บทที่ 97: มาดื่มกัน
“ระบบ เปิดหน้าสถานะ”
หลังจากหลินหยวนดูดซับพลังจิตภายในเถาวัลย์หัวใจอินทนิลไปจนเกือบหมด เขาก็นวดขมับที่ปวดตุบ ๆ และเปิดหน้าสถานะของตัวเองทันที
[โฮสต์: หลินหยวน
แรงก์: SS
ร่างกายพิเศษ: ร่างจอมมาร, ฉงถงระดับสูง
สกิลพิเศษ: ลมหายใจสายฟ้า, วิคหะเยียวยา, พิภพเยือกแข็ง, สังเวยอันเดด, หัวใจมรณะ, เนตรสัจจะ, ร่างเทพสายฟ้า, สุสานน้ำแข็ง
พลังปราณ: 216,143
พลังจิต: 27,358
พลังพิเศษ: [สายฟ้า] ระดับ A
[รักษา] ระดับ B
[น้ำแข็ง] ระดับ A
[อันเดด] ระดับ B
[เทเลพอร์ต] ระดับ B]
ตลอดระยะเวลา 50 วัน พลังปราณของหลินหยวนพุ่งทะลุไป 2 แสนแต้มเป็นที่เรียบร้อย
แม้แต่พลังจิตของเขาที่ได้มาจากการกินเถาวัลย์หัวใจอินทนิลก็ยังสูงถึง 27,000 แต้ม ที่สำคัญก็คือ ตลอด 50 วันที่เขาลงชื่อเข้าใช้ เขาก็ได้สะสมคริสตัลอัปเกรดพลังเพิ่มอีก 200 ชิ้น
ปกติแล้วยิ่งระยะเวลาการลงชื่อเข้าใช้นานขึ้นเรื่อย ๆ รางวัลที่ได้รับก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
ครั้งนี้หลินหยวนใช้คริสตัลอัปเกรดพลัง 200 ชิ้นเพื่ออัปเกรดพลังน้ำแข็ง
แม้ว่าพลังอันเดดจะมีประโยชน์มากในระหว่างการต่อสู้ แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มก็ยังไม่พร้อมที่จะอัปเกรดมัน
เพราะปัจจุบันเขาได้ตัดสินใจว่าจะมุ่งเน้นไปที่การเสริมความแข็งแกร่งของตนเอง
หลังจากพลังน้ำแข็งของเขาไปถึงระดับ A เขาก็ได้สกิลพิเศษเพิ่มมาอีก 1 อย่างนั่นก็คือ
สุสานน้ำแข็ง!
สกิลนี้เป็นการผสานที่ลงตัวระหว่างการโจมตีและการควบคุม
เมื่อใช้สกิลนี้จะทำให้มีชั้นน้ำแข็งสีดำปะทุออกมาจากร่างของศัตรู
ในระหว่างที่มันสร้างความเสียหายให้กับศัตรูนั้น มันยังห่อหุ้มร่างกายของฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหนคล้ายกับโลงน้ำแข็งที่กักขังศัตรูเอาไว้
ซึ่งหลินหยวนรู้สึกพอใจกับสกิลพิเศษนี้มาก
ตลอด 50 วันที่ผ่านมา พลังของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเอง เขามักจะไปที่กองบัญชาการทหารลาดตระเวนเพื่อประลองฝีมือกับคนอื่น ๆ
แต่ไม่มีผู้พิทักษ์ของป้อมปราการคนไหนที่เทียบกับเด็กหนุ่มได้เลย
นอกจากโจวอวี้หลงกับเย่โจวที่มีความสามารถในการรับการโจมตีของหลินหยวนได้นานที่สุดแล้ว คนอื่น ๆ ก็ทนรับการโจมตีของเขาได้ไม่ถึงครึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ
และนี่ก็เป็นพลังก่อนที่เขาจะเข้าสู่สถานะระเบิดโลหิต อีกทั้งยังใช้เพียงสกิลลมหายใจสายฟ้าเท่านั้น
ในตอนนั้นโจวอวี้หลงยังพูดแซวว่าหลินหยวนเป็นผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในป้อมปราการแล้ว
ถึงแม้ว่าพลังของหนุ่มจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกหวั่นไหว เพราะศัตรูของเขาก็คือเผ่าไททัน
