บทที่ 35: พันธสัญญาแห่งพงไพร

-A A +A

บทที่ 35: พันธสัญญาแห่งพงไพร

"ดับไฟของพวกท่าน... มันรบกวนป่า"
คำพูดนั้น... ไม่ได้ถูกตะโกน... ไม่ได้แฝงไว้ด้วยการคุกคาม... แต่มันกลับทรงพลังยิ่งกว่าเสียงคำรามของเสืออาถรรพ์ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป มันคือประโยคที่เรียบง่าย แต่กลับสั่นสะเทือนรากฐานความเข้าใจทั้งหมดของทีมสำรวจจากดุษฎีนครจนพังทลายลงในพริบตา
ความเงียบเข้าปกคลุมลานโล่งที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ มันคือความเงียบที่เกิดจากสภาวะที่สมองปฏิเสธที่จะประมวลผลความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงลมที่พัดหวีดหวิวผ่านโครงเหล็กของตึกเก่า และเสียงไฟฉุกเฉินสีแดงบนรถแรคคูนที่ยังคงกะพริบต่อไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
ภายในรถแรคคูน...
ดร. เร็กซ์ ที่เคยเตรียมพร้อมจะยิงต่อสู้ บัดนี้กลับยืนนิ่งแข็งค้างราวกับรูปสลัก ปืนพลังงานในมือของเขาลดระดับลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว สัญชาตญาณทหารของเขากำลังกรีดร้อง... มันไม่ใช่เสียงเตือนภัย แต่เป็นเสียงของความสับสนอลหม่าน นี่มันอะไรกันวะ? กับดักทางจิตวิทยา? อาวุธคลื่นเสียงรูปแบบใหม่? หรือมีคนทรยศ? ความเป็นไปได้นับล้านวิ่งวนอยู่ในหัวของเขาจนแทบระเบิด
"เป็นไปไม่ได้..." ดร. เอลารา พึมพำออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอยังคงเบิกกว้างจ้องมองไปยังเด็กสาวคนนั้น "นี่คือความผิดปกติทางมานุษยวิทยาและภาษาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! อารยธรรมที่ถูกตัดขาดจากเราโดยสิ้นเชิงมานานกว่าสามศตวรรษ... พวกเขาไม่ควรจะพูดภาษาเดียวกับเราได้เลยแม้แต่คำเดียว!"
"เสียง... สำเนียงของเธอ... มันแปลกมาก" โอไรออนกระซิบ เขาถอดหูฟังออกข้างหนึ่งราวกับจะยืนยันว่าสิ่งที่เขาได้ยินนั้นมาจากโลกแห่งความเป็นจริง "มันไม่ใช่แค่การพูด... แต่ผมได้ยินถึง 'ความพยายาม' ในการเปล่งเสียงแต่ละคำ... เหมือนคนที่กำลังพยายามจะจดจำบทเพลงที่เคยได้ยินมาเมื่อนานแสนนาน"
นอกตัวรถ...
ลีน่ายืนนิ่ง เธอคือคนที่ตกตะลึงที่สุด เธอคือผู้บัญชาการ คือคนที่ต้องควบคุมสถานการณ์ แต่บัดนี้... เธอกลับเป็นเพียงนักเรียนที่กำลังเผชิญหน้ากับปริศนาที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตำราเล่มไหนๆ จะให้คำตอบได้ เด็กสาวตรงหน้าเธอ... คือตัวแปรที่เธอไม่เคยคำนวณไว้ในสมการใดๆ ทั้งสิ้น
ท่ามกลางความโกลาหลทางปัญญานั้น เสียงที่สงบนิ่งของไลราก็ดังขึ้นในระบบสื่อสารส่วนตัว "เธอพูดความจริงค่ะ... ฉันรู้สึกได้... เธอไม่ได้มุ่งร้าย... เธอแค่... กำลังปกป้องบ้านของเธอ"
[ยืนยันข้อมูล] เสียงสังเคราะห์ของเควินดังแทรกเข้ามา [ตรวจพบการสั่นของเส้นเสียงที่ตรงกับฐานข้อมูลภาษาศาสตร์ของข้าพเจ้า... มีความเป็นไปได้ 92% ที่นี่คือการสื่อสารที่เกิดขึ้นจริง]
คำยืนยันจากไลราและเควินคือสมอเรือที่ดึงสติของลีน่าให้กลับคืนมา เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่กระจัดกระจายไปกลับคืนมา เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาที่สุขุมของเด็กสาวคนนั้น เธอตัดสินใจที่จะก้าวข้ามกำแพงแห่งความไม่รู้
"เธอคือใคร?" ลีน่าถามออกไป เสียงของเธอยังคงสั่นเทาเล็กน้อย "และ... เธอเรียนรู้ภาษาของเราได้อย่างไร?"
