข้าไปในป่าหวังไม่ให้ใครเห็น
“พวกมันจะมาทำร้ายลูก เราต้องหนีไปที่อื่น”
ราห์ที่ต้องนอนอยู่กับศพนานหลายวันทำให้สติของเขาเลื่อนลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลิ่นและความสยดสยองของศพที่ค่อย ๆ เน่าทำให้เด็กตัวน้อยกินข้าวไม่ได้นอนไม่หลับ
“ใกล้ถึงแล้ว ข้างหน้าจะมีพวกพ่อค้าอยู่ เราไปขอร่วมเดินทางด้วยได้...” จู่ ๆ ราห์ก็สะดุดล้มและลากให้คุณแม่ล้มลงไปด้วย
“ลุกขึ้นสิลูก เราจะถึงแล้ว...”
เพียงแค่พริบตาเดียวก็มีก้อนหินทุบเข้าที่หัวของคุณแม่
“ไม่ !” ราห์ยกก้อนหินทุบหน้าแม่ของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตายคาที่และยังทุบต่อไปจนเละดูไม่ได้เลย
ราห์ตัวน้อยเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ จนออกจากป่าได้ ที่ตรงนั้นไม่มีพ่อค้าหรือใครทั้งสิ้นเหมือนเป็นสิ่งที่คุณแม่คิดไปเอง
“ตอนนั้นแหละที่ฉันไปเจอกับราห์” โยฮันถึงกับถอนหายใจเศร้าใจที่เด็กคนหนึ่งต้องพบเจออะไรเช่นนี้
“สรุปก็คือแม่ของเขาสติไม่ดีใช่ไหม?” อาเวียนชกแก้วชนบ้าง
“น่าจะใช่ คงไม่มีคนปกติที่ไหนจะนอนกับศพได้หน้าตาเฉยหรอก”
“นั่นสินะ...แล้วเจ้าเด็กที่ผอม ๆ นั่นล่ะ? นายเลี้ยงเขาไม่ดีหรือยังไงถึงได้มีสภาพแบบนั้น” อาเวียนยิงคำถามต่อและระหว่างนั้นก็แย่งกับแกล้มกับเซรอนไปด้วย
“ไม่มีทาง ฉันมีของดี ๆ ให้กินตลอดแต่เจ้ากูลูมันเป็นโรคแปลก ๆ เวลาที่เขากินเขาจะอาเจียนออกมาทำให้ได้สารอาหารทีละนิดทีละหน่อย อยากฟังเรื่องของเขาไหมล่ะ?”
เพื่อน ๆ พยักหน้าตอบว่าอยากฟังต่อ
“งั้นตั้งใจฟังให้ดี ๆ เพราะกูลูก็น่าสงสารเหมือนกัน เรื่องมันเริ่มจากบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าในอาณาจักรเซีย ที่นั่นได้รับการสนับสนุนจากขุนนางหลายครั้งทำให้มีเงินทำนุบำรุงจนเหลือเลยล่ะ”
วันหนึ่งมีขุนนางที่บริจาคเดินทางมาเยี่ยมเยือนที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า ขณะเดียวกันกลุ่มเด็ก ๆ ก็กำลังกินอาหารเย็นที่มีเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ครบถ้วนแสดงให้เห็นว่าเงินนั้นมาถึงเด็ก ๆ แน่นอน
“เด็ก ๆ น่ารักกันจริง ๆ” ขุนนางสาวยืนมองเด็ก ๆ กินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย
“ต้องขอบคุณเงินที่ท่านบริจาคมาให้นะครับ เพราะท่านจึงทำให้เหล่าเด็ก ๆ ผู้ยากไร้ได้กินดีอยู่ดีและยังได้รับการศึกษาอีกด้วย” เจ้าของบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้ากล่าว เขาเดินตามติดขุนนางสาวคอยแนะนำและประจบประแจงทุกครั้งที่มีโอกาส
ขณะที่กำลังชื่นชมความหรูหราของโต๊ะอาหาร จู่ ๆ ก็มีเด็กคนหนึ่งอาเจียนออกมาทำให้ขุนนางสาวรู้สึกพะอืดพะอมตามจึงต้องรีบออกไปจากห้องอาหารไป
“ผมต้องขอโทษด้วยครับ เด็กคนนั้นท้องไส้ไม่ค่อยดีก็เลยทำให้เห็นภาพที่ไม่น่าชมนัก”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่คิดมากหรอกแต่วันนี้ฉันขอตัวกลับก่อน”
เจ้าของบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าตามไปส่งขุนนางสาวถึงรถม้าก่อนจะกลับไปที่ห้องอาหารอีกครั้ง
“กูลู !” เขาตะโกนเรียกเสียงดังและเดินตรงไปหากูลูทันที
“นี่แกกล้าทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าผู้บริจาคเลยเหรอ ถ้าเกิดท่านหญิงไม่พอใจแล้วยกเลิกการสนับสนุนจะทำยังไงวะ !” เขากระชากคอเสื้อเด็กชายกูลูและตะคอกใส่หน้าจนน้ำลายกระเด็นใส่