จนกว่าเผ่าไททันจะถูกขับไล่ออกไปจากโลกนี้ หลินหยวนก็ไม่กล้าพักผ่อนแม้แต่วันเดียว
…
เมื่อหลินหยวนปิดหน้าสถานะแล้ว ในหัวของเขาก็เริ่มมีความคิดวนเวียนไปมาอีกครั้ง
“ถ้าจำไม่ผิด วันนี้ครบรอบลงชื่อเข้าใช้ 350 วัน” เขาพึมพำกับตัวเอง “อยากรู้จริง ๆ ว่าจะได้รางวัลพิเศษอะไร”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็พูดขึ้นทันทีว่า “ระบบ ฉันต้องการลงชื่อเข้าใช้”
“ติ๊ง! ขอแสดงความยินดี คุณลงชื่อเข้าใช้สำเร็จเป็นเวลา 350 วัน ได้รับรางวัล: คริสตัลอัปเกรดพลัง x30!”
“รางวัลพิเศษ: คริสตัลมิติ!”
[คริสตัลมิติ (ไอเทมพิเศษ)]
[หมวดหมู่: ไอเทมใช้แล้วทิ้ง]
[คำอธิบาย: เมื่อใช้งาน ประตูมิติจะเปิดออก หลังจากเข้าไปในประตูมิติ มิติผันผวนจะเทเลพอร์ตผู้ใช้ไปยังตำแหน่งที่กำหนดแบบสุ่ม]
“ประตูมิติ? แถมยังเทเลพอร์ตแบบสุ่มอีก?” พอหลินหยวนอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับคริสตัลมิติ เขาก็รู้สึกมึนงงไม่น้อย
เดิมทีเขาหวังว่าจะใช้รางวัลการลงชื่อเข้าใช้เป็นเวลา 350 วันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแม้รางวัลการลงชื่อเข้าใช้ในครั้งนี้จะดูพิเศษ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของเขาแต่อย่างใด อีกทั้งเขาคงไม่เอาคริสตัลมิติมาใช้มั่วซั่วแน่นอน
เพราะเขาไม่รู้เลยว่าหลังจากผ่านประตูมิติไปแล้ว เขาจะถูกส่งไปที่ไหนกันแน่
ถ้าเขาถูกส่งไปยังเบื้องหลังของดินแดนไททัน เขาจะยังเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือเปล่า?
สิ่งเดียวที่หลินหยวนคิดได้ว่าคริสตัลนี้มีประโยชน์อะไร นั่นก็คือเอาไว้ใช้หลบหนีในยามจำเป็น
หากเขาเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง หรือเผชิญกับสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตราย เขาก็อาจจะเดิมพันเสี่ยงดวงใช้คริสตัลมิตินี้ดู
“หวังว่า… ฉันจะไม่มีโอกาสได้ใช้คริสตัลนี้” เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเก็บมันเข้าไปในช่องเก็บของ
ถ้ามาถึงทางตันจริง ๆ เขาคงต้องปล่อยให้โชคชะตานำพาชีวิตตัวเองสักครั้ง
ปัง ๆๆ!
จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
แต่มันเหมือนเสียงคนจะพังประตูเข้ามามากกว่าเสียงเคาะประตู
จากนั้นหลินหยวนก็ได้ยินเสียงโจวอวี้หลงโวยวายดังมาจากด้านนอก “ไอ้น้องชาย เปิดประตูสิ! ฉันเอาเบียร์ดี ๆ ติดมือมาด้วย วันนี้เรามาดื่มกัน!”
เป็นผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว…
หลินหยวนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู แล้วเห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับชูเบียร์ 2 แพ็กเอาไว้ในมือ
หลินหยวนมองเบียร์ทั้ง 2 แพ็กนั้นแล้วอดมุมปากกระตุกไม่ได้ “...นี่คือเบียร์ดี ๆ ที่คุณพูดถึงเหรอ?”