คำถามที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของลีน่า ("เธอคือใคร? เธอเรียนรู้ภาษาของเราได้อย่างไร?") ถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็วเกินไป มันคือการทำงานของสมองนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการคำตอบในทันที แต่สำหรับเด็กสาวที่เติบโตในป่า... มันคือ "เสียง" ที่ก้าวร้าวและสับสน
แววตาที่เคยสุขุมของเด็กสาวฉายแววสับสนอย่างเห็นได้ชัด เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามจะปะติดปะต่อคำพูดที่หลั่งไหลเข้ามา เธอเข้าใจคำว่า "ภาษา" และ "เรียนรู้" แต่ประโยคที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอารมณ์นั้นอยู่นอกเหนือสิ่งที่เธอเคยได้ยิน เธอมองหน้าลีน่าสลับกับพ่อของเธออย่างไม่แน่ใจ
"ข้าเข้าใจบางคำ..." เธอหันไปพูดกับพ่อของเธอเป็นภาษาไทยอย่างรวดเร็ว "...แต่พวกเขาพูดเร็วเกินไป เหมือนสายน้ำที่เชี่ยวกราก ข้าตามไม่ทัน"
หัวหน้าพรานผู้เป็นพ่อ ซึ่งมีชื่อว่า คราม สังเกตเห็นความสับสนของลูกสาว ความไม่ไว้วางใจที่เคยมีอยู่แล้วก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขามองว่าคำพูดที่รัวเร็วของลีน่าคือการพยายาม "ข่มขู่" และ "กดดัน" ลูกสาวของเขา
"อย่าได้ข่มขู่ลูกสาวข้า!" ครามก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ใช้ร่างสูงใหญ่ของเขาบดบังลูกสาวไว้เกือบครึ่งตัว เขาชี้ปลายหอกมาทางลีน่าโดยตรง ดวงตาข้างเดียวของเขาหรี่ลงอย่างน่ากลัว "อสูรเหล็กของพวกเจ้าทำลายป่าของเรา ปลุกอสูรร้ายให้ตื่นขึ้น บัดนี้ยังจะมาคุกคามลูกข้าอีกรึ! พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่!"
ภายในรถแรคคูน...
"สถานการณ์กำลังแย่ลง!" เร็กซ์รายงานเสียงเครียด "ผู้นำของพวกมันกำลังแสดงท่าทีคุกคามเต็มรูปแบบ! ท่านผู้บัญชาการ ถอยกลับขึ้นรถก่อนดีกว่า!"
"แต่พวกเขากำลังจะให้คำตอบเรานะ!" เอลาราแย้ง "นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่เราจะได้เรียนรู้!"
ลีน่าไม่ได้สนใจการโต้เถียงนั้น เธอรับรู้ได้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง... เธอใจร้อนเกินไป เธอใช้ตรรกะของโลกที่ทุกอย่างต้องรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ที่นี่... กาลเวลาเดินช้ากว่านั้น
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ สะกดกลั้นความอยากรู้ของตัวเองเอาไว้ เธอค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ อีกครั้ง เป็นสัญลักษณ์สากลของการยอมจำนนและขอเจรจา เธอไม่ได้มองไปที่ครามผู้เกรี้ยวกราด แต่กลับมองไปยังเด็กสาวที่แอบมองเธอมาจากด้านหลังของพ่อ
ลีน่าพูดช้าๆ... ชัดๆ... ทีละคำ... เหมือนกำลังสอนเด็กหัดพูด
"ภาษา... ของเรา..." เธอชี้มาที่ตัวเองและทีมในรถ "...เธอ... เรียนรู้... ที่ไหน?"