“ฉันจะให้กินแต่ข้าวต้มเปล่า ๆ หนึ่งสัปดาห์เป็นการลงโทษ พวกแกก็จงรับรู้ไว้ว่าถ้ามีใครทำเรื่องอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าท่านหญิงก็จะโดนลงโทษหมู่ด้วย” พอพูดจบเขาก็เดินจากไปทิ้งไว้ซึ่งความขุ่นเคืองในใจของเด็ก ๆ
เหล่าเด็ก ๆ เริ่มเกาะกลุ่มกันนินทากูลูที่เป็นต้นเหตุให้พวกเขาโดนลงโทษไปด้วย
“ฉันขอโทษจริง ๆ ช่วงนี้ท้องไส้ฉันอาการไม่ค่อยดี...” พูดไม่ทันจบก็มีเด็กคนหนึ่งขว้างแอปเปิลโดนหน้าผากจนเป็นรอยแดง พอเห็นเช่นนั้นก็ทำให้เด็กคนอื่นขว้างของใส่เป็นการระบายความโกรธ
ถึงแม้ของที่ขว้างจะไม่ได้ทำให้เลือดตกยางออกแต่มันกลับเป็นการกำหนดจุดยืนของกูลูไปแล้ว
“นายเก็บกวาดแล้วก็ล้างจานให้หมดเลย” เด็กที่ดูโตกว่าใครกล่าวแล้วเดินจากไปทั้งอย่างนั้น
“คะ...ครับ” กูลูตอบกลับด้วยความเกรงกลัวแล้วก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งหมด
ตั้งแต่วันนั้นกูลูก็กลายเป็นหมาหัวเน่าที่ไม่มีใครเข้าใกล้ ไม่เพียงแค่นั้นเพราะเขายังถูกใช้ทำงานหลาย ๆ อย่างโดยอ้างว่าเขาต้องรับผิดชอบที่ทำให้คนอื่นโดนลงโทษไปด้วย
พวกเขาต้องกินข้าวต้มเปล่า ๆ ทั้งมื้อเช้า มื้อเที่ยงแล้วก็มื้อเย็น ยิ่งนานวันความเดือดดาลก็ยิ่งสะสมและพุ่งเป้าไปที่กูลูมากขึ้น
“กินอร่อยหรือเปล่า?” เด็กที่โตกว่าใครเดินเข้ามาถามกูลูที่กำลังกินข้าวต้มอยู่
“คะ...ครับ” กูลูเออออตามน้ำเพราะไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่
“ถ้าอร่อยก็กินเข้าไปอีกสิ” เด็กคนนั้นยกชามข้าวต้มร้อน ๆ สาดใส่กูลู
เสียงร้องเจ็บแสบทรมานดังลั่นไปทั้งบ้านแต่ก็ไม่มีใครเข้ามาดูสถานการณ์เลยสักคน
“อร่อยมากไหมล่ะ?” เสียงหัวเราะเยาะชอบใจดังขึ้นแล้วเดินจากไปทั้งอย่างนั้น
วันต่อมากูลูก็โดนแกล้งอีกครั้ง คราวนี้เขาถูกบังคับให้กินทั้งที่ข้าวต้มยังร้อน ๆ ทำให้ลิ้น หลอดอาหารและท้องถูกลวก
วันต่อมาเขาก็ถูกบังคับให้กินเข้าไปทั้งที่ยังร้อนเช่นเดิมแต่คราวนี้เด็กตัวโตชกเข้าที่ท้องทำให้กูลูอาเจียนออกมา
วันแล้ววันเล่าที่เขาต้องโดนแกล้งทั้งมื้อเช้า มื้อกลางวันและมื้อเย็นไม่ได้กินข้าวอย่างสงบสุข บังคับให้กินจนปากและหลอดอาหารแทบจะพัง ถูกชกและเตะที่ท้องซ้ำ ๆ ทำให้อาเจียนออกมาทุกครั้งที่กินอาหาร
จนกระทั่งการลงโทษหมดเวลาลงทำให้พวกเขาได้กินอาหารตามปกติเสียที แต่ถึงกระนั้นการกลั่นแกล้งกลับไม่จบลงและยังทำแบบเดิมซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่มีผู้ใหญ่หรือใครเข้ามาห้ามปรามเลย
“วันนี้ท่านหญิงจะมาเยี่ยมอีกครั้ง ทุกคนคงรู้อยู่แก่ใจว่าต้องทำตัวยังไง” เมื่อเจ้าของบ้านกล่าวจบ เด็ก ๆ ก็หันไปมองกูลูเป็นตาเดียวกัน
เด็กเหล่านั้นเอากูลูไปขังไว้ในห้องใต้ดินมืด ๆ ตลอดทั้งวันเพื่อไม่ให้เขาทำเรื่องขายขี้หน้าอีก และเนื่องจากเขาถูกแกล้งทุกครั้งที่กินข้าวทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนใด ๆ และยังโดนทิ้งให้อดอาหารอีกทั้งวัน
“แค่นี้ไม่ตายหรอกน่า” เด็กที่โตที่สุดเป็นผู้นำทุกการกระทำทั้งการกลั่นแกล้งและขังกูลูไว้ในห้องใต้ดิน เขาหัวเราะเยาะชอบใจเมื่อได้เห็นกูลูนอนหมดสภาพอยู่ในนั้น
พอหมดวันเหล่าเด็ก ๆ ก็ลงมาพากูลูขึ้นไปกินอาหารเหลือ ๆ จากมื้อเย็น แต่พอเขากินเข้าไปกลับอาเจียนออกมาเองโดยที่ไม่ได้โดนชกหรือเตะเลย


แสดงความคิดเห็น