โจวอวี้หลงเชิดหน้าพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “นี่คือเบียร์ฮาร์บิน*เชียวนะ มันเลิกผลิตไปนานแล้ว เคยได้ยินไหมเบียร์ยี่ห้อฮาร์บิน!”
*เบียร์ฮาร์บิน (Harbin Beer) เป็นเบียร์ที่มีประวัติยาวนานและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1900 โดยนักธุรกิจชาวโปแลนด์ในเมืองฮาร์บิน
“...ปัญญาอ่อน” หลินหยวนกระซิบพูดเบา ๆ
“???” โจวอวี้หลงถึงกับงงว่าทำไมจู่ ๆ เจ้าเด็กนี่ถึงว่าเขา
จู่ ๆ มาว่ากันทำไมเนี่ย!
“เข้ามาก่อนสิครับ” เด็กหนุ่มเดินไปหยิบแก้ว 2 ใบมาจากในครัว “ผมขอบอกตรงนี้เลยนะว่าผมอนุญาตให้คุณมาดื่มที่นี่ได้ แต่อย่ามานอนค้างที่ห้องผมอีกเด็ดขาด”
คนที่เป็นแขกหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่าไอ้น้องชาย ฉันคนนี้คอแข็งมาก ถึงจะดื่มเป็นพันแก้วก็ไม่เมาหรอก”
หลินหยวนเงียบไปครู่หนึ่งเพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างไรดี “ครั้งที่แล้วหมาตัวไหนมันเมาแอ๋แล้วแก้ผ้าต่อหน้าผมกัน ตอนนั้นคุณดื่มที่ร้านไปแค่ 6 แก้วเองไม่ใช่เหรอ ไหงภาพตัดเร็วขนาดนั้น”
โจวอวี้หลงแก้มแดงในขณะที่กระแอมในลำคอ “เอ่อ… วันนั้นมันเป็นอุบัติเหตุน่ะ ใครจะไปรู้ว่าแอลกอฮอล์มันจะสูงขนาดนั้น”
เด็กหนุ่มพูดอีกว่า “แต่วันนี้ที่ห้องผมไม่มีอะไรกินเลย คุณไปซื้อถั่วลิสงจากข้างล่างสัก 2 ถุงมากินกับเบียร์ดีไหม?”
“เรื่องนี้นายไม่ต้องห่วง ฉันเป็นใครลืมไปแล้วหรือไง?”
แล้วหลินหยวนก็เห็นว่าโจวอวี้หลงเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี เพราะหลังจากวางเบียร์ลง เขาก็รีบนำกล่องอาหารร้อน ๆ 2 กล่องออกมาจัดวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นทั้งคู่ก็ดื่มไปพูดคุยกันไป
ไม่นานนักบทสนทนาของพวกเขาก็นำไปสู่สงครามของประเทศในปัจจุบัน
“เฮ้อ… ตั้งแต่ต้นปี เผ่าไททันยังคงรุกรานเราไม่หยุด แถมแต่ละครั้งที่พวกมันบุกมาก็ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ” โจวอวี้หลงถอนหายใจพลางส่ายหัวพูดว่า “ถ้าพวกมันยังบุกกันต่อเนื่องแบบนี้ อีกไม่นานแนวป้องกันแรกก็คงจะแตก ถ้าหากแนวป้องกันแรกและแนวป้องกันที่ 2 พังทลาย ที่นี่ก็จะเปลี่ยนกลายเป็นสมรภูมิหลักระหว่างหัวเซี่ยกับเผ่าไททัน”
หลินหยวนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “คุณคิดว่าแนวป้องกันแรกจะทนได้อีกนานแค่ไหนครับ?”