ความพยายามของลีน่าได้ผล เด็กสาวคนนั้นพยักหน้าช้าๆ เธอเข้าใจคำถามที่ถูกย่อยให้ง่ายลงแล้ว เธอหันไปกระซิบกับพ่อของเธออีกครั้ง คราวนี้ยาวนานกว่าเดิม ครามยังคงมีสีหน้าที่ไม่ไว้ใจ แต่ความเกรี้ยวกราดของเขาลดลงเล็กน้อย เขาเหลือบมองลูกสาว... แล้วพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ... เป็นการอนุญาตให้เธอตอบ
เด็กสาวก้าวออกมาเผชิญหน้ากับลีน่าอีกครั้ง เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของลีน่า... ไม่ได้ตอบคำถามนั้นโดยตรง... แต่เธอกลับยื่นคำตอบที่เป็นปริศนาให้แทน
เธอไม่ได้เอ่ยชื่อของตัวเอง แต่ตอบคำถามที่สำคัญกว่านั้นด้วยคำเพียงสองคำ... พร้อมกับชี้นิ้วเข้าไปในส่วนที่ลึกและมืดที่สุดของป่าเบื้องหลังพวกเขา
"...หินกระซิบ"

สองคำนั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศที่หนาวเย็น มันไม่ใช่คำตอบ... แต่มันคือปริศนาชิ้นใหม่ที่ใหญ่และลึกลับยิ่งกว่าเดิม เด็กสาวชี้เข้าไปในความมืดของป่าเบื้องหลัง... ทิศทางที่เต็มไปด้วยอันตรายและสิ่งที่มองไม่เห็น... ก่อนจะลดมือลงและกลับไปยืนนิ่งสงบดังเดิม ทิ้งให้ทีมสำรวจจมอยู่กับความสับสนอย่างสมบูรณ์แบบ
"หิน...กระซิบ?" ดร. เอลารา ทวนคำนั้นเบาๆ จากในรถ "เธอหมายถึงอะไร? เป็นชื่อสถานที่? หรือเป็นคำอธิบายลักษณะทางธรณีวิทยา? ข้อมูลมันกำกวมเกินไป"
ลีน่าพยายามจะปะติดปะต่อความคิด เธอหันกลับไปเผชิญหน้ากับเด็กสาวอีกครั้ง เธอรู้ดีว่าการยิงคำถามที่ซับซ้อนออกไปอีกจะไร้ประโยชน์ เธอจึงเปลี่ยนไปใช้ภาษาสากลที่เก่าแก่ที่สุด... ภาษากาย
ลีน่าชี้ไปที่เด็กสาว... แล้วทำท่าทางเหมือนกำลัง "พูด" หรือ "กระซิบ" ด้วยการป้องมือไว้ที่ปาก... จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่ก้อนหินก้อนหนึ่งบนพื้น... แล้วชี้นิ้วเข้าไปในป่าทึบอีกครั้ง เธอพยายามจะถามว่า "หินก้อนนั้น... มันพูดได้... อย่างนั้นหรือ?"
เด็กสาวมองท่าทางของลีน่าด้วยแววตาที่พยายามจะทำความเข้าใจ ก่อนที่รอยยิ้มจางๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอเป็นครั้งแรก เธอพยักหน้าอย่างช้าๆ... และตอบกลับมาด้วยภาษาของเธอเอง พร้อมกับทำท่าทางประกอบ
เธอชี้นิ้วไปที่ศีรษะของตัวเอง... แล้วลากนิ้วออกไปในอากาศราวกับเป็นคลื่น... ก่อนจะชี้ไปยัง "หินกระซิบ" ในจินตนาการ
"เธอไม่ได้หมายความว่ามัน 'พูด'..." โอไรออนกระซิบผ่านระบบสื่อสารส่วนตัว "เธอหมายความว่ามัน 'สื่อสาร' กับความคิดโดยตรง!"
