มนุษย์เราเริ่มการแปรงฟันตั้งแต่เมื่อไหร่ ชวนทำความรู้จักประวัติศาสตร์การดูแลฟันที่คุณอาจไม่เคยรู้
รอยยิ้มคือสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด และความพยายามจะรักษามันให้ดูดีสะอาดก็มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ หลักฐานทางโบราณคดีพบว่าเมื่อกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์เคยใช้กิ่งไม้เล็ก ๆ เคี้ยวจนปลายแตกเป็นเส้นฟู แล้วนำมาถูฟันและเหงือกเพื่อขจัดเศษอาหาร นี่คือจุดเริ่มต้นของการดูแลช่องปากแบบง่าย ๆ ที่ทำให้ฟันสะอาดมากขึ้น พวกเขายังมีสูตรผงฟันทำจากเปลือกไข่บด เถ้าถ่าน และหินภูเขาไฟ ซึ่งช่วยให้ฟันดูขาวและแข็งแรงขึ้น แม้จะเป็นเพียงวัสดุจากธรรมชาติ แต่ก็เป็นสัญญาณสำคัญว่ามนุษย์ให้ความสำคัญกับรอยยิ้มและสุขภาพช่องปากมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ
วิธีทำความสะอาดฟันในอารยธรรมโบราณ
ไม่เพียงแต่อียิปต์เท่านั้น อารยธรรมกรีกและโรมันก็ใส่ใจเรื่องสุขภาพฟัน พวกเขาใช้ผ้าชุบน้ำถูฟัน รวมทั้งใช้ผงถ่าน กระดูกสัตว์บด หรือเปลือกหอยบดเพื่อขัดฟันให้สะอาด การขัดฟันด้วยผงถ่านถือเป็นวิธีที่แพร่หลาย เพราะช่วยลดกลิ่นปากและทำให้ฟันดูขาวขึ้น ในอินเดียและแอฟริกาเหนือมีการใช้กิ่งไม้สมุนไพรอย่างมิสวาก ซึ่งมีสารธรรมชาติที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก จึงช่วยป้องกันฟันผุได้เป็นอย่างดี วิธีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ในหลายภูมิภาคต่างคิดค้นวิธีรักษาสุขภาพฟันด้วยทรัพยากรที่มีอยู่รอบตัว
การกำเนิดแปรงสีฟัน
จุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์การดูแลฟันเกิดขึ้นในจีนราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 เมื่อมีการสร้างแปรงสีฟันที่มีขนแปรงเป็นครั้งแรก ขนหมูป่าที่แข็งแรงถูกนำมาตัดเป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วมัดเข้ากับด้ามไม้ไผ่หรือกระดูกสัตว์ ทำให้จับถนัดมือและถูฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนวิธีทำความสะอาดช่องปากไปอย่างสิ้นเชิง
นอกจากเพื่อขัดฟันให้สะอาด แปรงเหล่านี้ยังสะท้อนวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพของชาวจีนในสมัยนั้น การแปรงฟันถือเป็นกิจวัตรที่สอนกันในครอบครัว และเกี่ยวพันกับแนวคิดแพทย์แผนจีนเรื่องการรักษาสมดุลร่างกาย ขนหมูป่าที่ใช้มีความแข็งซึ่งเหมาะกับอากาศหนาวเย็นของพื้นที่ต้นกำเนิด เมื่อแปรงแพร่เข้าสู่ยุโรป หลายคนรู้สึกว่าขนหมูแข็งเกินไป จึงปรับเปลี่ยนมาใช้ขนม้าเพื่อให้แปรงนุ่มขึ้น แม้จะไม่ทนทานเท่า แต่ก็ทำให้การแปรงฟันรู้สึกสบายกว่าเดิม
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกการแปรงฟัน
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 18 การแปรงฟันเริ่มเปลี่ยนจากกิจวัตรที่ทำกันเฉพาะกลุ่มคนบางชนชั้น มาเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเริ่มเข้าถึงได้มากขึ้น จุดเริ่มต้นสำคัญคือเรื่องราวของวิลเลียม แอดดิส ชายชาวอังกฤษที่ถูกจำคุกและใช้เวลาว่างในคุกประดิษฐ์แปรงสีฟันแบบใหม่ เขาใช้กระดูกสัตว์เป็นด้าม เจาะรูแล้วร้อยขนหมูเข้าไปให้แน่น จากนั้นทดลองใช้เองจนได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ หลังได้รับอิสรภาพ เขาเริ่มผลิตขายอย่างจริงจัง ทำให้แปรงสีฟันเริ่มถูกผลิตซ้ำอย่างเป็นระบบและวางขายในตลาด