ที่เขาถามไปอย่างนั้นเพราะเขาอยากจะรู้ว่าตนเหลือเวลาให้พัฒนาตัวเองอีกนานเท่าไหร่
โจวอวี้หลงเองก็ได้แต่ทอดถอนหายใจในขณะที่ส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่มีใครรู้หรอก ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน แนวป้องกันแรกใกล้จะแตกแล้ว ถ้าหากเผ่าไททันรวบรวมกำลังพลเปิดการโจมตีหนัก ๆ อีกสักครั้ง แนวป้องกันแรกก็คงจะพังแล้วล่ะ”
“อันที่จริงในสายตาของไททัน แนวป้องกันแรกไม่สำคัญเท่าไหร่ ถึงจะฝ่าแนวป้องกันมาได้ พวกมันก็คงไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันทั้ง 5 ติดต่อกันและรุกคืบมาจนถึงแนวหลังของประเทศเราได้ในระยะเวลาอันสั้นหรอก ไม่งั้นแนวป้องกันแรก ๆ ก็ไร้ความหมาย”
“เพราะตามประวัติศาสตร์ตลอด 120 ปีที่ผ่านมา แนวป้องกันแรกและแนวป้องกันที่ 2 แตกมาตั้งหลายครั้งแล้ว”
“และทุกครั้งพวกเราก็สามารถยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืนมาได้สำเร็จ จากนั้นก็สร้างแนวป้องกันใหม่ขึ้นมา”
ในระหว่างที่โจวอวี้หลงอธิบาย ดวงตาของหลินหยวนก็พลันสว่าง แล้วเขาก็กระซิบพูดว่า “งั้นคุณหมายความว่าเหตุผลที่เผ่าไททันยังไม่เปิดฉากโจมตีเป็นเพราะว่าพวกมันต้องการลดกำลังพลทหารของเราโดยโจมตีแนวป้องกันชั้นแรกอย่างต่อเนื่องใช่ไหมครับ?”
ชายสวมชุดเกราะดำพยักหน้าตอบกลับ “ถูกต้อง ในแนวหน้าตอนนี้ไม่ต่างจากเครื่องบดเนื้อขนาดยักษ์เลย”
“ไม่ว่าจะเป็นสำหรับไททันหรือหัวเซี่ย ในสนามรบมีไททันและมนุษย์บาดเจ็บล้มตายอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่พวกเราจะทำอะไรได้อีกล่ะ? พวกเราทำได้แค่พยายามปกป้องแนวป้องกันเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่านั้น” พอพูดถึงจุดนี้ แววตาแห่งความเคียดแค้นก็วาบขึ้นในดวงตาของโจวอวี้หลง แล้วเขาก็กระดกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่
แม้ปกติเขาจะไม่ใช่คนถือตัวอะไร แต่ความคิดความอ่านของเขานั้นนับว่ามองทะลุอย่างกระจ่างแจ้ง
สิ่งที่เขาบอกเมื่อกี้นี้ไม่ผิด เขามองเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของไททันอย่างชัดเจน ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ด้วยเหตุนี้เองมันจึงทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังมาก
ถึงเขาจะรู้ว่าไททันกำลังพยายามสูบพละกำลังของพวกเขาออกไปอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขาก็ไร้หนทางแก้ไข
ความแตกต่างในด้านพลังระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายทำให้มนุษย์ต้องคอยทนตั้งรับอยู่เสมอ
เพื่อยึดแนวป้องกันในด่านแรกเอาไว้ กองทัพไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องส่งทหารไปสู้รบที่แนวหน้าอย่างต่อเนื่อง
ในสถานการณ์เช่นนี้ การส่งทหารไปที่แนวหน้ามันก็เท่ากับการส่งคนไปตาย
แต่หากไม่มีใครยอมตาย เผ่าไททันก็จะฝ่าแนวป้องกันแรกเข้ามาได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีคนเสียสละ เพื่อยึดแนวป้องกันแรกเอาไว้ ทหารจะต้องล้มตายไปเรื่อย ๆ แบบนี้
สิ่งที่ทุกคนทำได้ก็คือ อดทนมองดูเพื่อนร่วมชาติตายในสนามรบไปทีละคน


แสดงความคิดเห็น