ก่อนที่การสนทนาอันแปลกประหลาดนี้จะได้ไปต่อ... คราม... พ่อของเด็กสาว... ก็ก้าวเข้ามาขวางกลางระหว่างคนทั้งสองอีกครั้ง!
"พอได้แล้ว!" เขาพูดกับลูกสาวเป็นภาษาไทยเสียงดัง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรง "เจ้าบอกพวกมันมากเกินไปแล้ว! เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนพวกนี้เลย! พวกมันอาจจะใช้คำพูดของเจ้ามาเป็นอาวุธทำร้ายเราก็ได้!"
เขาคว้าแขนลูกสาวไว้แน่น แต่เธอกลับไม่ได้แสดงความหวาดกลัว เธอยืนหยัดและสบตาพ่อของเธอกลับอย่างไม่ยอมแพ้ "แต่ท่านพ่อ... พวกเขาคือคำตอบ"
การโต้เถียงที่ดุเดือดด้วยภาษาที่ทีมสำรวจไม่เข้าใจยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก
ภายในรถแรคคูน...
[เควิน: ผมกำลังพยายามอย่างเต็มที่ครับ ดร. โชติรส แต่ภาษานี้มันซับซ้อนเกินไป มันไม่มีรากศัพท์ที่ตรงกับฐานข้อมูลภาษาโบราณของผมเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนกับ... พวกเขาสร้างมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ผมต้องการเวลามากกว่านี้ในการวิเคราะห์โครงสร้างของมัน]
"เวลาคือสิ่งที่เราไม่มี!" เร็กซ์สวนขึ้นมาอย่างหัวเสีย "เห็นชัดๆ ว่าไอ้หัวหน้านั่นมันไม่ต้องการให้เราอยู่ที่นี่ มันกำลังจะลากลูกสาวมันกลับเข้าไปในป่า แล้วทิ้งเราไว้กับรถที่พังๆ นี่แหละ! นี่มันคือการถ่วงเวลา!"
"ใจเย็นก่อน เร็กซ์" ลีน่าพูดแทรกเข้ามา "ฉันไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนั้น"
"ทำไมล่ะครับ! ท่านจะเชื่อใจคนป่าที่ถือหอกพวกนี้มากกว่าข้อมูลของเราเองงั้นเหรอ!"
"ไม่ใช่" ลีน่าตอบ "แต่ฉันเชื่อในข้อมูลที่ไลราให้มา... เธอบอกว่าเด็กคนนั้นหวาดกลัว 'เสียงกระซิบ' และเชื่อว่าเราคือความหวัง... เธอจะไม่ยอมจากไปง่ายๆ แน่"
แล้วคำพูดของลีน่าก็เป็นจริง...
เด็กสาวสะบัดแขนออกจากมือของพ่อเธอ เธอยืนเผชิญหน้ากับเขา และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเด็ดขาดจนแม้แต่ครามเองก็ยังต้องนิ่งฟัง
ถึงแม้ทีมสำรวจจะไม่เข้าใจคำพูด... แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ถึง "พลัง" ที่อยู่ในน้ำเสียงนั้น... มันคือการยืนกราน... คือการต่อสู้เพื่อความเชื่อของตัวเอง
การโต้เถียงจบลงด้วยความเงียบ ครามจ้องมองลูกสาวของเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน... ก่อนจะถอนหายใจยาว... และลดปลายหอกลงชี้กับพื้นดิน... เขายอมถอย... แต่ยังไม่ยอมแพ้
เด็กสาวหันกลับมาหาลีน่า "พ่อข้า... ยังไม่เชื่อใจ" เธอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา "เขาต้องการ... 'พิสูจน์'"

คำพูดของเด็กสาวนั้นเรียบง่าย แต่กลับหนักอึ้งราวกับภูเขาทั้งลูกที่กดทับลงมาบนบ่าของลีน่าและทีมสำรวจของเธอ มันคือคำขาด คือบททดสอบที่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