แปรงสีฟันในยุคนั้นยังคงมีราคาค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนทั่วไปเริ่มมองว่าการแปรงฟันคือสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน ร้านขายยาบางแห่งเริ่มมีแปรงสีฟันวางขาย และมีการพัฒนาให้เลือกหลายขนาด ทั้งสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก ถือเป็นยุคที่การแปรงฟันค่อย ๆ กลายเป็นวัฒนธรรมร่วมของสังคมตะวันตก ก่อนจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในเวลาต่อมา
เมื่อฟันได้รู้จักไนลอนครั้งแรก
ศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงเวลาที่การดูแลฟันพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อบริษัทดูปองต์ค้นพบเส้นใยไนลอนและนำมาใช้ทำขนแปรงแทนขนสัตว์ การใช้ไนลอนช่วยแก้ปัญหาหลายอย่างในแปรงแบบเก่า ไม่ว่าจะเป็นการที่ขนสัตว์ขึ้นรา เก็บความชื้น และอาจสะสมเชื้อโรคได้ง่าย ขนไนลอนไม่เพียงทนทานและแห้งเร็ว แต่ยังทำความสะอาดง่ายและถูกสุขลักษณะมากกว่าเดิม
ข้อดีอีกอย่างของเส้นใยไนลอนคือสามารถควบคุมความแข็งหรือนุ่มของขนแปรงได้ ทำให้ผู้คนเลือกแปรงที่เหมาะกับสภาพเหงือกและฟันของตนเองได้หลากหลายขึ้น ช่วงแรก ๆ แปรงไนลอนยังมีความแข็งค่อนข้างมาก แต่ไม่นานนักก็มีการพัฒนาให้มีรุ่นขนนุ่มและขนกลางเพื่อให้เหมาะกับคนทุกวัย ตั้งแต่ปี 1938 เป็นต้นมา แปรงไนลอนค่อย ๆ กลายเป็นของใช้จำเป็นในทุกบ้าน และการรณรงค์ด้านสุขภาพในยุคนั้นก็ช่วยให้การแปรงฟันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้คนทั่วโลก
จากผงฟันสู่ยาสีฟันหลอด
ก่อนที่จะมียาสีฟันหลอดบีบอย่างทุกวันนี้ ผู้คนยังคงใช้ผงฟันที่ทำจากสมุนไพร เกลือ และถ่านไม้ขัดฟันให้สะอาด สูตรผงฟันโบราณบางสูตรยังผสมสมุนไพรหอมเพื่อลดกลิ่นปาก และในสมัยโรมันมีการใช้น้ำปัสสาวะเป็นน้ำยาบ้วนปาก โดยเชื่อว่ามีแอมโมเนียในปัสสาวะที่ช่วยทำความสะอาดและฟอกสีฟันให้ขาวขึ้น แม้ว่าจะฟังดูแปลกสำหรับยุคปัจจุบัน แต่ก็เป็นวิธีที่สะท้อนความพยายามของมนุษย์ในการรักษาความสะอาดช่องปาก
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ผงฟันเริ่มถูกบรรจุในกระปุกแก้วหรือกระป๋องโลหะ และกลายเป็นสินค้าที่ผลิตขายอย่างแพร่หลาย ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษนั้นเอง มีการบรรจุยาสีฟันในหลอดโลหะซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลอดบรรจุสีของจิตรกร ทำให้ใช้งานง่าย พกพาสะดวก และเก็บรักษาได้นานโดยไม่แห้ง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ยาสีฟันกลายเป็นของใช้ที่มีมาตรฐานและถูกสุขลักษณะมากขึ้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของยาสีฟันแบบหลอดที่เราเห็นในร้านค้าทุกวันนี้
เมื่อการดูแลฟันก้าวสู่ยุคดิจิทัล
ทุกวันนี้การดูแลช่องปากมีทางเลือกหลากหลายมากกว่าเดิม ทั้งแปรงสีฟันไฟฟ้าที่มีการสั่นหรือหมุนด้วยความเร็วสูง ช่วยขจัดคราบพลัคได้ดีกว่าแปรงธรรมดา แปรงระบบอัลตราโซนิกที่ใช้คลื่นความถี่สูงช่วยทำความสะอาดแม้ในซอกเล็ก ๆ และยาสีฟันที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะ เช่น ลดอาการเสียวฟัน ป้องกันหินปูน หรือฟอกฟันให้ขาวอย่างอ่อนโยน
นอกจากนั้นยังมีแปรงสีฟันที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันที่ช่วยวิเคราะห์ตำแหน่งและเวลาการแปรงฟัน พร้อมแนะนำจุดที่อาจแปรงไม่ทั่วถึง ช่วยให้ผู้ใช้พัฒนานิสัยการแปรงฟันที่ดีขึ้น เด็ก ๆ ยังสามารถใช้รุ่นที่มีเกมหรือภาพการ์ตูนเพื่อสร้างแรงจูงใจให้สนุกกับการแปรงฟัน การพัฒนาเหล่านี้ทำให้การดูแลฟันไม่ใช่แค่เรื่องจำเป็น แต่กลายเป็นกิจวัตรที่สร้างความเพลิดเพลินและช่วยให้คนใส่ใจสุขภาพช่องปากมากขึ้น


แสดงความคิดเห็น