คราม ผู้เป็นพ่อ ก้าวออกมายืนข้างลูกสาวของเขาอีกครั้ง แววตาของเขายังคงแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แต่บัดนี้มันได้เจือปนด้วยความเหนื่อยล้าที่ซ่อนไม่มิด เขาไม่ได้มองทีมสำรวจในฐานะผู้บุกรุกที่โง่เขลาอีกต่อไป แต่ในฐานะตัวแปรที่อันตรายและคาดเดาไม่ได้... ตัวแปรที่อาจจะเป็นได้ทั้งยาพิษ... หรือยาถอนพิษ
เขาเริ่มพูดเป็นภาษาไทยด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวาน เด็กสาวทำหน้าที่แปลอย่างซื่อตรงที่สุด คำพูดของเธอค่อยๆ ถักทอภาพความจริงอันน่าสะพรึงกลัวที่เหล่าพรานต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
"พ่อข้าบอกว่า..." เด็กสาวเริ่มต้น "...พวกท่านได้ปลุก 'ผู้พิทักษ์' ให้ตื่นขึ้น... แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น กำลังจะตื่นตามมา"
เธอชี้เข้าไปในความมืดของป่าทึบ... ทิศทางเดียวกับที่เธอเคยชี้ไปยัง "หินกระซิบ"
"ที่นั่น... คือ 'นครเงียบ'... บ้านของวิญญาณบรรพบุรุษผู้สร้างเมืองของท่าน... และเป็นที่สถิตของ 'เสียงกระซิบแห่งพงไพร'"
ภายในรถแรคคูน...
"เสียงนั่นอีกแล้ว..." โอไรออนกระซิบ เขายกมือกุมขมับ "แค่ได้ยินชื่อ... ความถี่ที่เป็นพิษนั่นก็เริ่มแรงขึ้นอีกแล้ว"
"นครเงียบ..." เอลาราทวนคำ "ไม่มีอยู่ในแผนที่โบราณของเราเลย มันคืออะไรกันแน่?"
นอกตัวรถ...
"ทุกคืน... เมื่อดวงดาวขึ้นสู่จุดสูงสุด" เด็กสาวเล่าต่อ เสียงของเธอสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงมัน "เสียงคร่ำครวญจะดังขึ้นจากนครเงียบ มันจะกัดกินจิตใจของสิ่งมีชีวิต... ทำให้สัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง... และทำให้คนของข้าป่วยไข้จนตายอย่างช้าๆ... มันคือคำสาปที่กัดกินพวกเรามาหลายชั่วอายุคน"
ครามชี้มาที่รถแรคคูนที่พังยับเยิน "อสูรเหล็กของพวกเจ้า... พลังงานของมัน... มันเป็นเหมือนอาหารชั้นเลิศสำหรับ 'เสียงกระซิบ' นั่น คืนนี้... มันจะตื่นขึ้นอย่างเต็มที่และเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าทุกคืนที่ผ่านมา"
ในที่สุด... เขาก็ยื่นข้อเสนอที่เปรียบเสมือนพันธสัญญาที่ผูกมัดด้วยเลือด
"พ่อข้าต้องการให้พวกท่าน... พิสูจน์เจตนาของตน" เด็กสาวกล่าว "เขาจะนำทางพวกท่านไปยังชายขอบของนครเงียบ... และพวกท่านจะต้องใช้ 'วิทยาศาสตร์' ที่พวกท่านภาคภูมิใจนักหนา... ทำให้เสียงคร่ำครวญนั้นสงบลง"
ภายในรถแรคคูน...
"เขาเสียสติไปแล้วหรือ!" เร็กซ์คำรามลั่น "นั่นไม่ใช่บททดสอบ! นั่นคือการส่งเราไปตายชัดๆ! เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับปรากฏการณ์นั่น! อาวุธของเราก็ใช้กับมันไม่ได้!"
"แต่ถ้าเราทำได้ล่ะ เร็กซ์?" ศิลาแย้งขึ้นอย่างตื่นเต้น "ลองคิดดูสิ! การได้เข้าไปศึกษาปรากฏการณ์ควอนตัมที่มีผลต่อจิตสำนึกโดยตรงแบบนี้... มันคือการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์! เราอาจจะหาคำตอบของทุกสิ่งได้ที่นั่น!"
"คำตอบที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของเราน่ะรึ!"
"ใจเย็นก่อนทุกคน!" ลีน่าพูดตัดบทสนทนาที่กำลังจะกลายเป็นสงคราม "นี่คือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของเรา" เธอเปิดช่องทางการสื่อสารส่วนตัวที่เข้ารหัสระดับสูงสุด "ห้องประชุมที่มองไม่เห็น" ของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
[ลีน่า: ทุกคน... เรากำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่จะกำหนดอนาคตของภารกิจทั้งหมด ข้าต้องการความเห็นจากทุกคน... อย่างตรงไปตรงมา]
[เร็กซ์: มันคือกับดัก ชัดเจน 100% พวกมันกำลังล่อให้เราแยกตัวออกจากป้อมปราการเคลื่อนที่ของเรา เข้าไปในพื้นที่ที่พวกมันได้เปรียบทุกอย่าง แล้วก็จะหาทางปลดอาวุธเราทีหลัง]
[ไลรา: ฉัน 'รู้สึก' ได้ถึงเจตจำนงของเด็กสาวคนนั้นค่ะ... เธอหวาดกลัวจริงๆ... กลัว 'เสียงกระซิบ' นั่น... และเธอเชื่อว่าเราคือความหวังเดียวของเธอ ส่วนพ่อของเธอ... คราม... เขาไม่ได้ต้องการจะสู้กับเรา แต่เขากำลัง 'ทดสอบ' เรา เขาต้องการจะรู้ว่าเรามีค่าพอที่จะให้เชื่อใจหรือไม่]
[เร็กซ์: เป็นการทดสอบที่เสี่ยงเกินไป! เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับ 'เสียงกระซิบ' นั่น!]
[เควิน: ผมยืนยันข้อมูลของไลรา... ผมวิเคราะห์โครงสร้างเสียงของครามได้แล้ว... เขาไม่ได้โกหก แต่ระดับความเครียดในน้ำเสียงของเขาสูงมาก เขาก็กำลังเดิมพันทุกอย่างเหมือนกัน]
ลีน่ายืนฟังทุกความคิดเห็นอย่างเงียบงัน เธอเข้าใจความกังวลของเร็กซ์... มันคือตรรกะที่ถูกต้องของชาวดุษฎีนคร แต่เธอก็เชื่อใน "ข้อมูล" ที่มาจากประสาทสัมผัสของไลราและเควินเช่นกัน
เธอตัดสินใจแล้ว...
"เราจะยอมรับเงื่อนไขของเขา" ลีน่ากล่าวอย่างเด็ดขาดในช่องสื่อสารส่วนตัว "เร็กซ์... คุณพูดถูก มันอาจจะเป็นกับดัก... แต่เอลารา... คุณก็พูดถูกเหมือนกัน เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับศัตรูที่แท้จริงของที่นี่"
เธอหยุดไปชั่วครู่ "และวิธีเดียวที่เราจะได้รับความไว้วางใจจากพวกเขา... และได้รับข้อมูลที่เราต้องการ... ก็คือการแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อ 'เอา' แต่เรามาเพื่อ 'ให้'... เราจะช่วยพวกเขาต่อสู้กับศัตรูของพวกเขา... และนั่นจะเป็นการพิสูจน์เจตนาของเราได้ดีที่สุด"
ลีน่าปิดการสื่อสาร... และก้าวออกมาเผชิญหน้ากับครามและลูกสาวของเขาอีกครั้ง
"ตกลง" เธอกล่าวช้าๆ ให้เด็กสาวได้แปล "เรา... ยอมรับ... บททดสอบ"
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กสาวอีกครั้ง... แต่ครามยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย
"มีเงื่อนไข" เด็กสาวแปลคำพูดของพ่อเธอ "อสูรเหล็กของพวกท่าน... ต้องอยู่ที่นี่ มันส่งเสียงดังเกินไป และพลังงานของมันจะดึงดูดอันตราย... พวกท่านต้องเดินเท้าเข้าไปกับเรา"

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.